วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

‘Starlight Moonlight’ มิวสิควีดีโอตัวล่า สุดน่ารักจาก SECRET

การชำแหละวัวโดยมนุษย์ต่างดาว (Cattle Mutilations) ปริศนาลึกลับที่ยังไม่มีคำตอบ







เมื่อประมาณ 5-6 ปี ที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ได้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่บรรดาชาวไร่ ชาวนา ตลอดจนปศุสัตว์ต่างๆเป็นจำนวนมากเพราะเรื่องที่ว่า ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมาก นั้นคือปรากฏการณ์ที่สัตว์เลี้ยงเช่น วัว แพะ แกะ ถูกฆ่าและโดนตัดเอาอวัยวะสำคัญบางส่วนไป โดยอวัยวะที่ถูกเฉือนไปนั้นก็ได้แก่ เนื้อบางส่วนตรงคอ อวัยวะสืบพันธุ์ หู ลิ้น หัวใจ เป็นต้น โดยใช้วิธีการหรือเครื่องมือที่ทันสมัยและล้ำหน้าเอามากๆ และทิ้งซากสัตว์จำนวนมากไว้ทุ่งร้าง





ไม่ใช่แค่ในอเมริกาเท่านั้นนะครับ ที่บราซิลหรือแถบอื่นๆของโลก ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ไม่มากและเป็นข่าวครึกโครมเท่าที่เกิดในทั่วสหรัฐอเมริกา เท่านั้นเอง บริเวณที่พบเหตุการณ์ประหลาดนี้มากที่สุด ได้แก่ รัฐโคโลราโด และที่นิวแม็กซิโก จากยอดที่ได้รับการแจ้งความมายังสถานีตำรวจท้องถิ่นนั้น สัตว์เลี้ยงที่ตายไปมียอดรวมเกิน 300ตัว



9 มิถุนายน 2005 ปรากฏการณ์วัวตายอย่างลึกลับในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เมืองพอนเดรา มอนตานา หลังจากที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองนี้และบริเวณใกล้เคียงมาแล้วนับสิบแห่งเมื่อปี 2001










เจ้าของวัวที่เคราะห์ร้ายคือ มาร์ค ทาเลียเฟอโร ซึ่งเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้เมื่อปี 2001 คราวนี้เขาพบลูกวัวตอนแล้วหมายเลข 304 นอนตายอยู่ในทุ่งหญ้าห่างจากบ้านไม่ถึงสองไมล์ทาเลียเฟอโร โทร.แจ้งทางการทันทีเพราะซากของวัวที่ตายมีรูที่ท้องของมัน ซึ่งเป็นการตายที่ผิดปกติ



นายอำเภอ โทมัส เอ. คูกา ได้รุดมายังที่เกิดเหตุเพื่อทำการสืบสวนทันที การชันสูตรพบว่าลูกวัวมีรูที่ท้องบริเวณเต้านมทะลุเข้าไปในลำไส้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้มันตาย คูกาบอกว่า รูที่ท้องวัวมีรูปทรงกลมและเหมือนกับถูกทำให้ไหม้ด้วย และลูกอัณฑะหายไป รูดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปในท้องจนเห็นข้างในเลยทีเดียว ทว่าไม่มีเลือดออกและไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ เลย นอกจากนั้น ลิ้นของลูกวัวส่วนปลายยังถูกตัดด้วยมุมเฉียง 45 องศา ซึ่งคูกาบอกว่า มันไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น คือลิ้นวัวจะหายไปทั้งหมด







คูกาให้ความเห็นว่าสัตว์นักล่าไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้

และสรุปว่า รูที่ท้องของลูกวัวตัวนี้น่าจะเกิดจากการถูกตัดด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้และตั้งคำถามว่า มีเครื่องมือชนิดใดที่ทำเช่นนี้ได้ ?





นี่คือ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เรียกกันว่า "การชำแหละวัวในท้องทุ่ง" (Cattle Mutilation Phenomena)



ที่ระบาดในอเมริกาเหนือมานานแล้ว ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา และอวัยวะบางส่วนโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย



หลายเคสซากวัวมีรูขนาดใหญ่บริเวณรอบกระดูกขากรรไกรและขากรรไกรและลิ้นของมันหายไป และอีกหลายเคสอวัยวะเพศของวัวทั้งตัวผู้และตัวเมียจะหายไป สำหรับวัวตัวเมียลูกตาและเต้านมจะหายไปด้วย



นอกจากนั้น ยังพบรังสีตกค้างบริเวณใกล้ซากวัวและที่น่าประหลาดใจ ก็คือ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัวเลย





ปรากฏการณ์นี้มีข้อสังเกตหลายอย่าง คือ หลายเคสวัวที่ตายจำนวนมาก ถูกทำเครื่องหมายซึ่งเรืองแสง ว่ากันว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นได้ในเวลากลางคืน และสิ่งนี้อธิบายได้ว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือของสัตว์นักล่าอย่างหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก และหลายเคสยังเกิดขึ้นในบริเวณใกล้บ้านเจ้าของวัวซึ่งเลี้ยงหมาไว้ด้วย ซึ่งหากมีคนหรือสัตว์บุกรุกเข้ามาหมาจะเห่า แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงเห่าจากหมาเลย



ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือในกรณีที่เกิดกับลูกวัว ปกติแม่วัวจะ





คอยดูแลปกป้องอันตรายให้กับลูกวัว หากมีอันตรายเข้ามาใกล้แม่วัวจะร้องซึ่งจะทำเจ้าของวัวได้ยินแต่กลับไม่มีเสียงร้องจากแม่วัว









การศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร



















ครั้งหนึ่งมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย ดร. จอห์น อัลชูเลอร์ โดยการเปรียบเทียบเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์(LASER SURGERY)ในวงการแพทย์ กับเนื้อเยื่อของวัวที่ตายอย่างลูกวัวของทาเลียเฟอโร ซึ่งพบว่าเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์มีคาร์บอนปนเปื้อนอยู่แต่กลับไม่พบในเนื้อเยื่อของวัวที่ตายแบบเดียวกับลูกวัวของทาเลียเฟอโร ดร.อัลชูเลอร์ถึงกับกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ ว่ารูที่ท้องวัวเกิดจากการตัดหรือผ่าโดยเครื่องมืออะไร







ปัจจุบันมีทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้อยู่ 3 ทฤษฎี



ทฤษฎีแรก

อธิบายว่าเกิดจากการทดลองอาวุธชีวภาพของรัฐบาล เหตุผลที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ มีผู้เห็นเฮลิคอปเตอร์สีดำบินอยู่เหนือท้องทุ่งในยามค่ำคืน และรุ่งเช้าก็จะพบซากวัว แต่ทฤษฎีนี้แทบจะหาหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนได้เล



ทฤษฎีที่สอง


เกิดจากฝีมือของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า "ชูพาคาบรา" (Chupacabra ) ซึ่งแปลว่า"ปีศาจดูดเลือด" มีรายงานการพบเห็นชูพาคาบราในแถบแคริเบียนและอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้แม้กระทั่งที่ฟลอริดาในอเมริกาด้วย โดยเฉพาะในเปอร์โตริโก ไก่และกระต่ายในฟาร์มต่างๆ ตายนับพันตัวโดยมีรูที่ลำตัวเหมือนถูกเจาะ



"ชูพาคาบรา" (Chupacabra )


