วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Sang Chu วง Mighty Mouth ลดน้ำหนัก 10 กิโลภายใน 10 วัน

มาแล้วคลิปเวทีแรกของ T-ara กับเพลงใหม่ ‘Roly Poly’

มาดูสาว ๆ 2NE1 ซ้อมเต้นในเพลง ‘I Am The Best’

Alex เปิดเผยว่าเขาคบกับแฟนสาวคนนี้ได้อย่างไร ใน Strong Heart

HyunA (4minute) ปล่อย ‘A Bitter Day’ เพลงในอัลบั้มใหม่ออกมาแล้ว

T-ara ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Roly Poly’ ตอนแรกออกมาแล้ว

ส่งตรงจากญี่ปุ่น ‘Let It Go’ มิวสิควีดีโอตัวล่าจาก F.T. Island

คู่ฮิพ GD&TOP ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Don’t Go Home’ ออกมาแล้ว

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตัวอย่างหนังใหม่ The Tree of Life เดอะ ทรี ออฟ ไลฟ์

ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ The Tree of Life
ชื่อไทย เดอะ ทรี ออฟ ไลฟ์
ประเภทหนัง Drama
ผู้กำกับ Terrence Malick
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 07 July 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง Brad Pitt, Sean Penn, Jessica Chastain


ตัวอย่างหนังใหม่ The Tree of Life เดอะ ทรี ออฟ ไลฟ์ | เรื่องย่อ
เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในปี 1950 ที่มีลูกชายด้วยกันทั้งหมด 3 คน โดยที่มีหัวหน้าครอบครัวคือ Mr. O'Brien (Brad Pitt) และลูกชายคนโต Jack กับความสัมพันธ์ของ Jack และพ่อที่เขาพยายามจะทำความเข้าใจและหาทางปรองดองคืนดีกับพ่อของเขา และค้นหาความหมายของการมีชีวิต เมื่อตัวของ Jack ในวัยผู้ใหญ่ (แสดงโดย Sean Penn) สามารถเข้าใจเรื่องราวในช่วงวัยเด็กของเขา และความสำคัญของครอบครัวได้

The story centers around a family with three boys in the 1950s. The eldest son witnesses the loss of innocence.



Dead Of Night ฮีโร่รัตติกาล ถล่มมารหมู่อสูร

ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Dead Of Night
ชื่อไทย ฮีโร่รัตติกาล ถล่มมารหมู่อสูร
ประเภทหนัง Sci-Fi/Fantasy/Action
ผู้กำกับ Kevin Muroe
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 23 June 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง Brandon Routh, Peter Stormare, Sam Huntington


ตัวอย่างหนังใหม่ Dead Of Night ฮีโร่รัตติกาล ถล่มมารหมู่อสูร | เรื่องย่อ
ดีแลน นักสืบคนแกร่ง ผู้หันหลังให้กับโลกของแวมไพร์ ซอมบี้และมนุษย์หมาป่าเมื่อเขาสูญเสียคนที่รักไป เรื่องราวของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่ออลิซาเบธ (อานิต้า บรีเอม) หญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในความเดือดร้อน จ้างเขาให้ไขปริศนาการฆาตกรรมสุดสยองของพ่อเธอ เมื่อดีแลนพบเส้นขนของมนุษย์หมาป่าในที่เกิดเหตุ เขาก็รู้ทันทีว่า เขากลับมาพัวพันกับเรื่องของพวก “ผีดิบ” อีกแล้ว ในตอนแรก ดีแลน พยายามจะปฏิเสธไม่รับทำคดีนี้ แต่เมื่อมาร์คัส (แซม ฮันติงตัน) เพื่อนซี้ของเขาถูกฆ่าตายและกลับมาในร่างของซอมบี้ พระเอกของเราก็จำยอมต้องออกโรงเสียแล้ว ในการค้นหาคำตอบ ดีแลน ได้เผชิญหน้ากับเพื่อนเก่าและศัตรูเก่าของเขา กาเบรียล ผู้นำฝูงมนุษย์หมาป่า (ปีเตอร์ สตอร์แมร์) ยังคงนับถือดีแลน แต่ก็เกลี้ยกล่อมให้เขา “เกษียณอยู่อย่างเดิม” วาร์กัส ผู้นำเผ่าพันธุ์แวมไพร์ (เทย์ ดิ๊กส์) ยิ่งไม่พอใจกับการกลับคืนสู่วงการของดีแลนเข้าไปใหญ่ และเขาก็บอกถึงความไม่พอใจนี้ให้ดีแลนได้รับรู้ด้วยการส่งสมุนแวมไพร์ไปเก็บเขาก่อนที่เขาจะทันได้ขัดขวางแผนการแวมไพร์ยึดครองโลกของวาร์กัส

บัดนี้ ดีแลน, มาร์คัส และอลิซาเบธ จะต้องแข่งกับเวลาเพื่อตามหาวัตถุโบราณแห่งความชั่วร้ายเหลือคณา ที่อาจทำลายสมดุลระหว่างโลกทั้งสอง (โลกมนุษย์และโลกของเหล่าผีดิบ) และปลดปล่อยนรกสู่โลกมนุษย์…และนิวออร์ลีนส์ก็เป็นได้


The adventures of supernatural private eye, Dylan Dog, who seeks out the monsters of the Louisiana bayou in his signature red shirt, black jacket, and blue jeans.



Mai Ga Mom ใหม่กะหม่ำ โดนกะโดน

ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Mai Ga Mom
ชื่อไทย ใหม่กะหม่ำ โดนกะโดน
ประเภทหนัง Romantic/Comedy
ผู้กำกับ หม่ำ จ๊กมก
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 23 June 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง หม่ำ จ๊กม๊ก, ใหม่ เจริญปุระ, โหน่ง ชะชะช่า, เท่ง เถิดเทิง


ตัวอย่างหนังใหม่ Mai Ga Mom ใหม่กะหม่ำ โดนกะโดน | เรื่องย่อ
“คนที่ทั้งใช่และโดน” จะมีมั้ยน๊า? ปัญหาโลกแตกที่ ใหม่ (ใหม่ เจริญปุระ) สาวเปรี้ยวสุดซ่าส์ตั้งคำถามกับตัวเองมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนผ่านมหา’ลัย ข้ามวัยมาจนถึงบัดนาว ก็ยังไม่เห็นหนุ่มหน้าไหนจะจริงใจรักจริงสักราย นอกจากพ่อบังเกิดเกล้า ผู้ชายทั่วไปก็เลวเหมือนกันหมดเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า ดีที่ชีวิตนี้ยังมี หม่ำ (หม่ำ จ๊กม๊ก) เพื่อนซี้ที่คอยดามอกหิ้วปีกใหม่ทุกครั้งที่เมาเละจากอาการอกหักจากบรรดาผู้ชายทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน กะเพรา (รับบทโดย โหน่ง ชะชะช่า) เมียสาวของหม่ำ เริ่มอดรนทนไม่ไหวกับมิตรภาพความห่วงใยที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลาของเพื่อน หม่ำ-ใหม่ ที่นับวันจะเกินความพอดี ถึงขนาดต้องยื่นคำขาดกันแล้วว่า ระหว่าง “เพื่อน” กับ “เมีย” หม่ำจะเลือกใคร? แต่ก่อนที่หม่ำจะมีโอกาสเคลียร์โจทย์ที่ยากที่สุด เพราะทั้งชีวิตของหม่ำก็มีแค่เพื่อนกับเมียนี่แหละสำคัญที่สุด แล้วทำไมต้องเลือกด้วย!!! ดูเหมือนอุปสรรคขวากหนามของชีวิตจะยังไม่ยุ่งเหยิงพอ จู่ๆสวรรค์เบื้องบนก็ส่งโกสน (รับบทโดย เท่ง เถิดเทิง) ไม่ใช่มือที่ 3 แต่เป็นมือที่ 4 มาทดสอบความสัมพันธ์ระหว่าง หม่ำ, ใหม่ และ กะเพรา พร้อมกับดลใจให้หม่ำที่ร้อยวันพันปีไม่เคยกินเหล้าดันเกิดอาการเมาปลิ้นกับซี้ใหม่ ทั้งคู่ต่างสลบสไลไร้สติไปกับการเมาเละครั้งประวัติศาสตร์ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาพบว่าต่างฝ่ายต่างเนื้อตัวล่อนจ้อน และที่สำคัญคือใหม่ท้อง???

