วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ภาพโฟโต้สติกเกอร์ของ Dara และ Bom เมื่อครั้งอดีต

Super Junior ปล่อยตัวอย่างมิวสิควีดีโอ ‘Mr. Simple’ ออกมาแล้ว

SHINee ปล่อย ‘JULIETTE’ เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นออกมาแล้ว

Junsu ปล่อยเพลงประกอบละคร “Scene of a Woman” ออกมาแล้ว

2PM ปล่อยมิวสิควีดีโอ “I’m Your Man” ออกมาแล้ว

Park Si Yeon ถ่ายแแบบเครื่องประดับลง Cosmopolitan

ซอยวัดใจ

ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ได้ฟังเรื่องผีๆ สางๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ที่นั่นที่นี่ล้วนแต่มีผีดุทั้งนั้น ดุมากบ้างน้อยมาก แต่ส่วนมากน่ะไม่ได้เห็นด้วยตัวเองหรอกนะ...เขาเล่าว่าทั้งนั้นเลย!

แถวบ้านดิฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นชุมทางปีศาจแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ค่ะ

นั่นคือสี่แยกทางรถไฟ ถนนนครไชยศรีตัดกับถนนสวรรคโลก ด้านซ้ายไปสถานีรถไฟสามเสน ด้านขวาไปทางสวนจิตรลดา ไหนจะรถชนกันที่สี่แยก ไหนจะเกิดเรื่องรถไฟชนรถยนต์ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

ที่น่ากลัวมากๆ คือรถไฟทับคนตายคาที่ซิคะ! สมัยก่อนเกิดเรื่องบ่อยมากแถวๆ สะพานดำข้ามคลองสามเสน ที่มีต้นทางจากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลเลียบวังศุโขทัยมาถึงวัดอัมพวัน, วัดสุคันธาราม...ไหลคดเคี้ยวไปไกลถึงถนนพระรามเก้าโน่นแน่ะค่ะ

มิน่าล่ะ ขนาดห่างจากย่านสามเสนมาไกลโขแล้ว ที่นี่ก็ยังมีชื่อสถานีรถไฟสามเสนเหมือนกัน!

เมื่อราว 2 ปีก่อนก็มีผู้ชายหนุ่มนุ่งกางเกงลายพราง สวมเสื้อคอกลมสีขี้ม้านั่งดื่มเบียร์ที่หน้าร้านในสถานีอยู่ดีๆ รถไฟขาขึ้นเปิดหวูดจากหัวลำโพงจะเข้าเทียบชานชาลาสามเสน ชายผู้นั้นก็วิ่งไปนอนหงายขวางทางรถไฟดื้อๆ

เสียงผู้คนร้องกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายระงมไปหมด รถไฟหยุดไม่ทันแน่ๆ ล้อเหล็กทับแขนขาขาดกระเด็นน่าสยดสยองสิ้นดี ขนาดการรถไฟกั้นทางข้ามแล้วนะคะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ห้ามคนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแน่

ผีทางรถไฟแถวสะพานดำที่เคยซาไปก็กลับดังขึ้นมาใหม่ ตอนกลางคืนมีคนเห็นห้อยโหนโยนตัว หัวขาดขาขาดเป็นประจำ!

ซอยบ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ สี่แยก ตรงข้ามซอยเข้าวัดจอมสุดาราม หรือวัดไพรงามพอดี เป็นซอยเล็กจนทางกทม.ไม่ได้ตั้งชื่อให้ แต่พวกเราเรียกกันเองว่า "ซอยวัดใจ"

ความเล็กของซอยขนาดเข้าได้แต่มอเตอร์ไซค์ ถ้ารถตุ๊กตุ๊ก จะเข้าซอยนี้ต้องมีคนขับเก่งจริงๆ ค่ะ เพราะซ้ายขวาห่างรั้วสูงลิบไม่ถึงศอก ถ้ามีคนเดินอยู่ก็ต้องหยุดเดิน แนบตัวกับกำแพงรั้วเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเฉี่ยวชน

ต้องวัดใจกันว่ารถกับคนใครจะหยุดก่อนกัน? ถึงเรียกว่าซอยวัดใจไงคะ!