ผู้พบเห็นชูพาคาบราบรรยายว่า มันสูง 4 ฟุต ผิวหนังสีเทา ดวงตาแดง มีขาคล้ายจิงโจ้ และมีเดือยแหลมที่หลัง ผู้พบเห็นบางคนรายงานว่า มันมีปีกและบินได้ด้วย





ทฤษฎีที่สาม


อธิบายว่า เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอจะบินมาลอยอยู่เหนือท้องทุ่งแล้วปล่อยลำแสงยกวัวเข้าไปภายในยาน หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะทำการชำแหละวัวเพื่อศึกษาอวัยวะต่างๆ

















นักวิจัยยูเอฟโอส่วนใหญ่เชื่อทฤษฎีนี้ บางคนบอกว่าไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะศึกษาสัตว์โลกเพื่อวัตถุประสงค์ทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือการสื่อสารที่ทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว มนุษย์ต่างดาวจงใจจะบอกกับมนุษย์ว่า "นี่คือสิ่งที่พวกเราทำได้และไม่มีทางที่พวกคุณจะหยุดยั้งมันได้ด้วย"



ทว่าทฤษฎีนี้ก็ยังขาดหลักฐานมาสนับสนุนเช่นภาพถ่ายที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะมีรายงานการกล่าวอ้างว่ามีการพบเห็นปรากฏการณ์แบบนี้นับสิบรายก็ตาม มันจึงเหมือนกับปรากฏการณ์ยูเอฟโออื่นๆ หรือคอร์ปเซอร์เคิล ซึ่งว่าไปก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น









การศึกษาปรากฏการณ์นี้ยังมีต่อไปตราบใดที่วัวในท้องทุ่งยังคงตายแบบนี้อีกและจนกว่าจะหาคำตอบได้ แต่ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม มันเป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าของฟาร์มวัวไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย

















ที่มา :หรังสือพิมพ์ มติชน
__






Pageviews

SNSD ปล่อยอัลบั้มภาษาญี่ปุ่นออกมาให้ฟังกันเต็มๆ แล้ว

Link Exchange velawang



VelawanG เว็บข่าววงการบันเทิงเกาหลีสุดฮอต! ยินดีแลก Link กับทุกเว็บจ้า ^^ 

หากเป้นเว็บจำพวกข่าว หรือเกี่ยวกับดาราเกาหลีจะดีมากๆ ^^
ติดต่อที่นี่เลย myvelawang@gmail.com


เว็บเพื่อนบ้าน
เกมส์
Backlink Directory

Contact Us Velawang



VelawanG ข่าววงการบันเทิงเกาหลีสุดฮอต
อ่านข่าววงการบันเทิงเกาหลีสุดฮอต ข่าวเกาหลี รูปดารานักร้องเกาหลี มิวสิควีดีโอเกาหลี

ส่งข่าวเกาหลีฮอตๆ มาให้ทางเรา
ติดต่อ Webmaster
ติดต่อโฆษณา
ติดต่อได้ที่นี่ ที่เดียว! : myvelawang@gmail.com

4Minute ปล่อย ‘Mirror Mirror’ เวอร์ชั่น “Freakhouze Remix” ออกมาแล้ว

10 อันดับ เรื่องของมนุษย์ต่างดาว



คุณเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า? ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรายงานกว่า 100,000 รายงาน ในการพบจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวจากทั่วโลก ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงหรือไม่จริงบ้าง รวบรวมมาให้ ท่าน 10 เรื่องที่คิดว่าดังที่สุดแล้วสำหรับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว เพื่อให้คุณพิจารณาว่ามนุษย์ ต่างดาวมีจริง!!


อับดับที่ 10 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว





ใน ปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็น ฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตกที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูก มอบหมายให้ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนตร์ จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนตร์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจากนั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน ,ฮอลแลนด์ , บราซิล และอิตาลี


อับดับที่ 9 วงกลมประหลาดบนทุ่งหญ้า (Crop Circles)








ในช่วงปี 1980 เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือประจักษ์ต่อชาวโลก ใน 29 ประเทศ ทั่วโลก คือเกิดวงกลมประหลาด หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่ง ข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าว และอื่นๆ โดยจากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง พบว่าในช่วงปลายปี 1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่รูปแบบจะออกมาในลักษณะ เส้นตรงซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของ มนุษย์จะทำได้ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วหาเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง พวกเขาจะทำทำไม มันเป็นสัญลักษณ์บอกชาวโลกหรือ หรือว่าเป็น ที่จอดยานบิน หรือว่าเป็นการเล่นสนุก??






อับดับที่ 8 การชำแหละวัวในท้องทุ่ง (Cattle Mutilations)




9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดวัวตายอย่างลึกลับจำนวนมากในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและบราซิลและแถบอื่นๆ ทั่วโลก โดย การตายลึกลับนี้แทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะสามารถทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่วัวถูกฆ่าจำนวนมากโดยทั้งหมดนั้นลงมือเสร็จเพียงคืน เดียว โดยส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ ด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้แต่ไม่ใช้เลเซอร์หรือมีด และไม่ มีเลือดไหลออกมาอวัยวะบางส่วนเช่น อวัยวะเพศ ลูกตาและเต้านมโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัว หรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย มีการศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร




อับดับที่ 7 การลักพาตัวเบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ (betty and Barney Hil)






คือการลักพาตัวที่โด่งดังที่สุดและเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวคนในโลก 19 กันยายน 1961 ขณะที่เบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มีจานบินแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ สิ่ง มีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน(ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนสะกดจิต ทั้งคู่ ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูด ด้วยภาษาแปลกประหลาด จาก นั้นสองสามีก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จน เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก จนต้องออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975


อับดับที่ 6 จานบินตกที่รอสเวลล์








ในปี ค.ศ.1948 เมืองรอสเวลล์ เกิดเหตุการณ์วัตถุบินลึกลับตกในพื้นที่ทะเลทรายของชาวเมืองนาม แม็ค บราเซิล วัตถุชิ้นตกและชิ้นส่วนตก กระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่เกิดเหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรก บอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมีอยู่ในโลก และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุ ภายหลังทางการดันกลับคำให้การบอกว่าวัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ? ทำไมต้องกลับคำผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่? ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้ว ก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้






อับดับที่ 5 แอเรีย 51 (Area 51)








พื้นที่ แห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางทะเลทรายทางตอน ใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี1958 เป็น พื้นที่ที่ลึกลับที่สุดเพราะเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนนอกเข้าและมีการ รักษาความปลอดภัยสูงสุด แม้ทางการสหรัฐจะบอกว่าพื้นที่นี้เป็นเพียง สถาน ที่ทดสอบอาวุธหรือเครื่องบินรบใหม่ของสหรัฐ แต่มีหลายคนบอกว่าอาจเป็นฐานทัพของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็สถานที่ติดต่อกับ มนุษย์ต่างดาว นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจน หลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 นั้นต้องมีอะไรมากกว่าสถานที่ซ้อมรบเครื่องบินรบ แน่นอน