เอาละซิ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรัก ความผูกผัน ของทั้ง 3 ที่ต้องมะรุมมะตุ้มวุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างที่ใครก็กะเกณฑ์ไม่ได้ จนเป็นเหตุให้สัมพันธภาพของเพื่อนซี้อย่างใหม่-หม่ำ-ต้องเปลี่ยนไปอย่างกู่ไม่กลับโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานภาพความเป็นเพื่อนรักเพื่อน



สุดๆ ของคลิปแต่งงานในชื่อชุด ‘Magic Girl’ วง Orange Caramel

ตัวอย่างหนังใหม่ Transformers 3 : Dark of The Moon ทรานฟอร์เมอร์ส 3 : ดาร์ค ออฟ เดอะ มูน

ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Transformers 3 : Dark of The Moon
ชื่อไทย ทรานฟอร์เมอร์ส 3 : ดาร์ค ออฟ เดอะ มูน
ประเภทหนัง Action/Sci-fi
ผู้กำกับ Michael Bay
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 30 June 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง Shia LaBeouf, Rosie Huntington-Whiteley, Patrick Dempsey, Josh Duhamel, Tyrese Gibson, Lester Speight, Ramon Rodriguez, John Turturro, Frances MacDormand, John Malkovich


ตัวอย่างหนังใหม่ Transformers 3 : Dark of The Moon ทรานฟอร์เมอร์ส 3 : ดาร์ค ออฟ เดอะ มูน | เรื่องย่อ
Transformer 3 นำเสนอเรื่องราวของแซม วิทวิคกี้ (ลาบัฟ) ที่กำลังจะย่างเท้าก้าวแรกเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมๆ กับการรักษาสถานะการเป็นมิตรชาวมนุษย์กับออพติมัส ไพรม์เอาไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากหลังเป็นการแข่งขันทางอวกาศระหว่างสหภาพโซเวียตและ สหรัฐอเมริกา ซึ่งบ่งบอกว่าเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์มีบทบาทที่ซ่อนเร้นอยู่ และนั่นก็คือหนึ่งในความลับที่อันตรายที่สุดของโลก และหนึ่งในหุ่นตัวร้ายของภาคนี้คือ ช็อคเวฟ



ฟังก่อนใคร ‘Roly Poly’ เพลงใหม่ล่าสุดจาก T-ara

แก็ง 2NE1 ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘I Am The Best’ ออกมาแล้ว

Goo Hara วง KARA กับ Yong Jun Hyung วง B2ST กำลังคบกันอยู่

Kim Hyun Joong ยอมรับว่า “ผู้หญิงที่ดื่มไม่เป็น ไม่สนุก”

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คลิปตัวอย่างความมันส์ของ Running Man ไทยแลนด์ เผยออกมาแล้ว

ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับหนัง Transformers สนใจในตัว Rain

คลิป 2PM พาคุณสู่ตึกระฟ้ากับ ‘Hands Up’

หลับฝันดีกับ Rainbow ในเพลง ‘Sweet Dream’

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Mikey เตรียมออกซิงเกิ้ลใหม่พร้อมได้ Kim Jong Kook มาร่วมร้อง

พร้อมแล้วหรือยังกับ “I Am The Best” มินิอัลบั้มล่าสุดของ 2NE1

2PM เผยเบื้องหลังการถ่ายทำมิวสิควีดีโอ ‘HANDS UP’ ออกมาแล้ว

คู่รัก Khuntoria ปล่อยเบื้องหลังการทำโฆษณา “Caribbean Bay” ออกมาแล้ว

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ศาสนสถาน แห่งแรกของโลก

พุทธศาสนา นั้นมีอายุมากว่า 2,500 กว่าปี คริสตศาสนานั้นมีอายุมากว่า 2,000 ปี แต่ศาสนสถานแห่งนี้มีอายุกว่า 11,000 ปีล่วงมาแล้ว นับเป็น วัดที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบมา








สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า Göbekli Tepe เป็นอาคารหินแกะสลักโดยมีแผ่นหินจัดเรียงเป็นวงกลม คาดว่าเป็น ศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน

Göbekli Tepe อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศตุรกี ในบริเวณจุดสูงสุดของเทือกเขา ที่อยู่ทางเหนือของเมือง Şanlıurfa


จากการตรวจสอบคาร์บอนเดท พบว่ามันมีอายุอยู่ในช่วง 12,000-13,000 ปี ซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์ยังไม่เครื่องมือโลหะ ยังไม่รู้จักเครืืองปั้นดินเผา แต่สภาปัตยกรรมนั้นกับมีการแกะสลักอย่างงดงามเหลือเชื่อ

สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของกลุ่มชุมชนที่รวมตัวกันเพื่อล่าและหาอาหาร(hunter-gatherers ชุมชนที่พึ่งพิงการล่าสัตว์ หาพืชผลป่ากินเป็นหลักเนื่องจากไม่รู้จักการทำเกษตรกรรม หรือเลี้ยงสัตว์)

มันถฤูกค้นพบครั้งแรกโดยนักสำรวจชาวอเมริกันเมื่อปี 1964 จากลักษณะยอดเขาที่ไม่เหมือนสภาพทางธรราชาติ แต่มันถูกคาดว่าสุสานโบราณของ Byzantine ที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน


จนกระทั้งในปี 1994 จึงได้มีการขุดค้นโดยทีมนักโบราณคดีจากเยอรมัน ที่นำทีมโดย Klaus Schmidt

จากการขุดค้นพบแผ่นหินรูปตัวที มีงานแกะสลักอย่างงดงาม โดยมากเป็นรูปหมูป่า และเป็ด ที่กำลังถูกล่าเพื่อเป็นอาหาร และการละเล่น ที่ถูกจัดวางเป็นวงกลมโดยวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 19.5 เมตร(65 หลา)


การค้นพบ Göbekli Tepe ถือว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติเนื่องจากได้ทำลายความเชื่อว่ามนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ นั้นอาศัยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆเมื่อแหล่งอาหารเสื่อมโทรม แต่จากขนาดของ Göbekli Tepe เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้คนกลุ่มเล็กในการก่อสร้าง แต่มันต้องอาศัยความร่วมมือของคนจำนวนมาก และระยะเวลาอันยาวนาน ในการก่อสร้างจึงมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยแบบถาวร ของ มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์



ภาพจำลอง Göbekli Tepe ในอดีต




ภาพถ่ายภายใน Göbekli Tepe




จะเห็นว่าแผ่นหินได้รับการแกะสลักอยู่งดงาม


ที่มา : wowboom

____________________



นาซก้า อารยธรรมยุคพระเจ้าอวกาศ

บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่ง ทวีปอเมริกาใต้ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มีที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่มชิ้นหนึ่งของโลก ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆจะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมาของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น 








ที่ราบนาซก้าปัจจุบันอยู่ในดินแดน ของทวีปเปรู ซึ่งประเทศนี้ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬารและมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของชนเผ่านี้เรียกได้ว่าคือหนึ่งในความ มหัศจรรย์ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว

ก็มีที่ราบนาซก้านี่แหละครับที่นักโบราณคดีพากันสนใจ เพราะที่ราบดังดังกล่าว ได้ปรากฏคลองหรืออะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงยาวเหยียด ลากไปมากลายเป็นรูปเรขาคณิตหน้าตาท่าทางประหลาด และที่สำคัญคือรูปพวกนี้ สามารถมองเห็นได้เฉพาะจากทางอากาศเท่านั้น เรียกว่าต้องอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละครับ ถึงจะพอมองเห็นเป็นรูปร่าง ข้อนี้เองที่ทำให้หลายต่อหลายคนสงสัยกันว่า คนโบราณ(ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใคร)ที่สร้างลายเส้นเหล่านี้ขึ้นมา เขามีจุดประสงค์ใดหนอ ถึงได้สร้างภาพลายเส้นที่มองเห็นได้จากเฉพาะทางอากาศนี้ขึ้นมา ทั้งที่สมัยนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด นักโบราณคดีบางคนเรียกลายเส้นเหล่านี้ว่าสนามบินโบราณครับ เพราะมันคล้ายกับรันเวย์ของสนามบินเสียจริงๆ