ไม่จำเป็นจริงๆ รถตุ๊กตุ๊ก ก็ไม่อยากเข้าหรอกค่ะ แม้ว่าทางแคบที่ว่าจะไม่เกินร้อยเมตร...ต่อจากนั้นก็เป็นทางกว้าง มีซอยเล็กๆ สำหรับคนเดินอยู่ทางซ้าย บ้านช่องแน่นหนา ผู้คนคึกคักพอสมควร

ซอยนี้มีคนเดินเข้า - ออกแทบไม่ขาดระยะ ส่วนหนึ่งใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหาพนะ คนที่เดินก็เดินจนชินแล้ว ล้วนแต่คุ้นหน้ากันทั้งนั้น พูดไปอีกทีก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ

อ้อ! ยกเว้นต้นโพธิ์ที่สุดซอย (ความจริงกลางซอย)

ถ้ามองไปตรงๆ ก็จะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ ขนาดไม่สูงนักอยู่สุดทางพอดี...แต่ไปถึงจะมีทางเลี้ยวแคบๆ สั้นๆ อยู่ทางซ้ายมือ แล้วเลี้ยวขวาออกไปอีกที เป็นต้นโพธิ์เก่าแก่หลายสิบปีแล้วค่ะ มีฐานปูนล้อมรอบ ชาวบ้านทั่วไปถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำซอย มีคนมาบนบานศาลกล่าวเป็นประจำ

ผ้าแพรสีต่างๆ สดใสเต็มโคนโพธิ์ มีทั้งพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ที่คนมาบนและแก้บน ร่ำลือกันมานานว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวยแม่น มีคนถูกหวยกันบ่อยๆ มาหลายปีดีดักแล้ว

ตอนกลางวันก็ดูสวยงามดีนะคะ หรือจะเป็นเพราะเห็นจนชินตาก็ไม่ทราบ แต่พอตกกลางคืนดูร่มครึ้ม ชวนให้วังเวงใจอย่างไรพิกล!

นอกจากให้หวยแม่น ยังมีเสียงลือว่าผีดุอีกต่างหาก!

บ้านดิฉันอยู่ก่อนถึงต้นโพธิ์ค่ะ พอเดินเข้าซอยพ้นทางแคบได้ไม่ไกลก็เห็นต้นโพธิ์โดดเด่น ไม่มองก็ต้องมองนะคะ...ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าบ้าน แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติสักครั้งเดียว

ตัวเองไม่กลัวผี ไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้ง แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่า...ถึงไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่นะคะ...ในที่สุดก็เจอดีเข้าจนได้!

เมื่อปลายปีนี้เอง ดิฉันเลิกงานตอนค่ำเพราะต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปี นั่งรถสาย 14 จากประตูน้ำกลับบ้าน...พอเดินเข้าซอยรู้สึกเยือกเย็นชอบกล นึกได้ว่าเป็นหน้าหนาว แต่ผู้คนไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด คล้ายกับมีเราเดินเข้าซอยคนเดียว

มีรถมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาจากข้างหลัง ตอนนั้นใกล้จะพ้นทางแคบที่มีรั้วสูงๆ ขนาบทั้งสองข้างแล้ว ดิฉันแอบเข้าชิดซ้าย...รถคันนั้นก็แล่นหวือผ่านไป แต่ดิฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

คุณพระช่วย! ไม่เห็นรถราสักคันเดียว มีแต่เสียงเท่านั้นเอง!

คงจะเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่า หูฟั่นเฟือน! ประสาทหลอน! ไม่อยากคิดอะไรมาก รีบเดินเร็วขึ้นเพราะรำคาญเนื้อตัว อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มทีแล้ว

ไม่ช้าก็เห็นโพธิ์ใหญ่ต้นนั้นยืนทะมึนอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น น่าแปลกที่เห็นใครนั่งกอดเข่าอยู่บนขอบปูนรอบโคนต้น ฟุบหน้านิ่งๆ คล้ายคนนั่งหลับ...อากาศก็ชักเย็นยะเยือกขึ้นทุกที

ขณะที่จะเลี้ยวเข้าบ้านก็มองดูอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวร่างนั้นก็หายไปแล้ว...หายไปต่อหน้าต่อตาดื้อๆ เล่นเอาดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว...คราวนี้เชื่อสนิทแล้วค่ะว่าเจ้าพ่อโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จริง อย่างน้อยก็ผีมีจริงๆ ไม่อยากหลอกตัวเองว่าตาฝาดแล้วค่ะ!