อับดับที่ 4 เมื่อมนุษย์ต่างดาวเป็นฆาตกร






วัน ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐเคนตักกี้ อเมริกา เรืออากาศเอก โธมัส แมนเทลล์ จูเนียร์ ได้ขับเครื่องบินซี 118 แถวน่านฟ้าของเมืองแมรีส์วิลล์ เพื่อไป ตรวจสอบการพบเห็น UFO ส่องแสงขนาดใหญ่ และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเงียบเชียบข้ามท้องฟ้า ซึ่งทางฐานทัพก็จับสัญญาณมันได้เช่นกัน แมนเทลล์ขับแล้วไปเจอ UFO ลำนั้นทันที เขารายงานวัตถุนั้นต่อศูนย์เป็นระยะในการติดตาม “พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี และมันใหญ่โตมโหฬารมาก มันดูเหมือนโลหะรูปกลมใหญ่มาก ผมกำลังพยายามไปให้ถึงมัน มันกำลังบินสูง มันเริ่มบินสูง.... พระเจ้า! มันน่า มหัศจรรย์มาก! มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...”จากนั้นสัญญาณก็ถูกตัด เวลาต่อมา มีการพบซากเครื่องบินและศพของเรืออากาศเอกแมนเทลล์ มีรายงานว่าซากเครื่องบินมีรูและรอยขีดข่วนจากความร้อนสูง เหมือนกับว่า เครื่องบินถูกทำลายจากรังสีบางอย่าง ปัจจุบันการตายของแมนเทลล์ยังเป็นปริศนาต่อไป ว่าสิ่งที่เขาพบนั้นคือ UFO จริงหรือไม่?






อับดับที่ 3 การระเบิดที่ไซบีเรีย




เมื่อ วันที่ 30 มิถุนายน 1908 มีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าฮิโรชิม่าถึง 10 เท่าดังไปค่อนโลก มีบางคน บอกว่า ตนเองได้เห็นแสงไฟและเห็นควันรูปเห็ด อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายสาเหตุการระเบิด ไม่มีใครทราบแน่ชัด ในปี 1927 นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต ได้ออกทำการสำรวจและพบบริเวณที่เกิดการระเบิดนั้น ซึ่งกินบริเวณกว้างขวางถึง 800 ตารางไมล์ จากการลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แรงระเบิดนั้น ไม่ใช่เพราะอุกกาบาตแน่ มีบางคนบอกว่ามันอาจเป็นดาวหาง อาจเป็นเสี้ยวหนึ่งของหลุมดำ หรือ อาจเป็นแสงเลเซอร์จากดวงดาวอื่นก็ได้ อเล็กซานเดอร์ คาซานท์เซฟ วิศวกรด้านอาวุธของรัสเซียลงความเห็นว่า มันเป็นพวกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขณะบินทำการสำรวจโลก ตกลงมา และเกิดระเบิดขึ้น




อับดับที่ 2 เด็กจากโลกอื่น




ใน เดือนสิงหาคม 1887 ในสเปน มีเด็กสองคน ซึ่งมีผิวหนังสีเขียวเป็นมันวาว และมีดวงตารีเฉียง เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กสองคนนั้นสวม เสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุประหลาด และพูดภาษาประหลาดที่ผู้เชี่ยวชาญภาษาจากบาร์เซโลนาไม่เข้าใจ และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาษาอะไร เด็กที่เป็น ผู้ชายตายก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงยังอยู่ต่อมาและหัดพูดภาษาสเปนได้จนคล่องเธอเล่าว่าเธอถูกนำมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ยามสนธยามี พระอาทิตย์ขึ้น และถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั่น ดิน แดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเธอถูกส่งตัวมายังโลกด้วย ยาวอวกาศหรือเปล่า หรือมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้




อับดับที่ 1 เครื่องบิน 1000 ปี










จาก จำนวนวัตถุลึกลับเกี่ยวกับจานบิน ชิ้นนี้ดังที่สุด ซึ่งถูกพบในโคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ท ปีกเป็น รูป สามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินปัจจุบันด้วย ซึ่งแน่นอนชาวพื้นเมืองในโคลัมเบียคงไม่สามารถ สร้างเครื่องบินนี้แน่ โดยเฉพาะเมื่อ 1000 ปีก่อน อาจ เป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงอเมริกาใต้ ในยานอวกาศใต้ ในยานอวกาศที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ทตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีมาแล้ว และคงสร้างยานลำนี้ไว้เป็นที่ระลึก




























ที่มา : http://www.toptenthailand.com

____________________









Pageviews

ออร่า มหัศจรรย์แห่งแสงในกายมนุษย์





*** คัดลอกมา บางส่วน ใน ออร่า มหัศจรรย์แห่งกายแสงมนุษย์ จากหนังสือ มิติที่ 3









ในโลกาใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง

เป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …








หากท่านได้เห็นสิ่งมีชีวิตเรืองแสงเหล่านี้ ท่านคงจะไม่นึกตระหนกตกใจอะไรมาก นอกจากบางทีอาจจะทึ่งในความพิศดารที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา…





แต่ถ้าท่านบังเอิญเดินไปในที่เปลี่ยวยามรำคืนและท่านไปพบกับคนที่มีแสงเรืองในตัวเองเข้าบ้างล่ะ…



ท่านจะนึกอย่างไร?



เรื่องทเล่าแบ่งกันฟัง เขาว่ามันมีอยู่จริง ๆ .... เพราะ “มนุษย์เรืองแสง” นั้นไม่ใช่ผีปีศาจ

แต่เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ หรือเรื่องโม้ใด ๆ ทั้งสิ้น



แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคนได้เคยพบเห็นและยอมรับว่ามีจริง

ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้แล้วทั้งนั้น มีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายากเสียด้วย……



จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine



มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึงเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น

นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า





…..ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา

ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้

แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง

ต่อมาปรากฏการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก

โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ ……..



บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์

ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและปรากฏการณ์อัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า

….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง

ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาล

ที่กำลังพยายามให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินออกมารอบตัววูบวาบไปหมด

เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย…….



บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้น ๆ

เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ

“หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า



….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวมของโรงพยาบาลแห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฏแสงเรืองออกมาเป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ

ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่นลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่นแสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป…

แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย…..

บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า

นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถันอยู่ในเลือดสูงผิดปกติ…..



แสงเรืองประหลาดจะปรากฏขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษาตรวจดูปรากฏการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา

เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้…..



บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถันในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นในอะตอมกำมะถันและสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง…….

แต่คำอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้นไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงเรืองจึงเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ



และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโรนอนหลับเท่านั้น?……..



ก็นี่แหละครับ ถ้ามนุษย์เกิดมีแสงขึ้นมาได้มันก็ปรากฏการณ์อัศจรรย์แปลกประหลาดอักโขอยู่

แต่สำหรับสัตว์บางชนิดหรือพวกเห็ดราแล้วละก็ นักชีวะเขารู้แน่ว่าสาเหตุมันเนื่องมาจากอะไร

พวกหนอนกระสือหรือเจ้าตัวที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ทิ้งถ่วง” หรือหิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีแสงเรืองได้โดยธรรมชาติ

และก็เป็นของธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ คงเคยเห็นกันมาแล้ว



แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์

และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว





สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่

ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท

หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น ……….



แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด

และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้

ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด



ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……

ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..

หรืออีกทีหนึ่งคงต้องมองกันในแง่จิตในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางกายภาพเลยก็ได้



รังสีมนุษย์

ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม

แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า

“ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว



อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้…….



กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ……. ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่…..



ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…

พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-



๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ

๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน

๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด

๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย



ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด

เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนก

ลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :



๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)

๒. กรรมรังสี (Karmic aura)

๓. ชีวรังสี (Vital aura)

๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)

๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)







นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของออร่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสุภาพของอารมณ์ เช่น

สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน

สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ

สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก

สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม

สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา

สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก

สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ

สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……



นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของออร่าสีอื่น ๆ อีก

แต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443 ยืนยันว่าได้เห็นออร่าของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำ

และเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไป



สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ กล่าวกันว่าตอนที่พระองค์ตรัสรู้นั้น

ทรงเปล่งรังสีออกมารอบพระวรกายเป็นฉัพพรรณรังสีเลยทีเดียว

ว่ากันว่าแสงสว่างแห่งรังสีนั้นสว่างวาบกระจายไปทั่วจักรวาล ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด และลงไปถึงนรกขุมอเวจี พวกสัตว์อเวจีนรกได้เห็นกันแวบเดียว

แต่พวกเทวดาและพรหมชั้นสูงต่างได้เห็นรังสีเรืองรอง ทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วในพิภพนี้..



ฉัพพรรณรังสีประกอบด้วยแสงสี 6 สี กล่าวคือ

สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน

เหลืองเหมือนหรดาล

ทองแดงเหมือนตะวันอ่อน

ขาวเหมือนแผ่นเงิน

สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่ และ

สีประภัสสรคือเลื่อมพรายแวววาวคล้ายสีในผลึกแก้ว…



แสงแห่งศีรษะ

มีเรื่องกล่าวขวัญล้ำลือกันมามายเกี่ยวกับผู้ทรงศีล นักบุญ นักบวช

ทั้งของตะวันออกและตะวันตกที่สามารถเปล่งรังสีออร่าออกจากร่างกาย

จนทำให้คนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ดัวยตาเปล่า…

เรื่องราวนี้มีมูลความจริงอยู่บ้านเพราะมีปรากฏอยู่ในบันทึกและคำให้การจากผู้ที่เชื่อถือได้

ดังเช่นจากบันทึกของโป๊บ เบเนติค ที่ 14 เขียนไว้ว่า



….ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของเปลวแสงที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัวมนุษย์บางคน หรือรังสีที่เปล่งออกมารอบศีรษะของคนบางคนนี้ไม่เหมือนกับเปลวไฟ เพราะมันไม่พริ้วสะบัดขึ้นข้างบน แต่มันพริ้วสะบัดออกไปเป็นรัศมีรอบทิศทาง เปลวแสงนี้มิได้เกิดขึ้นอยู่แค่ภายในร่างกายของคน

แล้วเปล่งประกายแผ่ออกมา แต่บางครั้งยังเกิดขึ้นได้กับสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งเป็นของคนคนนั้น

หรือเป็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ชิดตัวคนคนนั้น หรือเป็นสิ่งของที่คนคนนั้นได้สัมผัส…



……อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องจากบันทึกของสาธุคุณ ดี.สโคร์เรลลี ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยเยซูอิท

ที่ดคอิมบรา ในโปตุเกส…ราวปี พ.ศ. 2143

..วันหนึ่งตอนบ่าย มีผู้ต้องการเข้าพบสาธุคุณฟรานซิสโก ซูเอรีส แห่งสเปน

ผู้ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาประจำอยู่ในวิทยาลัย จึง ให้นักบวชเจอรโรมี ดา ซิลวา ไปตามตัวที่บ้านพัก พบว่าม่านไม้หน้าประตูบ้านปิดอยู่ซึ่งแสดงว่าสาธุคุณฟรานซิสโกไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนในบ้าน



นักบวชซิลวาจึงได้แต่ยืนร้องเรียกอยู่หน้าประตู แต่ก็ไม่มีใครขานรับจนรู้สึกผิดปกติและด้วยคำสั่งกำชับจากท่านาธุคุณผู้อำนาวยการให้ตามตัวมาให้ได้

จึงตัดสินใจเปิดม่านประตูก้าวเข้าไป และก็พบว่า

ภายในห้องนั้นมีแสงเรืองสว่างผิดปกติ ร่างของสาธุคุณฟรานซิสโกกำลังคุกเข่า

หันหลังให้อยู่หน้าหิ้งบูชาด้วยอาการสงบนิ่ง



แต่ที่น่าประหลาดคือศีรษะของท่านสาธุคุณมีแสงสว่างเรืองส่องออกมาสว่างผิดปกติ

จะว่าเป็นแสงเทียนบูชาก็ไม่ใช่ เพราบนหิ้งบูชาไม่มีเทียน

มีแต่ไม้กางเขนและเครื่องประดับอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ….

ชั่วอึดใจนั้นท่านสาธุคุณฟรานซิสโกก็หันกลับมา

คราวนี้นักบวชซิลวาถึงกับผงะด้วยความตกใจ ตั้งแต่ศีรษะ หน้าผาก

ใบหน้าลงมาถึงหน้าอกของท่านสาธุคุณมีแสงเปลวไฟเรืองสว่างออกมา…..

นักบวชหนุ่มถอยหลังออกมานอกห้องอย่างตกใจ

พอตั้งสติได้ก็เผ่นกลับไปรายงานให้ผู้อำนวยการวิทยาลัยทราบเรื่องทันที



…เมื่อผู้อำนวยการวิทยาลัยทราบเรื่องดังกล่าวแล้วจึงรีบออกมาดูด้วยตนเอง

และพบว่าท่านสาธุคุณฟรานซิสโกกำลังรอคอยอยู่แล้ว ท่านพนมมือและกล่าวด้วยน้ำตาว่า….

ท่านไม่ต้องตกใจเป็นห่วงอะไรหรอกข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น อีกสองสามชั่วโมงก็จะกลับคืนเป็นปกติ…

เรื่องราวของปกราฏการณ์อัศจรรย์แห่งแสงเรืองของสาธุคุณฟรานซิสโกได้รับการปกปิด

ตราบจนกระทั่งท่านมรณะไปในปี พ.ศ. 2510 จึงได้รับการเปิดเผย….



แสงแห่งวิญญาณ

ยังมีเรื่องของแสงอัศจรรย์อีกแบบหนึ่งทีเกี่ยวข้องกับคนบางคน

แสงเรืองนี้จะเกิดขึ้นติดตามคนบางคนในเฉพาะบางเวลาเท่านั้น

แสงเรืองชนิดนี้มีจริงและทางวิทยาศาสตร์ก็ยังอธิบายไม่ได้

ส่วนมากมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการกระทำพิธีอันเกี่ยวเนื่องกับทางจิตวิญญาณ และศาสนา

หรือทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ และมีพบบ้างในพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ….



เก็บเล็กผสมน้อยนำมาย่อยฝอยกันฟังหวังให้เพลิดเพลินเขียนมากเดี๋ยวจะเกิน

….พิภพโลกานี้ยังมีสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์อีกแยะที่ยังไม่มีใครทราบคำตอบความลี้ลับจะยังปรากฏ

อยู่ตราบที่ความรู้ยังมีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในมิติแห่งนี้ทั้งหมด



…..สิ่งที่เรารู้ ยังมีที่สิ้นสุดแต่สิ่งที่เราไม่รู้นั้น มันหาที่สิ้นสุดบ่ได้….