ดิน แดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกันดาร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีฝนตกเอาเสียเลยนี่ครับ ในช่วงปี 1960 ได้เกิดอุทกภัยขึ้นบริเวณแม่น้ำแถบนั้น เป็นผลให้ตลิ่งและบริเวณริมฝั่งแม้น้ำ Ica ถูกกัดเซาะ ตอนนั้นเองแหละครับที่หินจำนวนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดขึ้นมาบริเวณฝั่ง นักโบราณคดีคาดว่าหินเหล่านี้อาจถูกฝังอยู่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว และโผล่หน้าออกมาเพราะแรงเซาะจากกระแสน้ำ พวกเขาเรียกมันว่า Ica Stones ตามแหล่งที่ค้นพบครับ



แล้วหินพวกนี้มันน่าสนใจยังไงเหรอ? อืมห์... จะว่าไปมันก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่หินก้อนกลมเกลี้ยงที่มีภาพสลักของคนโบราณสลักเอาไว้อย่างที่ท่านเห็นใน รูปเท่านั้นแหละ แต่ว่านะครับ เจ้ารูปที่อยู่บนก้อนหินพวกนี้ มันก็พิลึกกึกกือผิดยุคอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งเป็นรูปของกิจกรรมทางการแพทย์ เช่นผ่าตัด มีรูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศเมื่อ 13,000,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง หา? ให้ผมทวนตัวเลขของปีเหรอครับ ได้สิ 13 ล้านปีไงครับ ก่อนหน้ายุคหินในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งนานนมเลยคุณ เห็นไหมล่ะ ว่าก้อนหินพวกนี้มันพิลึกอย่างที่ผมบอกจริงๆ



ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ Ica Stone นับเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนแกะสลักมันเอาไว้เมื่อไหร่ และแกะเอาไว้ทำไม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎีการเคลื่อนตัวของทวีป ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งยอมรับแล้ว ว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน ทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น และการที่มันไปปรากฏในมรดกของคนโบราณเช่น แผนที่ปีเรรีส หรือ ไอก้า สโตน ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อก่อน ยังมีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่อาจจะอาศัยอยู่ก่อนหรือ รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในครั้งกระโน้น แต่ว่า ครั้งกระโน้นมันตั้งหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้วเชียวนา...



ดร.Javier Cabrera นักฟิสิกข์ชาวเปรูผู้เป็นหนึ่งในทีมศึกษาไอก้าสโตนได้พบภาพของปลาที่สูญ พันธุ์ไปแล้วบนหินก้อนหนึ่ง เขาสนใจมันเอามากๆ จนชาวเมืองในแถบนั้นคนหนึ่งรู้เข้า ก็เลยเชิญ ดร.Cabrera ไปดูสิ่งที่เขาสะสมเอาไว้ Javier Cabrera เรียกสิ่งนั้นว่าพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดครับ เพราะมันเป็นคอเล็คชั่นสะสมก้อนหินและรูปปั้นโบราณนับหมื่นชิ้น มีขนาดนับตั้งแต่มะเขือเทศลูกเล็กๆไปจนถึงลูกบาสเก็ตบอลนั่นเชียว



ใน บรรดาคอลเล็คชั่นที่ Javier Cabrera ได้ไปศึกษาส่วนหนึ่งเป็นรูปปั้นของสัตว์หน้าตาประหลาดๆอย่างที่เห็นในภาพ เขาคิดว่าสัตว์พวกนี้ น่าจะเป็นรูปของสัตว์ที่เคยมีตัวตนมากกว่าจะทำออกมาในรูปของงานศิลปะ มันเหมือนไดโนเสาร์เอามากๆ นอกจากรูปปั้นดินเผาแล้ว หินแกะสลักลักษณะเดียวกับไอก้าสโตน ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แล้วก็มีลวดลายที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียด้วยสิครับ



Dr. Cabrera ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ของแผนที่ที่เขาพบในส่วนหนึ่งของหินดังกล่าว เพราะเขาต้องการพิสูจน์ว่า ภาพแผนที่โลกที่อยู่บนหินไอก้าแห่งเปรูนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอนหรือไม่ Dr. Don Patton นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยกรุงลิมา ประเทศเปรู ได้ร่วมมือกับ Cabrera ในการศึกษาแผนที่ดังกล่าว เขารู้สึกประหลาดใจกับทวีปต่างๆที่แสดงบนแผนที่ มันเป็นส่วนของแผ่นดินที่คุ้นเคยเอามากๆ แต่ตำแหน่งผิดไปจากปัจจุบันอยู่บ้าง แน่นอนครับ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จึงลงความเห็นหลังจากที่ค้นคว้าอยู่นานว่า เป็นปรกฏการณ์ที่อธิบายได้ยาก เขาให้คำอธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าภาพแผนที่นั้น คือสภาพของโลกเมื่อ 13 ล้านปีก่อนอย่งแน่นอน



จากการศึกษาอย่างยาวนานของ Dr.Cabrera เกี่ยวกับไอก้าสโตนและรูปปั้นดินเผา เขาได้ข้อสรุปออกมาโดยสังเขปดังนี้



คอ ลเล็คชั่นที่เขาเรียกว่าห้องสมุดนั้น สะสมไปด้วยบันทึกบนก้อนหินที่แตกต่างกันไป มีหลากหลายหัวเรื่องและสาขาวิชา เช่น การแพทย์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์โบราณ เป็นต้น

มันมาจากอารยธรรม โบราณที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการอย่างเหลือเชื่อ ความรู้ของอารยธรรมนี้สร้างหลายๆสิ่งที่ใกฃ้เคียงกับปัจจุบัน เช่น พาหนะที่เป็นนกเหล็ก ซึ่งน่าจะหมายถึงเครื่องบินหรืออากาศยาน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ การศัลยกรรมสมอง พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ก้าวหน้า รวมไปวิชาธรณีวิทยาที่รวบรวมเอาแผนที่ สภาพทางภูมิศาสตร์โลกและการเกษตรกรรมบางประการ

อย่างเหลือเชื่อ โลกในคำบรรยายจากคอลเล็คชั่นเหล่านั้นมีดวงจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งมีลักษณะเหมือนดาวเทียมมากครับ มีหินอยู่สี่ก้อนที่แสดงสภาพภูมิประเทศของทวีปต่างๆที่มองลงมาจากที่ สูง(หรืออาจจะเป็นชั้นบรรยากาศ) น่าแปลกใจมากครับเพราะนอกจากทวีปที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันแล้ว ยังมีส่วนของทวีปที่ไม่มีใครรู้จักรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ไหมว่ามันคือทวีปแอตแลนติส หรือ มู ที่เรากำลังตามรอยอยู่ในปัจจุบัน

ผู้คนในอารยธรรมดังกล่าวรู้ถึงหายนะ ที่จะมาถึงโลก (ไม่แน่ใจว่าจะมาจากสาเหตุอะไรครับ เพราะท่านด็อกได้คอลเล็คชั่นไม่ครบพอที่จะทราบเรื่องราวอย่างสมบูรณ์ได้ อาจจะเป็นดาวหางหรือน้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว อะไรประมาณนั้น) พวกเขาอาจจะทั้งหมดหรือชนชั้นปกครองบางส่วนได้อพยพไปจากโลกนี้ มีส่วนหนึ่งของบันทึกที่กล่าวถึงกลุ่มดาวที่ปัจจุบันเรารู้จักกันในนามของ ดาว Pleiades ดร.Cabrera ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ภาพแกะสลักบนไอก้า สโตน อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของหลักฐานที่ว่า เมื่อหลายล้านปีก่อนมีอารยธรรมอันรุ่งเรืองตั้งอยู่บนโลกนี้ พวกเขาได้ทิ้งหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบว่า สมัยก่อนมนุษยชาติดำรงชีวิตอยู่อย่างไร มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดไหนและสุดท้ายล่มจมลงด้วยวิธีใด

รูปปั้นดิน เผาบางส่วน มีลักษณะคล้ายมนุษย์ สันนิษฐานว่าอาจเป็นผู้ปกครองหรือเทพเจ้าที่คนในดินแดนนี้เคารพนับถือ และรูปร่างของรูปปั้นมีลักษณะของกระโหลกที่ยาวผิดปกติ จนทำให้นักโบราณคดีอดที่จะเอาไปเชื่อโยงกับหัวกระโหลกแบบ Cone Head ที่กล่าวถึงมาแล้วด้วย

ข้อสรุปของท่านด็อกเตอร์อาจจะฟังดูเหลือเชื่อสัก หน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักฐานทางวัตถุก็ยืนยันอยู่ มีบางคนแย้งว่า ไอก้าสโตนอาจจะเป็นฝีมือของอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งแกะสลักขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพบางภาพมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนและชวนให้เข้าใจผิดๆ เช่น ภาพของการศัลยกรรมสมองเป็นต้น มันอาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาสักอย่างหนึ่ง เช่น การทำมัมมี่หรือพิธีศพ ซึ่งก็ไม่เหมาะนักที่เราจะสรุปอะไรลงไปตรงนี้ก่อนได้หลักฐานที่ละเอียดกว่า ที่เป็นอยู่ ถึงกระนั้น หากเอาอารยธรรมนาซก้า ไอก้าสโตน และความรุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมของชาวอินคา(เช่นความรู้ทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรม) มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือนักวิทยาศาสตร์ห-ย่-า-ยหรอก คนธรรมดาอย่างพวกเราก็พอจะมองเห็นรอยต่อของสิ่งเหล่านี้อยู่รางๆเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?