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฟอสซิล 4 ล้านปี เก่ากว่า “ป้าลูซี” แย้งความเชื่อวิวัฒนาการคนกับลิง

นัก วิทย์พบโครงกระดูกต้นตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด 4.4 ล้านปี ในเอธิโอเปียบ้านเดียวกันกับ “ลูซี” แย้งความเชื่อคนมาจากลิง นักวิจัยเผยไม่ใช่ทั้งคนและชิมแปนซี แต่มีลักษณะเข้าใกล้บรรพบุรุษร่วมคนกับลิงมากยิ่งขึ้นทุกที สอดคล้องทฤษฎีดาร์วิน







หน้า ปกวารสารไซน์ฉบับพิเศษของเดือน ต.ค. 52 ที่ตีพิมพ์ภาพโครงกระดูก "อาร์ดี" และภายในเล่มได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยวกับการค้นพบโครงกระดูกสิ่งมีชีวิต ตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรก (เอเอฟพี)





ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกว่า 10 ประเทศ เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลโครงกระดูกสิ่งมีชีวิตในตระกูลคน (hominid) ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยได้ตีพิมพ์รายงานผลการวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ถึง 11 ฉบับลงในวารสารไซน์ (Science) ฉบับพิเศษ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.52 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความตื่นเต้นอย่างมากแก่วงการนักวิทยาศาสตร์ทางด้านวิวัฒนาการของ มนุษย์และสิ่งมีชีวิต และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนจำนวนมาก



เอเอฟพีระบุว่า ฟอสซิลดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2535 ในเขตประเทศเอธิโอเปีย และอีก 2 ปีต่อมานักวิจัยจึงสามารถจำแนกได้ว่า เป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ในตระกูลคน โดยให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า อาร์ดิพิเธคัส เรมิดัส (Ardipithecus ramidus) และมีชื่อเล่นว่า “อาร์ดี” (Ardi)



โครงกระดูกดังกล่าว เป็นของสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่คาดว่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม สูงราว 1.2 เมตร และมีอายุเก่าแก่มากถึง 4.4 ล้านปี นับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ



อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “ลูซี” (Lucy) ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ ออสเตรโลพิเธคัส อะฟาเรนซิส (Australopithecus afarensis) มีอายุ 3.2 ล้านปี พบครั้งแรกเมื่อปี 2517 ในเอธิโอเปียเช่นเดียวกัน แต่อยู่ห่างจากบริเวณที่พบ “อาร์ดี” ออกไปทางตอนเหนือ 72 กิโลเมตร



ซี โอเวน เลิฟจอย (C. Owen Lovejoy) นักมานุษยวิทยาจากเคนท์สเตทยูนิเวอร์ซิตี (Kent State University) มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ หนึ่งในทีมวิจัยระบุในเอพีว่า ฟอสซิล “อาร์ดี” พลิกทฤษฎีวิวัฒนาการมนุษย์ที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมา จากบรรพบุรุษที่คล้ายชิมแปนซี แต่จากฟอสซิลของอาร์ดีบ่งชี้ว่า มนุษย์และชิมแปนซีแยกสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน













(ซ้าย) ภาพโครงกระดูกของ "อาร์ดี" สิ่งมีชีวิตในตระกูลคนที่มีอายุเก่าแก่ 4.4 ล้านปี หรือเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ซึ่งทีมนักวิจัยนานาชาติขุดพบในบริเวณประเทศเอธีโอเปีย ไกลออกไปจากบริเวณที่เคยพบ "ลูซี" ไม่มากนัก (ขวา) ภาพจำลองลักษณะของ "อาร์ดี" ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 4.4 ล้านปีก่อน ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพวิวัฒนาการของคนกับลิงชัดเจนยิ่งขึ้น (ภาพประกอบจาก ไทม์)