**** dd. ทำให้นึกถึงประโยคที่ว่า ...... อันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดมิได้

แต่ก็ยังคิดว่า พุทธญาณ , สัพพัญญุตญาณ , หรือญาณทัสสนะของผู้มีบารมีธรรมแก่กล้า

น่าจะรู้ทุกสิ่งและรู้ทั้งหมด ที่อยู่ในวัฏฏสงสาร และที่อยู่นอกวัฏฏสงสาร

เพราะมีคำว่า ใน จึงควรมีสิ่งที่อยู่ นอก แต่จะเป็นอะไร อย่างไร ณ ตอนนี้คงบอกได้แต่ว่า



…..สิ่งที่ มนุษย์ หรือ ทิพย์ และพรหม รู้ ยังมีที่สิ้นสุดแต่สิ่งที่ยังไม่รู้นั้น มันหาที่สิ้นสุดบ่ได้….

******


"พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่จากพระกายพระพุทธเจ้า"

ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า คือ






๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน

๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง

๓. โลหิตตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน

๕. มัญเชฏฐะ สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่

๖. ปภัสสระ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก



สีทั้ง ๖ นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้นี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกัน ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้



"ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกาย อันว่า นิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชัน มิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า



และพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ



พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง



พระรัศมีมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ



พระรัศมีหงสสิบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส



พระรัศมีประภัสสรประภาครุนาดุจสีแก้วพลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพระฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการ แผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายยินทรีย์ กำหนดที่ ๑๒ ศอก โดยประมาณ อันว่า ศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล"





ที่มา : http://www.dmc.tv

____________________



การควบคุมความฝัน / lucid dreaming




















นิยามของ Lucid dreaming คือ สถาวะที่คนเรา สามารถที่จะรู้สึกตัว และตระหนักได้ว่าตนเองนั้นอยู่ในความฝัน ในขณะที่ตัวเองฝันอยู่ ทำให้สามารถควบคุมความฝันของตนเองได้ เช่น เมื่อเรากำลังฝันร้าย พบสิงโต ถ้าสามารถควบคุมความฝันได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนสิงโตที่ดุร้าย เป็นแมวเชื่องๆ ได้ แล้วก็จะไม่พบกับฝันร้ายอีกต่อไป ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดี และนอนเต็มอิ่ม 



สำหรับ lucid dreaming นี้ นาย Stepen LaBerge ซึ่งเป็นนักเขียน และนักทดลองชื่อดัง ได้อธิบายไว้สั้นๆ ว่า เป็นสภาวะ "ที่คุณสามารถฝัน ในขณะที่รู้ว่าตัวคุณเองกำลังฝันอยู่" (ฝันในฝัน?) 


มีคำถามมากมายเกี่ยวกับ lucid dreaming และก็เกี่ยวกับสภาวะที่เรียกว่า "ความฝัน" ของมนุษย์ LaBerge และคณะ ได้เรียกกลุ่มคนที่ได้พยายามหาวิธีที่จะควบคุมความฝันว่า Oneironauts หรือ ตามภาษากรีกว่า "dream explorers" หรือ ผู้ท่องเที่ยวไปในความฝัน 





มีกลุ่มคนหลายกลุ่มที่สนใจเกี่ยวกับเรื่อง lucid dreaming เช่น นักจิตวิทยา, นักเขียน, นักวิทยาศาสตร์, ศิลปิน และ คนทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละกลุ่ม ก็มีนิยาม และมีวิธีการเข้าถึง lucid dream ที่แตกต่างกัน และไม่ค่อยจะเหมือนกันเลย ไม่มีใครเข้าใจชัดเจนถึงกลไลที่จะทำให้เกิด lucid dreaming 





ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นศาสตร์ที่ต้องหลักฐานวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม และรอการพิสูจน์จากนักวิทยาศาสตร์ในอนาคต การเข้าถึงสภาวะ lucid dreaming สิ่งที่สำคัญ และดูเหมือนจะเป็นประเด็นหลักของการทำ lucid dreaming 





ก็คือ การรู้สึกตัว และมีสติอยู่เสมอ เมื่อกำลังหลับอยู่ ถ้าเมื่อไหร่ ที่สามารถจะรู้ตัวเองได้ ในความฝัน ว่านี่แหละฉันกำลังอยู่ในฝัน ฉันฝันไป และสามารถจะเปลี่ยนแปลงควบคุม ความฝันได้ นั่นแหละ 





คุณก็กำลังอยู่ในสภาวะ lucid dreaming แล้ว มีคนจำนวนหนึ่งที่ได้อ้างว่า ตัวเองเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับ lucid dreaming มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเด็ก" แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว 





การจะเข้าสู่สภาวะ lucid dreaming ได้เป็นประจำ แม้ว่าจะมีการฝึกฝนอย่างดี ด้วยเทคนิคต่างๆ นั้น 


กลับเป็นเรื่องที่ยาก และก็ไม่ได้แปลว่าจะเกิดขึ้นทุกๆ วัน 





แต่ถึงกระนั้น ก็มีทีมวิจัยจากหลากหลายสถาบัน พยายามที่จะพัฒนาเทคนิคที่จะทำให้คนเราสามารถควบคุมความฝันได้ 





โดยหนึ่งในนั้นก็คือกลุ่มวิจัยจากมหาวิทยาลัย Standford และ สถาบันวิจัย Lucidity ของนาย LaBerge 


ในปัจจุบันไม่มีผลสรุปที่แน่ชัดว่าการฝึกฝน lucid dreaming เป็นประจำ นั้นจะมีผลเสียต่อร่างกาย และจิตใจหรือไม่ 





นอกจากนั้นก็ไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่า การเข้าถึงสภาวะ lucid dreaming จะทำให้เสียผลประโยชน์ของการฝันธรรมดา ด้วยหรือไม่? 





โดยนักจิตวิทยาบางท่าน ได้กล่าวว่า การฝันธรรมดา นั้นจะทำให้เกิดการเข้าใจตัวเอง 


(self-understanding) ได้ดีกว่าการทำ lucid dreaming การจดจำความฝันของตนเอง (dream recall) 


ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่นักผจญภัยความฝัน (lucid dreamer) หวังว่าจะสามารถทำได้คล่องแคล่ว 





เพราะว่าการจดจำความฝันนั้นเอง เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเรียนรู้การเข้าถึงสภาวะ lucid dreaming 


สิ่งที่นักผจญภัยความฝันทำเป็นประจำนั้นก็คือ การจดความฝันของตัวเองลงในสมุดบันทึก เป็นประจำ ในทันทีหลังจากตื่นขึ้น 





ความสามารถในการประสบสภาวะ lucid dreaming นั้น นักวิจัยกล่าวว่าขึ้นกับบุคคลเอง ซึ่งบางคนสามารถมีสภาวะ lucid dreaming ได้ดีกว่าคนอื่นๆการทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ 





ก็สามารถจะทำได้เกิดสภาวะ lucid dreaming ได้ง่ายขึ้นเทคนิคเหนี่ยวนำ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปเทคนิคที่ใช้โดยทั่วไป 





วิธีทดสอบสภาวะความเป็นจริง (Reality Testing) วิธีนี้จะใช้ทดสอบว่ากำลังฝันไปหรือไม่ 





โดยในความฝัน ผู้ฝันจะพยายามที่จะจดจำ "เวลาในนาฬิกา" หรือ "ข้อความในหนังสือ" ในความฝัน 


ซึ่งจากผลการเฝ้าสังเกตนั้น นักผจญภัยความฝันพบว่า "เวลาในนาฬิกา" และ "ข้อความในหนังสือ" 


นั้น มักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ซึ่งจะแตกต่างจากความเป็นจริง 





ซึ่งถ้าพบว่าดูข้อความในหนังสือเล่มเดียวกัน หรือ ก้มลงดูนาฬิกาในเวลาที่ไม่แตกต่างกัน 