ลายเส้นบนพื้นราบ

ใน ที่ราบนาซก้าประเทศเปรู มีภาพวาดที่กว้างใหญ่และมีเบาะแสที่น้อยยิ่ง คนแรกที่ทำการศึกษารายละเอียดของมันเป็นชาวอเมริกันชื่อ พอล โคซอค ผู้ที่ได้ยินเรื่องลายเส้นนี้ขณะออกทำการสำรวจระบบชลประทานโบราณอยู่ เช่นเดียวกับผู้คนที่มาพิสูจน์เรื่องราวที่ได้ยินเกี่ยวกับลายเส้นนี้ โคซอครู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น มีเส้นที่ลากแตกแขนงออกไปเป็นรูปพัดนับพันเส้นลากข้ามทะเลทราย บางเส้นสิ้นสุดที่ตีนเขา ขณะที่อีกลายเส้นลากยาวไปไกลพาดข้ามภูเขา มันถูกสร้างอย่างง่ายๆด้วยการเจาะผิวดินชั้นบนออกจากดินบนทะเลทรายและเผยให้ เห็นดินชั้นล่างที่สีอ่อนกว่า หลังจากที่เขาพยายามจะตามรอยเส้นบนพื้นดินเขาก็เปลี่ยนไปเป้นใช้เครื่องร่อน แทน มีเพียงบนอากาศเท่านั้นที่เขาสามารถชื่นชมการแผ่ขยายของมันได้อย่างแท้จริง นอกจากลายเส้นชุดนี้ก็ยังมีรูปภาพอื่นๆอีกมากมาย เช่นนก ปลา แมลง และเป็นที่น่าพิศวงที่สุดที่แต่ละรูปถูกวาดอย่างต่อเนื่องบนเส้นเดียว มันเริ่มต้นและสิ้นสุดลงที่จุดเดียวกัน นาซก้าไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดท ี่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล





นัก โบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ในยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700 นาซก้าไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ? ในปี ค.ศ.1968 สถานบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด ตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับ การศึกษาลายเส้นนาซก้า ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซก้าโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็น และผู้คนจะเห็นนาซก้าไลน์ก็ต่อเมื่อมองลงมาจากอากาศเท่านั้น



คนสำคัญ ที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซก้าไลน์ถึง 25 ปีคือ มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อน กับความสนับสนุนจากสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนักเรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไร และดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบ สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง



ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการ กสิกรรมของนาซก้าซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเกนิโอ ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่ามันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์ นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการชลประทาน “ ลายเส้นทั้งหมด “ มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต “ เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น “



ชาว นาซก้าจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซก้าซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้ มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไป แทนที่จะห้อยลงตามธรรมชาติวิสัยของลิงชนิดนี้



บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซก้าโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3ก็มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซก้าที่นี้มาถึงรูป นก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว



อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า “ เราแน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น “เครื่องหมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏ ในทะเลทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิต



ดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า “ ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึง ความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ “ อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย และซากของมันค่อยๆ เลือนหายไป ลายเส้นนี้กำลังถูกทำลายในปัจจุบัน จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซก้าไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน

















ปิระมิด มีอยู่ทั่วโลก

ปิระมิดทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกใบนี้ ล้วนแต่มีสถาปัตยกรรมและรูปแบบเป็นของตัวเอง นับว่าน่าแปลกนะครับ ปิระมิดเหล่านี้มีอยู่แทบจะทุกทวีป ทั้งใน ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลางและตะวันออกไกล เอเชียแปซิฟิค รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย





Ziggurat อันยิ่งใหญ่ของชาวเมโสโปเตเมียโบราณ


อิรัค : สิ่งก่อสร้างทรงปิระมิดโบรารที่เราเรียกกันว่าซิกกูรัต(Ziggurat) ในเมือง Ur ของดินแดน Sumer โบราณ









อียิปต์ : ปิระมิดแบบ step ในเมืองซัคคารา



อียิปต์ : หมู่ปิระมิดทั้งสามที่เมืองกีซา หรือมหาปิระมิดนั่นเองครับ ที่นี่เป้นปิระมิดที่มีลักษณะโดดเด่น เพราะผนังของปิระมิดถูกทำให้ราบเรียบ(อย่างน้อยก็ในสมัยก่อน ปัจจุบันไม่เรียบแล้วล่ะครับ เพราะผุพังไปตามกาลเวลาและน้ำมือมนุษย์) นักเขียนชื่อเกรแฮม แฮนค็อค ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับปิระมิดที่กีซาเอาไว้ว่า สิ่งก่อสร้างที่เป็น ground plan ของบริเวณนั้นดูแตกต่างจากสิ่งก่อสร้างอื่นที่อยู่เบื้องบน เนื่องจากอายุอานามที่ปาเข้าไปถึง 10,500 B.C. หรือหมื่นสองพันกว่าปีนั่นเทียว แต่ตัวปิระมิดแห่งกีซาและปิระมิดเล็กที่รายรอบ กลับสร้างขึ้นราวๆ 2,500 B.C. เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าแปลกมาก





มหาปิระมิด กีซา


เพราะอายุอานามที่แตกต่างกัน ถึงขนาดนั้นนั่นเอง ทำให้หลายคนเชื่อว่า ปิระมิดสามหลังนั้นถูกสร้างเพื่อคร่อมทับซากโบราณสถานในยุคก่อน แต่ข้อนี้ไม่มีใครยืนยันได้เต็มปากเต็มคำหรอก อีกอย่างนะครับ เสียงเล่าลือที่หนาหูเกี่ยวกับอุโมงค์ลับใต้ดินที่อยู่ใต้ปิระมิดนั้น ช่างเย้ายวนใจนักโบราณคดีและผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับเสียเหลือเกิน เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันทรายได้กลบทับบริเวณนั้นไปหมดแล้ว ครั้นจะมีการรื้อขุดค้นเพื่อหาอุโมงค์ดังกล่าว รัฐบาลอียิปต์และองค์การที่เกี่ยวกับมรดกโลกเค้าคงยอมอยู่หรอกนะครับ



ปริศนาอีกประการที่อยู่ใกล้ๆกับกีซาก็คือสฟิงซ์ครับ น่าแปลกใจมากที่สฟิงซ์นั้นเลือกสร้างในทำเลที่โดดเด่นมากๆ และมองเห็นได้ง่ายแม้ว่าอยู่บนชั้นบรรยากาศ แถมรูปร่างและพื้นที่รายรอบนั้นก็ดันไปใกล้เคียงกับพื้นที่บนดาวอังคารที่ เรียกว่า ไซโดเนีย อย่าง เป็นที่สุด อันว่าไซโดเนียนี้คือพื้นที่ที่ NASA ไปได้ภาพถ่ายใบหน้าคนบนดาวอังคารมานั่นเองครับ แม้จะมีแถลงการออกมามากมาย และมีหนังสือสนับสนุนจานักวิชาการยืนยันว่ามันเป็นเพียงภูเขาธรรมดาก็ เหอะ...





สฟิงซ์


เม็กซิโก : ปิระมิดแบบ step สุดสูงแห่งเมือง ชิเซ่น-อิทซา, มองเต อัลบาน, วิหารในเมืองพาเลงกอ, ที่ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับหมู่ปิระมิดแห่งกีซาอย่างน่าประหลาด อันนี้เป็นปริศนาที่ชวนให้ขบกันหัวแตกอีกประการหนึ่งในวงการโบราณคดีเหมือน กันครับ ว่าทำไม๊ทำไมชนโบราณแห่งอเมริกาใต้ถึงได้บุกบั่นขึ้นไปสร้างปิระมิดและศาสน สถานกันบนเขาสูงนัก ปิระมิดหลายๆลูกจงใจต่อเสริมเติมยอดให้โดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับว่าสร้างเพื่อให้สามารถสังเกตได้ง่ายจากทางอากาศกระนั้น...