ชิ้นส่วนโครงกระดูกส่วนเท้าของ "อาร์ดี" ฟอสซิลในตระกูลคนที่เก่าแก่ที่สุด อายุ 4.4 ล้านปี (เอเอฟพี)






ด้าน ทิม ไวท์ (Tim White) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิวัฒนาการมนุษย์ (Human Evolution Research Center) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (University of California, Berkeley) และนักวิจัยอีกคนในทีมเปิดเผยว่า อาร์ดีไม่ใช่บรรพบุรุษร่วมที่ว่านั่น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดกันมากที่สุด ซึ่งสายวิวัฒนาการของมนุษย์ยุคใหม่และลิงไม่มีหางในปัจจุบัน น่าจะแยกมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อราว 6-7 ล้านปีก่อน



ทว่า อาร์ดีมีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ที่ไม่พบในลิงไม่มีหางที่พบในแอฟริกาปัจจุบันนี้ ทำให้สรุปได้ว่าลิงไม่มีหางมีการวิวัฒนาการที่กว้างออกไป นับตั้งแต่เราได้มีบรรพบุรุษร่วมกันครั้งสุดท้าย และจากการศึกษา ฟอสซิลอาร์ดีพบว่า สิ่งมีชีวิตดังกล่าวอาศัยอยู่ในป่า และปีนต้นไม้ด้วยแขนขาทั้ง 4 ข้าง แต่พัฒนาการของแขนและขาบ่งชี้ว่า พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาอาศัยอยู่บนต้นไม้มากนัก และยังสามารถเดินบนพื้นดินด้วย 2 ขา และลำตัวตั้งตรงได้



“ในฟอสซิลของอาร์ดิพิเธคัสไม่มีลักษณะพิเศษ ที่วิวัฒนาการไปไกลจากเส้นทางของออสเตรโลพิเธคัส ดังนั้น เมื่อเราพินิจจากหัวจรดเท้า เราจะเห็นภาพสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งชิมแปนซีหรือคน แต่เป็นอาร์ดิพิเธคัส” ไวท์ กล่าว ซึ่งชิมแปนซีมีฟันหน้าหยาบมากเพราะเป็นสัตว์กินพืช ขณะที่อาร์ดิพิเธคัสกินทั้งพืชและสัตว์ โดยมีฟันตัดและเขี้ยวเล็กกว่า และยังมีขนาดสมองใกล้เคียงชิมแปนซีแม้ว่าจะมีใบหน้าเล็กกว่า



“ดาร์วินเคยกล่าวไว้ เราต้องมีความละเอียดถี่ถ้วน เป็นทางเดียวที่เราจะรู้ได้จริงๆ ว่าบรรพบุรุษร่วมสุดท้ายระหว่างคนกับลิงมีลักษณะอะไร และหาให้เจอ และฟอสซิลอายุ 4.4 ล้านปีที่เราพบ ก็เข้าใกล้สิ่งที่เราค้นหามากขึ้นทุกที และต้องขอบคุณดาร์วิน ที่เคยบอกไว้ว่า สายวิวัฒนาการของลิงและคนเป็นอิสระจากกัน ตั้งแต่แยกสายออกจากบรรพบุรุษร่วมสุดท้าย” ไวท์กล่าว



“นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของการศึกษาเรื่อง วิวัฒนาการมนุษย์ ซึ่งส่วนของโครงกระดูกที่สำคัญและสัมพันธุ์กันถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งกะโหลก มือ เท้า และส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งมันอาจเป็นบรรพบุรุษของสกุลออสเตรโลพิเธคัส ที่เป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตสกุลโฮโมก็เป็นได้” เดวิด พิลบีม (David Pilbeam) ภัณฑารักษ์ส่วนบรรพชีวินวิทยาของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยา (Peabody Museum of Archaeology and Ethnology) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) กล่าวแสดงความเห็น ซึ่งเขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยโครงกระดูกอาร์ดี 





ที่มา :

____________________

เครดิต :