แล้วพบว่าข้อความในหนังสือ และหรือ เวลาเปลี่ยนไป ก็ให้รู้ว่าคุณอยู่ในความฝันแล้ว 





นอกจากนี้ยังมีการมองภาพของตัวเองในกระจก ซึ่งก็มีการกล่าวอ้างว่า ในความฝันนั้น คุณจะไม่สามารถมองหน้าตัวเองในกระจกได้ชัดเจน เหมือนในความเป็นจริงเลย 





วิธีการสังเกตเครื่องหมายแสดงถึงความฝัน (Dream Signs) การทดสอบอีกวิธีหนึ่งก็คือการสังเกต "สัญลักษณ์ความฝัน" เช่น ถ้าคุณพบช้างสีชมพูกำลังเดินพาเหรด หรือกระทั่งคุณกำลังคุยกับสุนัขตัวโปรดอยู่ นั่นแหละ "คุณกำลังฝันไป" 





วิธีเทคนิคเหนี่ยวนำ (Mnemonic Induction) วิธีนี้จะใช้ความตั้งใจในการสังเกตเครื่องหมายแสดงถึงความฝัน (dream signs) เวลาที่กำลังใกล้จะหลับ วิธีเหนี่ยวนำโดยการกลับไปนอนใหม่ (Wake Back To Bed Induction technique (WBTB)) วิธีนี้ผู้ฝันจะกลับไปนอนใหม่ หลังจากที่ตื่นขึ้น 


โดยจะทำการวิเคราะห์ความฝันที่ได้ฝันในเมื่อครู่เป็นเวลาสัก 1 ชม. แล้วก็กลับไปนอนใหม่ ซึ่งนักผจญภัยความฝันได้กล่าวว่าจะเกิดสภาวะ lucid dreaming ได้ง่ายขึ้น วิธีเหนี่ยวนำด้วยเข้าสู่สภาวะ lucid dreaming ในฉับพลัน (Waking Induction of Lucid Dreaming (WILD)) WILD เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุด 





โดย ผู้ทดสอบจะพยายามเข้าสู่สภาวะ lucid dreaming ทันที โดยการพยายามทำตัวเองให้อยู่ในสภาวะ "hypnagogic" ซึ่งอยู่ในเส้นแบ่งระหว่างการหลับ กับไม่หลับ หรือสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น 


ถ้าผู้ทดสอบสามารถอยู่ในสภาวะดังกล่าวได้ ก็จะสามารถควบคุมความฝันได้ โดยรู้ว่ากำลังอยู่ในความฝันอยู่ โดยนักผจญภัยความฝันกล่าวไว้ว่า มีขั้นตอน 3 ขั้นตอน 





ที่จะทำให้อยู่ในสภาวะนี้ได้ นั่นคือผ่อนคลาย (Relax)พยายามทำตัวให้มีสติ (Stay awake)แล้วก็เข้าสู่ความฝัน (Enter your dream)จากการทดสอบพบว่า วิธีนี้จะใช้ดีที่สุดในตอนกลางวัน เพราะตอนกลางคืน ผู้ทดสอบมักจะผลอยหลับไปซะก่อน 





สิ่งที่ผู้ผจญภัยความฝันมักจะทำ เมื่ออยู่ในสภาวะ lucid dreaming บิน (flying) นักผจญภัยความฝันทุกคน มักจะฝันว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่ไร้แรงดึงดูด หลายๆ ท่านบอกว่าเขาสามารถบินได้ แล้วก็บินไปอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน บางท่านบินด้วยความเร็วแสง ซึ่ง สามารถแซงชนะ UFO แบบไม่มีความเฉื่อยเปลี่ยนแปลง (transforming) บางท่านพบว่า สามารถจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สัตว์ หรือสิ่งของ ชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์หรือสิ่งของชนิดอื่นๆ ได้ บางท่านฝันว่าตัวเองสามารถมองได้ 360 องศา หรือมีโซน่าแบบค้างคาว เป็นต้นสำหรับ lucid dreaming นั้น ท่านผู้รู้ได้ให้ทรรศนะว่า "การที่จะควบคุมความฝันได้นั้น ผู้ฝันจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายฝันเสียก่อน จึงจะสามารถควบคุมความฝันได้"







เด็กจากโลกอื่น

ความลึกลับของเด็กสองคนที่มีผิวกายสีเขียว ถูกยึดถือเป็นข้อพิสูจน์เรื่องมิติที่สี่ โดยนักวิจัยทางวิญณาญและภูตผีปีศาจ นิยายปรัมปราก็ดี การถือโชคลางก็ดี และการบิดเบือนความจริงก็ดี อาจจะบดบังความจริงเสีย แต่ข้อเท็จจริงยังคงมีอยู่ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งอุบัติขึ้นที่เชิงเขาประเทศสเปน วันหนึ่งในค.ศ. 1887

บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกันเดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราว 90 ปีมาแล้วก็จริง แต่ก็มีผู้ที่มีชีวิตอยู่หลายคนซึ่งยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี ไม่ต้องสงสัยเลย อาจมีการเล่าเกินความจริงไปบ้าง และอาจบิดเบือนความจริงไปบ้างก็ได้ แต่ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลฐานของเรื่องนี้ที่รู้สึกว่าไม่สามารถโต้แย้งได้ก็คือ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัวจริงๆ ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลกและกระท่อนกระแท่น กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

และที่ประหลาดที่สุดก็คือ...ผิวกายเป็นสีเขียวขจี นับเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ ปราศจากเหตุผลแต่ก็ไม่ต้องการคำอธิบาย แม้กระนั้นนักวิจารณ์เกี่ยวแก่ภูตผีปีศาจก็ปักใจเชื่อว่า บางทีอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่มีคุณค่าที่สุดเท่าที่พวเขาเคยได้รับเกี่ยวแก่มิติที่สี่ โลกซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับโลกของเรา เป็นแดนสนธยาซึ่งเด็กสองคนนั้นรอดพ้นออกมาได้ จะด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดก็ตาม
ทฤษฎีก็คือว่า เด็กสองคนนี้ตกเข้าไปในของเหลวหรือก๊าซในอวกาศ เหมือนดังคนที่ตกลงไปในโพรงน้ำแข็งและไม่สามารถกลับออกมา จึงได้เข้าไปสู่ที่ราบของมิติที่สาม แล้วเลยเข้าไปในมิติที่สี่ และไม่สามารถกลับมาได้

ประหลาดมหัศจจรย์หรือ? อาจเป็นไปได้ แต่ในบรดาทฤษฎีทั้งหมดที่นำมาพิจารณาเกี่ยวแก่การปรากฏตัวของเด็กที่ผิวกายสีเขียวนี้ ก้เป็นทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่พอจะนำมาอธิบายได้เป็นซ้ำสอง

ในไม่ช้า หลังจากปรากฏการณ์นี้ นักบวชรูปหนึ่งเดินทางจากบาร์เซโลนาเพื่อทำการสอบสวน นักบวชรูปนั้นได้เห็นเด็กทั้งสอง และได้ซักถามประจักษ์พยาน และต่อมาก็ได้เขียนรายงานขึ้นไว้ ความว่า

“อาตมาประหลาดใจมากที่มีประจักษ์พยานรู้เรื่องมากมาย จนต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจ และคลี่คลายได้ด้วยอำนาจแห่งสติปัญญา”