ปิระมิด ชิเซ่น-อิทซา ในเม็กซิโก


เม็กซิโก : ไซต์ทางโบราณคดีที่ขุดค้นกันใหม่ที่โชลูลาซึ่งตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟโปโปเค เตเพเทิล หรือ เอล โปโป(El popo) ในภาษาโบราณของชนพื้นเมือง อันแปลว่า "man-made moutain" หรือภุเขาที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ซึ่งบริเวณนี้เองที่ตำนานของชาวอินคากล่าวไว้ว่า เควซซัลโคเทิลเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้เสด็จลงมาสู่ผืนโลกครั้งแรก โชลูลามีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "the place of flight" ครับ น่าคิดดีป่ะ? และในบริเวณใกล้ๆกันมีปิระมิดที่เรียกกันว่า "Piramide Tepanapa" อยู่ เป็นปิระมิดยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงถึง 200 ฟุต และฐานโดยรอบรวม 1300 ฟุต นับเป็นปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ อ้อ... อาจจะใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ ปิระมิดแห่งนี้มีวิหารเล็กๆประดับอยู่ด้านบนเพื่อประกอบพิธีกรรมลึกลับบาง ประการ ซึ่งภายหลังในยุคที่สเปนรุกรานวิหารดังกล่าวก็แปรสภาพกลายเป็นโบสถ์คริสต์ไป และยังคงอยู่ตราบถึงปัจจุบัน



เม็กซิโก: ปิระมิด เทรส ซาโปเทส (1400-1300 B.C.) ของชาวออลเม็ค นับเป้นปิระมิดดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสอเมริกา เป้นแหล่งโบราณคดีอีกแหล่งหนึ่งที่ทำให้วงการโบราณคดีงงกันเป็นไก่ตาแตก เพราะออลเม็คคืออารยธรรมของชนผิวดำครับ "มีอารยธรรมของนิโกรในอเมริกาก่อนยุคค้าทาส? มันจะเป็นไปได้ไงในเมื่อประวัติศาสตรืที่เราเรียนมา นิโกรจากอาฟริกาขึ้นฝั่งสู่โลกใหม่กับเรือค้าทาสของชาวยุโรป ก่อนหน้านั้นอเมริกากลางไม่เคยมีนิโกรหรือชาวยุโรปไปพำนักอาศัยอยู่แน่ๆ..." หลายท่านอาจจะเถียงผมแบบนี้ ก็ตรงกับที่ผมคิดและสงสัยน่ะนะครับ ซึ่งเราก็คงต้องงงกันต่อไปตราบใดที่ปริศนานี้ยังไขกันไม่กระจ่างชัด เรื่องของชาวออลเม็คนั้น มีคนโยงเข้ากับโมอายที่เกาะอีสเตอร์และหอคอยคนบาปบาเบลด้วย ว่างๆจะเอามาเล่าให้ฟังกัน







เม็กซิโก : ปิระมิดและวิหารสุริยเทพของชาวอินคาที่เมืองติโอติฮัวกัน หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของชาวอินคาที่รู้จักกันไปทั่วโลก จอห์น มิเชล กล่าวในงานเขียนของเขาว่า วิหารสุริยานั้นใช้มาตรและหน่วยวัดที่ตรงกับหน่วยวัดของชาวฮีบรูว์โบราณ ซึ่งก็บังเอิญว่าไปตรงกับหน่วยวัดที่ใช้กับกองหินยักษ์ สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ หรือโบราณสถานทั้งสองที่มีความเกี่ยวพันกันทั้งที่อยู่กันคนละทวีปครับ?



กัวเตมาลา : ที่นี่เป็นชุมชนโบราณของชาวมายาที่ชื่อว่า El Miradors ซึ่งเต็มไปด้วยปิระมิดสไตล์มายามากมาย ในจำนวนนี้มีปิระมิดที่ใหญ่ที่สุดชื่อ Trige pyramid รวมอยู่ด้วยครับ



เปรู : วิหารแห่งพระอาทิตย์ของชาวโมเช่ (Moche) สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างในวงการโบราณคดี เพราะสร้างจากอิฐดินเผานับสิบๆล้านก้อน และในเปรุอีกเช่นกัน บริเวณที่เรียกกันว่า Huaca del Sol ในหุบเขาโมเช่ มีปิระมิดทรงสูงสร้างจากอิฐดินเผา ด้านหน้าของปิระมิดมีวิหารที่ชื่อ Huaca del luna วิหารที่ใช้บวงสรวงพระเจ้า ซึ่งตำนานของคนพื้นเมืองกล่าวว่านั่งเรือสีทองลงมาจากท้องฟ้า





ซิกกูรัตแห่งนคร Ur อันเลื่องลือ




โบลิเวีย : Akapana ซึ่งเป็น Platform-Pyramid ในเมืองเทียฮัวนาโค นักโบราณคดีคะเนอายุของมันเอาไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อ 1580 B.C. สถาปัตยกรรมของปิระมิดนี้นับว่าคล้ายคลึงกับที่ยิปต์อย่างน่าประหลาด



ชวา : Cani Sukuh Pyramid ที่อยู่ใกล้ๆเมืองไทยของเรานี่เอง นักโบราณคดีกล่าวว่า มันน่าประหลาดที่ปิระมิดในชวากลับไปมีลักษณะการออกแบบคล้ายกับปิระมิดใน อเมริกาใต้ ใครครับ? ใครกันที่หอบเอาสถาปัตยกรรมแบบอินคาข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอินโดนีเซียเพื่อน บ้านของเรา



หมู่เกาะริวกิว: เคยเล่าไปแล้วในตอนโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ (อยากอ่านวีรกรรมและการค้นพบของนายอาราทาเกะ นักประดาน้ำชาวญี่ปุ่นก็คลิก ที่นี่ ได้ เลยครับสำหรับผู้ยังไม่เคยอ่าน) ปัจจุบันยังถกเถียงกันอยู่ว่า แนวกำแพงซึ่งอยู่ใต้น้ำและแผ่นหินที่คล้ายกับปิระมิดมากๆนั้น เกิดขึ้นโดยฝีมือของธรรมชาติหรือว่าเป็น man-made (ดูจากรูปแล้วตัดสินเอานะครับ) อ้อ อายุอานามของมันก็ราวๆ แปดพันปีก่อน ค.ศ. หรือหมื่นกว่าปีก่อนนู้น... ตรงกับยุคแอตแลนติสเลยเนอะ





ปิระมิดใต้น้ำที่โยนากุนิ


จีน: ปิระมิดขาว (The White Pyramid) แห่งเมืองซีอาน ซึ่งนักสำรวจชาวเยอรมันนาม ฮาร์ทวิก ฮาวดอร์ฟ ได้เขียนในหนังสือเกี่ยวกับปิระมิดในแผ่นดินจีนของ เขาว่า มีปิระมิดดินเหนียวในลักษณะเดียวกันนับพันๆลูก กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินมังกรอันไพศาล เสียดายที่ไม่มีนักสำรวจชาวตะวันตกหน้าไหนเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิดได้ ก็แหงสิครับ อยู่หลังม่านไม้ไผ่ออกขนาดนั้น ปิระมิดขาวมีความสูงประมาณ 200 ฟุต ตั้งอยุ่บริเวณใกล้เคียงกับสุสานของฉินสื่อหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นเอง



โพลีนีเซีย: "Modest Pyramid" ในตองกาบู วิหารทรงปิระมิดในตาฮิติ และแลงกีปิระมิดในตัวฮาลา



กรีซ: ปิระมิดแห่งเฮลลินิกอนใกล้ๆกับอาร์กอส เป็นปิระมิดเล็กๆที่ยังสร้างไม่เสร็จ จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบว่า การก่อสร้างดังกล่าวขาดการต่อเติมยอดขึ้นไปอีกประมาณ 10 ฟุต ปิระมิดนี้จึงจะเสร็จสมบูรณ์ อะไรกันหนอที่ทำให้คนโบราณเหล่านี้ละทิ้งงานไปเสียกลางครัน และที่สำคัญพวกเขาเป็นใครกันครับ เนื่องจากอายุอานามของปิระมิดที่อาร์กอสนั้น มันเก่ากว่ามหาปิระมิดที่อียิปต์เสียอีก





หมู่เกาะคานารี: ปิระมิดแห่งกุยมาร์ ที่ซึ่งนักสำรวจชื่อ ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า "มันเป็น step pyramid ที่มีสถาปัตยกรรมคล้ายกับปิระมิดของคนโบรารในเปรูและโบลิเวียอย่างที่สุด ทั้งที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่น่าจะรับอิทธิพลเหล่านั้นมาได้ เนื่องจากอยู่คนละซีกโลกกัน แถมสภาพภูมิศาสตร์ที่โดนตัดขาดจากโลกภายนอกยังมาเป็นตัวคั่นอีกต่างหาก"



สหรัฐอเมริกา: ปิระมิดโบราณแห่งคาโฮเกีย รัฐอิลลินอย เป็นปิระมิดทำมาจากดินเหนียว ซึ่งคาดว่ายังมีปิระมิดลักษณะนี้ตกค้างหลงสำรวจในดินแดนมะริกันอีกเป็นจำนวน มาก



ยังไม่หมดนะครับ...ยังมีต่อ











นักบินหรือพระเจ้า

ในราวปี 1930 นักบินชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ได้รับภารกิจให้เป็นทีมสนับสนุนการสำรวจป่าลึกแห่งหนึ่งในนิวกีนี พวกเขาต้องทำการบินเพื่อลงจอดบนเกาะและลำเลียงเสบียงรวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ แน่นอนว่าพวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองของที่นั่น บนเกาะเล็กๆแถบนิวกีนีที่มีลักษณะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ชาวป่าประหลาดใจกับการมาของพวกเขา และยิ่งตระหนกกับ"นกยักษ์"ที่นักบินโดยสารมาด้วย นักบินทั้งสองมาที่เกาะบ่อยๆเพื่อส่งเสบียง และแน่นอน พวกเขาไม่ลืมที่จะทิ้งของฝากเล้กๆน้อยๆ เช่นอาหารกล่อง หรือ โค้ก ให้กับชาวป่าเพื่อสร้างมิตรภาพ ไม่มีใครเอะใจกับเหตุการณ์ช่วงนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าปี





นักสำรวจอีกทีมได้มาที่เกาะนี้ พวกเขาประหลาดใจกับพฤติกรรมของชนพื้นเมืองที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินของทีมสำรวจลงจอด ที่หมู่บ้านของชาวป่า นักสำรวจทีมนั้นได้พบกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวป่า เป็นรูปแกะสลัก"นกยักษ์"ที่เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบเครื่องบินใบพัดสองชั้น เซอร์ไพรส์กว่านั้น... ชาวป่าเหล่านี้ได้ทำแม้กระทั่งกล่องที่เลียนแบบวิทยุสื่อสารของนักบินที่ทำ จากไม้ไผ่!!





ล่ามพื้นเมืองที่ไปกับคณะนักสำรวจได้สอบถามชาวป่าเหล่านี้พบว่า พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าจาก ท้องฟ้า ผู้มาพร้อมกันนกยักษ์ "Jon Frum" และมาทราบกันทีหลังเมื่อทีมสำรวจชุดนี้สืบสาวราวเรื่องขึ้นไปว่า ทีมนักบินที่มาที่เกาะนี้ชุดแรกนั้นชื่อ John และชื่อ Jon Frum นี้ก็น่าจะมาจากคำว่า "John From New York" ซึ่งเป็นคำปกติธรรมดาเวลาที่จอห์น - นักบินคนนั้นแนะนำตัว








ลายเส้นขนาดยักษ์ บนพื้นราบทั่วโลก เช่นลวดลายบนที่ราบนาซก้าและ ถนนในบริเวณใกล้เคียง เช่น ceques อันเป็นถนนสายสำคัญที่ผ่านบริเวณโบราณสถานหลายแห่งในโบลิเวีย หรือ Ley Line ในอังกฤษ ที่เป็นเส้นตรงเชื่อมกองหินโบราณหลายๆแห่งเข้าด้วยกัน





ที่ราบนาซก้า


ปิระมิดหลากสไตล์ ซึ่งตรงนี้เราจะมาพูดถึงกันโดยละเอียดในภายหลัง เพราะดูเหมือนว่านอกจากวัตถุประสงค์ทางศาสนาแล้ว ปิระมิดเหล่านี้ยังถูกสร้างขึ้นมาด้วยประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในอียิปต์ อเมริกากลาง จีน เมโสโปเตเมีย หรือแม้แต่ในอเมริกาใต้





ปิระมิดในเม็กซิโก


สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ยักษ์สมชื่อ เพราะบางที่ใช้หินก้อนขนาดสองล้านปอนด์ในการสร้าง คนโบราณสร้างมันขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีไหน? การสร้างอาจไม่มีปัญหาแต่การขนย้ายเล่า เรื่องนี้แม้แต่วิศวกรระดับโลกยังส่ายหน้าด้วยความกังขา





บันทึกโบราณ ที่เขียนถึงพระเจ้าผู้สามารถไปไหนมาไหนได้ทางอากาศ ทั้งคัมภีร์ Enuma Elish, อัลกุรอาน, โปโปล วู (มายา), มหาภารตะ, ไบเบิ้ล, และจารึกดินเหนียวที่บันทึกการเดินทางของพระเจ้าที่เราพบกันในตะวันออกกลาง
คัมภีร์ Enuma Elish


ประตูสวรรค์ (Heaven Gates - - หรือจะ Star Gates ตามหนังดีล่ะครับ) เป็นประตูหรือช่องทางที่ใช้สัญจรระหว่างโลกและสวรรค์ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน หากมองตามประวัติศาสตร์ที่เราทราบ สถานที่ติดต่อระหว่างสวรรค์กับโลกนี้ มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลองไปหาตำนานสุเมเรียนสักเล่ม หรือคัมภีร์พันธสัญญาเก่ามาอ่านสิครับ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่ศาสนสถานขนาดมหึมาจะถูกสร้างขึ้นนั้น ถ้ำหรือซอกหินตามธรรมชาติ คือแหล่งที่พระเจ้าใช้เสด็จลงมายังโกลมนุษย์ ในบางคราว ก็มีเฉพาะนักบวชชั้นสูงหรือกองอารักขาเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในสถานที่หวง ห้ามเหล่านี้ได้ ในบางครั้ง สถานที่เหล่านี้ กลับดูเหมือนหลุมหลบภัยที่ใช้ป้องกันกัมมันตรังสีมากกว่าศาสนสถาน ลองมาดูตัวอย่างกันไหมครับ




ที่มา : http://www.mythland.org

____________________



2PM ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Hands Up’ ออกมาแล้ว

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ภาพจาก Running Man ณ BKK เผยออกมาแล้ว

ตัวอย่างหนังใหม่ Killing Bono อยากดัง แต่มันดันแป๊ก

ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Killing Bono
ชื่อไทย อยากดัง แต่มันดันแป๊ก
ประเภทหนัง Comedy
ผู้กำกับ Nick Hamm
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 16 June 2011
ความยาวหนัง 114 minutes
นักแสดง Ben Barnes, Robert Sheehan, Pete Potlehwaite


ตัวอย่างหนังใหม่ Killing Bono อยากดัง แต่มันดันแป๊ก | เรื่องย่อ
เนล แม็คคอร์มิค (เบน บาร์นส) รู้ตัวเสมอว่า เขาเกิดมาจะต้องมีชื่อเสียง เด็กหนุ่มไอริช เชื่อมั่นในความสามารถ ทั้งร้อง และเขียนเพลง ของตัวเองว่า ดีเพียงพอที่จะก้าวสู่ชีวิตนักดนตรีร็อกผู้มีชื่อเสียง หากแต่ ตำแหน่งนักร้องนำของวงดนตรีโรงเรียน วง The Hype ตกเป็นของ พอล (มาร์ติน แม็คคานน์) เพื่อนของเขาไปเสียแล้ว ดังนั้น เนล จึงก่อตั้งวงดนตรีของตัวเองร่วมกับ น้องชาย อีวาน (โรเบิร์ต ชีฮาน) เนล ตัดสินใจลาออกจากวง เพื่อเริ่มต้นเส้นทางดนตรีของตัวเอง แต่อุปสรรคปัญหาเดียว ก็ยังเหมือนเดิม วง The Hype ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น U2 และ พอล ก็เปลี่ยนเป็น "โบโน่" เหลือเพียงหนทางเดียวสำหรับ เนล คือ ต้องสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังยิ่งใหญ่กว่า วง U2 สองคนพี่น้องเดินทางมาลอนดอน เพื่อตามล่าความฝัน แต่หนทางกลับตีบตันด้วยความอยุติธรรมในวงการเพลง ทุกๆ กิจกรรมของ เนล และ อิวาน ถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่า เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงของตัวเอง เนล ได้เปิดเผยบางอย่าง เกี่ยวกับ U2 ที่ทำให้ อิวาน ถึงกับช็อกสนิทไปเลย ความฝันที่จะโด่งดังเป็นดาวดังเพลงร็อกแอนด์โรลล์ ถูกย่ำยี เนล รู้สึกว่า ความล้มเหลวในชีวิตของเขา เป็นเพราะความสำเร็จโด่งดังเกินไป ของ โบโน่ หรือ ว่า เขาเกิดมาเพื่อเป็น ฝ่ายตรงข้ามของ โบโน่? เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของซูเปอร์สตาร์ตลอดไปอย่างนั้นหรือ? โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่า เขาฆ่า "โบโน่ U2" ให้ตายซะ!