พวกชาวนาที่เกี่ยวข้าวกำลังพักผ่อนรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ เมื่อเด็กประหลาดคู่นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ปากถ้ำบนเชิงเขา ทั้งสองมีอาการเงอะงะร้องไห้โฮออกมาอย่างเปิดเผย และที่ประหลาดมากก็คือทั้งสองคนมีผิวกายสีเขียวเข้ม

ด้วยความไม่เชื่อ คนทำงานพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้าน

ทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน

ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนตนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย

เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก

ดา คาลโนพยายามสังเกตดูรูปร่างของเด็กทั้งสอง แม้ว่าจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ใกล้ไปทางเผ่าพันธุ์นิกรอยด์เล็กน้อย นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก

เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย ไม่ทราบว่าอาหารอะไรจึงจะเป็นที่พึงใจเขาทั้งสอง

มีรายงานฉบับหนึ่งกล่าวว่า “ได้มีการนำเอาถั่วที่ตัดหรือเด็ดจากต้นเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าเด็กทั้งสองกรากเข้าหยิบเอาไปฉีกอย่างตะกรุมตะกราม แต่ไม่ยักฉีกที่ฝัก กลับไปฉีกที่ลำต้น คงเข้าใจว่าเม็ดถั่วอยู่ในโพรงลำต้น

“เมื่อไม่พบอะไร เด็กทั้งสองก็ตั้งต้นร้องไห้อีกครั้งแล้วใครคนหนึ่งจึงฉีกฝักถั่วให้ดู เมื่อนั้นแหละ ทั้งสองจึงดีใจมาก และกินถั่วเข้าไปตั้งมากมาย และตั้งนั้นมาก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารอื่นใดอีกเลย”

แต่การอดอาหารมาหลายวันดูเหมือนจะเป็นอันตรายแก่เด็กทั้งสองนั้นอย่างร้ายแรง ทั้งๆที่ได้กินถั่วแล้วเด็กผู้ชายก็อ่อนเพลียลงเรื่อยๆ จนในที่สุดได้ถึงแก่กรรมลง หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆจางลง และเป็นคนแปลกประหลาดของหมู่บ้านน้อยลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น

เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีมีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ “มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก” เธอบอก

ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า “มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว”

นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง และบางทีเธออาจทราบทั้งหมดเพียงเท่านั้นเอง เด็กผู้หญิงมีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก้ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ

นับเป็นเรื่องราวที่ประหลาดมหัศจรรย์ มันเป็นเรื่งปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหรือเป็นเรื่องที่เล่ากันให้แปลกและตื้นเต้นสืบต่อกันมาลายชั่วคนกระนั้นหรือ?

แต่ถึงอย่างไร เอกสารต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่พร้อมด้วยถ้อยคำให้การของบรรดาประจักษ์พยาน ที่ได้สาบานตนว่าจะพูดความจริงและล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้สัมผัสเนื้อตัวมนุษย์ประหลาดซึ่งจูงมือกันเดินออกมาจากโพรงในพื้นดินทั้งสิ้น

มีทฤษฏีหลายอย่างที่เกี่ยวแก่เรื่องนี้ อาทิเช่น เด็กนั้นอาจมาจากดาวอังคาร ดวงดาวซึ่งเย็นลงแล้วและที่เชื่อกันว่าพันธุ์ไม้ที่อาจเป็นสีน้ำเงิน หรือสีเขียวขจีเหมือนผิวกายของเด็กทั้งสอง อย่างที่พบในตอนสูงๆของภุเขาแอลป์ส์

แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบถึงสิ่งมีชีวิตที่ใต้พื้นพิภพว่ามีจริงและเคยโผล่ออกมาให้เห็นจากโพลงลึกลงไปในดิน



ที่มา : โลกพิศวง สันตสิริ

มู ทวีปแห่งมารดร


James Churchward นายพันผู้สนใจปรัชญาตะวันออก ได้เดินทางไปพำนักที่อินเดีย โดยอาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้เมือง Rishi ด้วยความสนใจด้านตำนานโบราณ เชิร์ชวาร์ดได้สนิทสนมกับนักบวชผู้ใหญ่รูปหนึ่งอย่างรวดเร็ว ความใฝ่รู้ของเขาทำให้นักบวชเกิดความพอใจ

และถ่ายทอดตำนานเร้นลับที่สาปสูญมานานนับพันปีเรื่องหนึ่งให้กับเขา ไม่เพียงแต่ตำนานครับ นักบวชท่านนั้นยังได้ถ่ายทอดภาษาโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาษาดั้งเดิมของมนุษยชาติให้กับเชิร์ชวาร์ด นายพันหนุ่มใหญ่รู้สึกทึ่งระคนกับอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องราวที่เขาได้ศึกษามาหลังจากนั้น ยิ่งแกะรอยลึกเข้าไปเขาก็ยิ่งงงงัน เพราะเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงที่เขาเรียนรู้มา มันเพียงพอที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้เลยทีเดียว เจมส์ เชิร์ชวาร์ดตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่า เขาจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะทั่วโลกยังทีดินอดนต่างๆอีกมากมายที่รอให้เขาบุกเบิก เพื่อศึกษาเข้าไปถึงแก่นลึกของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ทวีปแห่งมารดร... มู เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2411 ครับ
นี่แหละครับ หน้าตาของนักโบราณคดีคนเก่ง เจมส์ เชิร์ชวาร์ด

หลักฐานที่ค้นพบทั้งหลายแหล่นำมาสู่คำถามที่ว่า ทวีปแห่งมารดรหรือมูนี้ได้สูญหายไปในอดีตกาลหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงแค่ตำนานของคนรุ่นก่อนเท่านั้น หากมีจริง มู ตั้งอยู่ที่ไหน
ควรจะมีลักษณะของภูมิศาสตร์หรืออารยธรรมเป็นเช่นไร?ว่ากันว่าทวีปมู ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งประสบภัยพิบัติคล้ายกับแอตแลนติส

และปัจจุบันคงเหลือเพียงหมู่เกาะเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปให้เราเห็นเท่านั้น เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกันนะครับ เพราะในตำนาน มู เป็นดินแดนที่กว้างใหญ่มหาศาล แต่กลับหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย ทั้งที่ตามหลักฐานที่เราพอจะมีอยู่ ตำนานของอาณาจักรนี้ บอกกับเราว่า ครั้งหนึ่ง ที่นี่เป็นจุดกำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติ มีอายมากกว่า 50,000 ปี ซึ่งแน่นอนว่า เก่าขนาดนี้ร่องรอยอะไรก็คงไม่เหลือแล้ว
เราจะเอาอะไรไปศึกษา แล้วเรื่องนี้มันน่าเชื่อถือได้ไหม? อารยธรรมโบราณต่างๆสืบทอดมาจากมูใช่หรือไม่ และประการสำคัญ มูกับแอตแลนติส เป็นดินแดนเดียวกันหรือเปล่า

เดี๋ยวเราจะค่อยๆมาค้นหาคำตอบกันครับมากล่าวถึงเชิร์ชวาร์ดกันต่อ จากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีผู้นี้สนใจเรื่องของมูเป็นอย่างมาก เขาได้เดินทางสำรวจไปทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะในทะเลใต้ ซึ่งเชิร์ชวาร์ดเองเชื่อว่าเคยเป็นที่ตั้งของมูมาก่อน หลักฐานที่ทำให้เขาปักใจเรื่องของดินแดนโบราณนี้