Two brothers attempt to become global rock stars but can only look on as old school friends U2 become the biggest band in the world.



2PM ระเบิดความมันส์ออกมาแล้ว “Hands Up”

ตัวอย่างหนังใหม่ Green Lantern กรีน แลนเทิร์น

ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Green Lantern
ชื่อไทย กรีน แลนเทิร์น
ประเภทหนัง Action/Sci-fi
ผู้กำกับ Martin Campbell
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 16 June 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง Ryan Reynolds, Mark Strong, Blake Lively, Peter Sarsgaard


ตัวอย่างหนังใหม่ Green Lantern กรีน แลนเทิร์น | เรื่องย่อ
Green Lantern เป็นเรื่องราวของ Hal Jordan (Ryan Reynolds) นักบินที่ถูกเลือกโดยกลุ่มองค์กร Green Lantern มนุษย์ต่างดาวนอกโลกให้เป็นมนุษย์คนแรกที่มีสิทธิ์ได้รับพลังจากแหวนศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังเพื่อให้เขาช่วยปกป้องดาวขององค์กรจากการคุกคามของศัตรูอย่าง Parallax ซึ่ง Hal ก็ได้กำลังใจจากเพื่อนนักบินและแฟนสาวของเขา Carol Ferris (Blake Lively) ที่ช่วยสนับสนุนและทำให้ Hal สามารถใช้พลังจากแหวนได้อย่างเต็มที่เพื่อที่จะต่อกรกับศัตรูอย่าง Parallax และแสดงให้เห็นว่า เค้าคือ Green Lantern ที่แข็งแกร่ง !!




พีระมิดใต้น้ำ อนุสาวรีย์โยนากุนิ อารยะแห่งแดนอาทิตย์อุทัย"

The Yonaguni Factor





ณ บริเวณชายฝั่งของเกาะเล็กกระจ่อยร่อยในญี่ปุ่นนามว่า โยนากุนิ

สิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายอนุสาวรีย์ยักษ์ได้จ่อมจมอยู่ใต้น้ำ    
มันเป็นวิหารหินขนาดมหึมาที่แม้ปัจจุบันหลายฝ่ายก็ยังถกเถียง   
และหาคำอธิบายที่ฟังขึ้นเกี่ยวกับมันไม่ได้ ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือว่า   
อนุสาวรีย์แห่งโยรากุนินี้ เกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือเกิดจากผลงานทางอารยธรรมของมนุษย์    
ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์ เทคโนโลยีขนาดไหนถึงจะรังสรรค์มันออกมาให้เกิดขึ้นได้ในรูปลักษณ์ที่โอ่อ่า
อลังการเช่นนี้ หากเกิดจากธรรมชาติ คำอธิบายเกี่ยวกับเหลี่ยมมุมและแนวกำแพงที่ตรงแหนวแม่นยำ
ราวกับเกิดจากการ วัดคำนวณของวิศวกรมือเอกนี่เล่า จะอธิบายอย่างไร?







บรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้   ต่างพากันลงความเห็นว่าอนุสาวรีย์ยักษ์นี้เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์  ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อนุสาวรีย์หินที่โยนากุนิก็นับเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ   โดยเฉพาะในประเด็นของโบราณสถานใต้น้ำ แต่ก็นั่นล่ะครับ อายุอานามของอนุสาวรีย์(ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนละกัน)แห่งนี้   
     เท่าที่คำนวณคร่าวๆแล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า น่าจะอยู่ในตอนปลายของยุคน้ำแข็ง ซึ่งมันก็หมื่นสองพันกว่าปีมาแล้ว บางท่านว่าน่าจะเก่ากว่านั้นด้วยซ้ำ เอ...ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่เราย้อนหลังไปไกลขนาดนั้นหรือครับ แถมถ้าเป็นอารยธรรมโบราณก่อนยุคน้ำแข็งจริง สิ่งก่อสร้างนั้นคือผลงานของอารยธรรมใดกัน? สิ่งก่อสร้างมหึมาเหล่านั้นใครเป็นผู้สร้างมันเอาไว้ให้มีขนาดใหญ่โตเกิน เหตุ ในยุคโบร่ำโบราณที่อารยธรรมของมนุษย์ยังไม่ก่อกำเนิดแบบนี้








สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นข้อสรุปที่ดีสำหรับข้อถกเถียงในวงการโบราณคดีที่ว่า

อารยธรรมโบราณก่อนหน้าที่มนุษย์จะรู้จักและยังคงเป็นตำนานอยู่นั้นมีจริง หรือไม่ เพราะจากหลักฐานเท่าที่มีในปัจจุบัน

อารยธรรมของมนุษย์ที่พอยอมรับได้ว่าเป็นอารยธรรมมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาเมื่อ ประมาณ 6000 ปีก่อนนี้เท่านั้นเอง

แต่น่าประหลาดมากครับ อนุสาวรีย์ที่โยนากุนิ มีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกับอนุสรณ์สถานต่างๆในอเมริกาใต้เป็นอย่างมาก

บางคนถึงกับเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "ปิระมิดใต้ทะเลแห่งเอเชีย" เลยทีเดียว








โบราณสถานแห่งนี้ อาจเป็นคำอธิบายที่ดี สำหรับอารยธรรมต่างๆในแถบอเมริกากลางและใต้ เช่น แอสเท็ค อินคา มายา นาซก้า ได้ว่า เหตุใดชนชาติเหล่านั้นจึงเจริญขึ้นอย่างไม่มีที่ไปที่มา และรังสรรค์งานสะท้านโลกออกมาให้มนุษย์ยุคใหม่อย่างพวกเราได้พิศวงกันจนถึง ทุกวันนี้ ทฤษฎีที่เสนอแนะว่า บรรพบุรุษหรือผู้รอดตายจากแถบโยนากุนิ ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรไปสู่โลกใหม่นั้น สร้างความเกรียวกราวในวงการอยู่พอสมควร มีหลักฐานจากสิ่งก่อสร้างใต้น้ำมายืนยัน ว่ามันเป็นลักษณะและไสตล์ที่เหมือนกันราวกับแหล่งเดียว แต่ว่า.. ยังมีแต่อยู่นิดนึงครับ















ปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย



ขอย้อนอดีตไปยังปี ค.ศ. 1985 ที่โยนากุนิ อันเป็นดินแดนที่อยู่ค่อนไปทางนะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ใกล้ๆกับหมู่เกาะริวกิว โยนากุนิเป็นสถานที่ที่เลื่องชื่อในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เป็นที่อยู่ของตัวมอธพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแนวปะการังที่สวยงาม และธุรกิจสอนประดาน้ำกับการดำชมปะการังก็กำลังเฟื่องฟูในตอนนั้น แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายให้ความสนใจไปพักผ่อนกัน นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยาทางทะเลจำนวนไม่น้อย ก็แห่กันไปที่นั่น เพื่อศึกษาพฤติกรรมของฉลามหัวฆ้อน อันมีอยู่อย่างชุกชมและถือเป็นแหล่งที่อยู่ของฉลามหัวฆ้อนแหล่งใหญ่อีกแหล่ง ของโลกเลยครับ



ความยาวของมันครับ


... ท่ามกลางความคึกคักของแถบนี้ ยังไม่มีใครรู้เลยว่า ไกลออกไปจากชายฝั่งไม่กี่อึดใจ โยนากุนิ

ได้ซ่อนเอาโบราณสถานใต้น้ำขนาดมหึมาเอาไว้โดยไม่มีใครทราบมาก่อน

บุคคลแรกที่ค้นพบโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ เป็นนักประดาน้ำท้องถิ่นชื่อ คิฮาชิโระ อาระทาเกะ เขาเป็นครูสอนประดาน้ำ


รวมทั้งเจ้าของกิจการโรงแรมเล็กๆที่มีรายได้ไม่เลว เหมือนกัน จกาปากคำของอาระทาเกะ เขาพบโบราณสถานแห่งนี้ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1985

ในวันที่ลมสงบและทะเลไร้คลื่น ใช่แล้วครับ บรรยากาศแบบนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง และดูเหมือนเป็นใจให้กับการประดาน้ำอย่างที่สุด

อาระทาเกะตัดสินใจที่จะไปดำน้ำสำรวจชายฝั่งด้วยความตั้งใจสองประการคือ หนึ่ง ดำไปตามกิจวัติประจำวันของเขา และสอง

สำรวจหาแหล่งประดาน้ำและแนวปะการังใหม่ เพื่อต้อนรับลูกค้าของเขานั่นเอง






มุมที่ได้ฉากแบบพอดี






การเซาะร่อง แนวตรงเปะ ความกว้างก็สมำเสมอ








ในรูปนี้มีเหมือนเป็นหน้าคนด้วยครับ
ซูม มีตา มีจมูก แต่มีรูปบังตรงส่วนปาก




สิ่งที่อาระทาเกะค้นพบนั้นมีลักษณะคล้ายกับวิหารครับ มีความยาวมากกว่า 300 ฟุต สูง 75 ฟุต และกว้าง 100 ฟุต นับว่าใหญ่โตเอาเรื่องเลยทีเดียว หลังจากว่ายน้ำวนเวียนสำรวจอยู่ครู่ใหญ่ อาระทาเกะก็ยิ่งทึ่งในโบราณสถานใต้น้ำแห่งนี้หนักเข้าไปอีก มันมีเหลี่ยมคูที่เที่ยงตรงเหมาะเหม็ง การตัดเส้น แนวกำแพงที่ตรงแหน๋ว รวมทั้งบริเวณที่มีลักษณะคล้ายกับระเบียงวิหาร เขาเก็บภาพอีกชุดหนึ่ง แล้วจึงกลับขึ้นเรือของเขาเพื่อที่จะแจ้งข่าวใหญ่นี้ให้คนอื่นในญี่ปุ่นได้ ทราบกัน



อีกไม่กี่เดือนถัดมา นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้สนใจก็แห่กันมาที่โยนากุนิให้ควั่ก มีการตั้งไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติม โดยกระจายวงค้นหาไปทั่วบริเวณนับตั้งแต่ชายฝั่งของโอกินาวาไปจนถึงบริเวณ หมู่เกาะริวกิว มีการค้นพบวิหารโบราณเพิ่มเติมจากเดิมเหมือนกันครับ บรรดานักสำรวจต่างก็งในความโอ่อ่าใหญ่โตของมัน แต่ก็ยังมีลักษณะแปลกๆของวิหารเหล่านี้อยู่ นั่นคือมันใหญ่โตเกินไปที่จะมาจากฝีมือของมนุษย์ หลายคนเสนอว่า โบราณสถานเหล่านี้ไม่น่าจะใช่โบราณสถานอย่างที่คิด มันอาจจะเป็นผลงานของธรรมชาติอันเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ที่บังเอิญรูปร่างรูปทรงของมัน ดันมาคล้ายวิหารหรือโบราณสถานโบราณให้คนที่ได้พบเห็นแตกตื่นเล่นเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่จะว่ากันไปล่ะครับ



อย่างไรก็ตาม หนึ่งในทีมงานสำรวจ Professor Masaaki Kimura แห่งมหาวิทยาลัยริวกิวได้ลงความเห็นว่า โบราณสถานเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์มากกว่า เขาเชื่อมโยงลักษณะของโบราณสถานเข้ากับบรรดาปราสาทหิน และสุสานโบราณบนหมู่เกาะน้อยใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง และชี้ว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงกันมาก โถ.. แม้แต่หลักฐานที่หลงเหลือบนเกาะ ก็ยังไม่มีใครทราบเลยครับว่ามันมาจากไหน ต่อให้รู้ว่ามันมาจากแหล่งเดียวกัน คำตอบที่วงการวิทยาศาสตร์และโบราณคดีต้องการก็ยังไม่กระจ่างแจ้งอยู่ดีแหละ น่า




แม้ Professor Masaaki Kimura จะลงความเห็นว่า โบราณสถานแห่งโยนากุนิจะเกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มอื่นในญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับเขาอย่างสิ้นเชิง หลายกลุ่มเสนอแนวคิดว่า การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาทำให้โบราณสถานแห่งโยนากุนิมีรูปทรงดังกล่าว เช่นการเปลี่ยนแปลงหรือการกระเทาะของเปลือกโลก อย่าเพิ่งหัวเราะไปนะครับ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ธรรมชาติจะรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์นี้ขึ้นมา ฉากมุม 90 องศาของโบราณสถานสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติพอๆกับการเกิดของคริสตัลที่ เหลี่ยมมุมพิศดารกว่านี้น่านล่ะครับ




ข่าวคราวของโบราณสถานใต้น้ำโด่งดังจนลอยไปเข้าหูของนักสำรวจชาวตะวันตก หลายคนมีความหวังเกี่ยวกับแอตแลนติสตะวันออกขึ้นมา ภายใต้การสำรวจที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค พวกเขามีข้อสรุปหลายอย่างที่น่าสนใจออกมาครับ ซึ่งผมจะเก็บความเอามาเล่าในตอนต่อๆไป ตอนนี้ก็ดูรูปไปพลางๆก่อนนะครับ พิจารณาด้วยสายตาของท่านเองว่า โบราณสถานเหล่านี้ เป็นฝีมือของธรรมชาติหรือเกิดจากอารยธรรมโบราณที่เรายังไม่รู้จักกันแน่









ที่มา : http://www.mythland.org

____________________



วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Rania เต้นท่าแยกขา เหมือน 4Minute แต่กลับไม่โดนแบน?


Rania เต้นท่าแยกขา เหมือน 4Minute แต่กลับไม่โดนแบน?


Rania วง Kpop หน้าใหม่! ที่มีความสามารถในการเต้นและการร้องไม่แพ้วงรุ่นพี่ เปิดตัวด้วยเพลงแรก Dr. Feel Good ที่มีท่าเต้นแข็งแรงและเซ็กซี่ ซึ่งหนึ่งในท่านั้นเป็น "ท่าเต้นแยกขา" ท่าเดียวกับที่วง 4Minute เคยเต้นในเพลง "Mirror Mirror" และโดนแบนไปไม่นานมานี้



DR. Music โดยตัวประธานบริษัท "ยูน ดอง รยอง" ผู้เคยสร้างชื่อให้กับ "Baby VOX" มาแล้วในอดีต วาดหวังเอาไว้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างสูงแน่นอน ซึ่งก็เป็นวงที่เป็นสีสันให้กับวงการ Kpop เลยทีเดียว เนื่องจากมีสมาชิกจากหลายสัญชาติด้วยกัน





หนึ่งในสมาชิกของวง Rania นั้นเป็นคนไทยด้วย ซึ่งเธอก็สามารถแสดงศักยภาพของเธอออกมาได้ไม่แพ้สมาชิกคนอื่นๆ เลยทีเดียว ทั้งนี้วง Rania ยังได้ Teddy Riley มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้พวกเธออีกด้วย ซึ่ง Teddy Riley ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักแต่งเพลงในผลงานของ Michael Jackson เพลง Dangerous แต่เขายังเป็นโปรดิวเซอร์ของ Lady Gaga, Spice Girls, Pussycat Dolls, Rihanna, Christina Aguilera ฯลฯ อีกด้วย





ด้วยคอนเซปท์ของวงที่มีท่าเต้นค่อนข้างเซ็กซี่ ก็ติดตามกันต่อไปแล้วกันว่า จะเซ็กซี่ เฮะจะสามารถ" ที่ 4Minute เคยโดนแบนมาก่อนนี้ได้อีกต่อไปหรือไม่?