อย่างแรกคือแผ่นจารึกที่เขาได้ทำการศึกษาในอินเดียครับ เราเรียกกันว่าจารึกนาอะคัล(Naacal)
อย่างที่สองก็คือ เมื่อนำเอาเรื่องราวจากจารึกนี้ไปโยงใยกับอารยธรรมโบราณ ที่มีความเจริญแบบผิดยุคสมัยและมีที่มาที่ไปอันมืดมน(สำหรับนักโบราณคดีน่ะนะ) เช่น อียิปต์ แอซเท็ค อินคา จะพบว่า มันมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีโบราณ หรือตำนานอันน่าทึ่งที่บังเอิญมาพ้องต้องกัน จนเราอาจจะยืนยันได้ว่า ทวีปซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมของมนุษยชาตินั้นมีอยู่จริงแต่จะใช่อันเดียวกับแอตแลนติสไหม

หลักฐานของใครหนักแน่นกว่า เพราะหลายคนก็มีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน ประการสำคัญ นักคิดนักเขียนพวกนี้ไม่มีใครยอมใครด้วย ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและเลือกที่จะเชื่อ (หรือรับฟังไว้ก่อน)ก็แล้วกันนะครับ






เมื่อกล่าวถึงอาณาจักรมูแล้วไม่กล่าวถึงคนๆนี้ก็ดูดหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างครับ บุคคลที่ว่าเป็นนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส-เอเตียน บราสเซอร์ เดอ บอร์บอร์ก ซึ่งนับเป็นคนแรกเลยที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทวีปมูขึ้นมาเดอ บอร์บอร์ก เคยศึกษาอยู่ในอเมริกาครับ ระหว่าที่เขากำลังศึกษาเรื่องราวของชาวมายาอยู่นั้น (พ.ศ. 2407) เขาได้แปลเอกสารโบราณส่วนหนึ่งของชาวมายาออกมา

โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดที่รอดจากการเผาทำลายของชาวสเปนมาได้
ผลจากความพยายามของบอร์บอร์กทำใหอนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ทราบว่า ครั้งหนึ่งเคยมีนครโบราณที่ต้องมีอันเป็นไป ด้วยการจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเพราะการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ เดอ บอร์บอร์กพบอักษรภาพคู่หนึ่งในเอกสารโบราณนั้น ซึ่งการออกเสียงของอักษรดังกล่าวตรงกับตัวเอ็มและตัวยูในภาษาอังกฤษ
เขาจึงอนุมานว่า นครโบราณที่จมหายลงสู่ใต้น้ำนั้น น่าจะมีชื่อว่านครมูหรืออาณาจักรมูครับการค้นพบของเดอบอร์บอร์กสร้างความตื่นตัวให้วงการโบราณคดีอยูไม่น้อยครับ

นักโบราณคดีหลายคนพยายามแกะรอยอาณาจักรดังกล่าวจากเอกสารต่างๆที่พอจะหาได้ ซึ่งผลงานที่ออกมาก็มีทั้งตั้งอกตั้งใจและแหกตา เนื่องมาจากมูลเหตุอยู่ที่เอกสารโบราณของชาวมายา ดังนั้นหลักฐานเพิ่มเติมที่ควรสนใจจึงน่าจะอยู่ที่แหล่งอารยธรรมของมายา ซึ่งก็โชคดีอีกนั่นแหละ ที่นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสอีกทีมได้ค้นพบหลักฐานน่าสนใจที่โยงใยถึงอาณาจักรมูอีกชิ้นหนึ่ง นักโบราณคดีชุดนี้นำทีมโดย ออกัสตัส เลอพอง กีออง ครับเลอพอง กีออง แถลงว่า สิ่งที่พวกเขาค้นพบคือหลักฐานที่ว่าด้วยตำนานของชาวมายาครับ

กล่าวถึงนครโบราณที่มีนามว่า มู มีผู้ปกครองเป็นราชินีนามเหมือนชื่อนครนั่นคือ ราชินีมู(Moo) พระนางมีสวามีเป็นพี่น้องกันแต่ต่อมาได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยการแย่งอำนาจ จนนางต้องอภิเษกกับน้องชายอีกคนหนึ่ง กระทั่งเมื่อนครนี้ประสบภัยจากภูเขาไฟระเบิด ราชินีมู ได้พาผู้คนอพยพไปตั้งรกราก ณ ดินแดนแห่งใหม่ ซึ่งนักโบราณคดีกลุ่มนี้ตีความว่าน่าจะเป็นดินแดนอียิปต์ เพราะตำนานไปสอดพ้องต้องกันกับเรื่องราวของ เทวีไอซิส อย่างเหลือเชื่อ - - สวามีของไอซิสคือโอสิริสซึ่งสิ้นชีพไปเพราะการกระทำของเซธผู้เป็นน้องชาย สุดท้ายเซธก็ต้องมารบกับโฮรัสบุตรของโอสิริสซึ่งมาล้างแค้นแทนบิดา ส่งผลให้ทะเลทรายซาฮาร่ากลายสภาพจากป่าดงดิบเป็นทะเลทรายอันไพศาลไป

รายละเอียดของเรื่องราวนับว่าคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมล่ะครับ?นักโบราณคดีชุดนี้เชื่อว่า ทวีปมูน่าจะตั้งอยู่ในอ่าวเม็กซิโก และอยู่ทางตะวันตกของทะเลแคริบเบียน โดยทวีปมูมีการแบ่งดินแดนในปกครองออกเป็นนครเล็กๆสิบแห่ง ซึ่งนับว่าคล้ายคลึงกับเรื่องแอตแลนติสของเพลโตเป็นที่สุด และที่สำคัญ ชาวมายากล่าวถึงมูว่า ทวีปนี้ได้จมหายสู่ก้นมหาสมทุรเมื่อราว 8 พันปีมาแล้ว อันเป็นระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับการล่มสลายของแอตแลนติสภายใต้สมมติฐานของนักโบราณคดีปัจจุบันหรือว่า... มูกับแอตแลนติสนั้นคือดินแดนเดียวกัน แต่ถูกเรียกต่างกันไปตามภาษาต่างๆ?

หลายคนว่ามันไม่น่าจะใช่ ลืมเจมส์ เชิร์ชวาร์ดไปแล้วหรือยังครับ นักโบราณคดีผู้แปลตัวอักษรที่มีการจารึกไว้บนศิลาโบราณในอินเดีย เชิร์ชวาร์ดได้พบเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับมู เขาบรรยายว่าดินแดนแห่งมูนั้นราวกับสวนสวรรค์บนโลกมนุษย์ก็มิปาน เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชากรอยู่มากถึง 64 ล้านคน เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้ดินแดนนี้ถึงแก่การล่มสลาย มีประชาชนเพียงส่วนน้อยที่อพยพหนีออกมากันได้ และต้องเริ่มต้นตั้งอารยธรรมมนุษย์กันใหม่หมด ดังนั้นพวกเขาจึงจารึกเรื่องราวทั้งหลาย เพื่อถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังให้รับทราบ... เอ ชักจะยังไงแล้วสิ เพราะเรื่องราวของทั้งสองดินแดนนี้ดูคล้ายคลึงกันมาก เรามาดูรายละเอียดกันต่อสักนิดดีไหมครับ ว่า "มู" คงหลงเหลือหลักฐานอะไรไว้ให้พวกเรารุ่นหลังได้ศึกษากันอีก