________________________________

Pageviews

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 3





เมื่อวันที่ 6 เมษายน (1998) องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันที่ในชื่อขององค์การนาซา ได้เผยแพร่ภาพถ่ายล่าสุดจากยานสำรวจดาวอังคารโกลบอลเซอร์เวเยอร์ (Mars Global Surveyor) ที่ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับแถบไซโดเนียบนดาวอังคาร หลังจากที่ยานไวกิง 1 และ 2 ไปสำรวจและถ่ายไว้เมื่อ 22 ปีมาแล้ว และกลายเป็นปริศนาดำมืดมาตลอดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและอารยธรรมบนดาวอังคารว่ามีจริงหรือไม่







ภาพดาวอังคารและตำแหน่งที่ยานไวกิง 1 และ 2ยานพาทไฟน์เดอร์ลงจอด และพื้นที่แถบไซโดเนีย(สี่เหลี่ยมสีฟ้า) ที่ปรากฏใบหน้าลึกลับและวัตถุทรงพีระมิดลึกลับ







ตำแหน่งของไซโดเนียบนทรงกลมดาวอังคาร


ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ขั้วความคิดต่างก็พยายามวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนียใบนั้นโดยอาศัยคณิตศาสตร์ชั้นสูงและคอมพิวเตอร์เข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ว่าความเป็นจริงคืออะไร เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีผลการวิเคราะห์ที่สนับสนุนฝ่ายตนอยู่

นาซาเปลืองตัวเพราะเหตุใบหน้าลึกลับ



หากแนวความคิดที่ว่าใบหน้าลึกลับนี้เป็นสถาปัตยกรรม ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติ เป็นจริงแล้วละก็ นั่นหมายความว่าเรื่องชีวิตนอกพิภพก็ต้องเป็นเรื่องจริง รวมทั้งยังต้องเป็นผู้ที่มีอารยธรรมอันสูงส่งอีกด้วย เพราะใบหน้าลึกลับนั้นมีขนาดกว้างราว 2 กม. ยาว 2.5 กม. และมีความสูงราว 400 เมตร หากไม่มีวิทยาการสูงแล้วก็ไม่อาจที่จะสร้างได้



ภาพถ่ายที่นาซานำมาเผยแพร่เพราะต้องการให้เห็นเป็นเรื่องตลกกลายเป็นเรื่องที่ทำให้นาซาต้องเปลืองตัว เพราะหลังจากนั้น ผู้ที่สนใจติดตามเรื่องสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารต่างพยายามเรียกร้องให้นาซาถ่ายภาพใบหน้าลึกลับนี้มาอีกครั้งในโครงการสำรวจดาวอังคารรุ่นหลังๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานาซาไม่เคยถ่ายภาพใบหน้าลึกลับแถบไซโดเนียนี้อีกแม้แต่ครั้งเดียว ในปี ค.ศ. 1993 ยานมารส์ออบเซอร์เวอร์ (Mars Observer) ซึ่งถูกกำหนดแผนการไว้ให้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับอีกครั้งก็ไม่สามารถถ่ายภาพส่งกลับมาได้ ซึ่งในครั้งนั้นนาซาแถลงว่าเกิดจากยานสูญเสียการควบคุมในช่วงนั้นพอดี จึงไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ตามแผน



ต่อมาโครงการยานอวกาศพาทไฟน์เดอร์ (Mars Path Finder) ที่ลงสำรวจดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1997 รวมทั้งยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ที่เดินทางถึงดาวอังคารเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1997 จากนั้นก็โคจรรอบดาวอังคารเพื่อถ่ายภาพทำแผนมาตลอด ก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับนี้เลย

นี่เองที่ทำให้นาซาถูกระแวงสงสัยจากผู้สนใจเรื่องดาวอังคารว่ากำลังปกปิดความลับอะไรเอาไว้ และปกปิดไว้เพื่ออะไร ประกอบกับเหตุการณ์ที่ยานลึกลับตกแถบรอสเวลล์อีกทั้งยังมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ภายในยานอีกด้วย ซึ่งผู้สนใจเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นยานที่มาจากต่างดาวจริงเพราะมีพยานและหลักฐานมากมาย แต่ทางการสหรัฐฯก็แถลงว่าไม่มีอะไร เป็นเพียงอุปกรณ์ตรวจอากาศธรรมดา จากกรณีนี้ก็ยิ่งทำให้นาซาถูกระแวงและถูกโจมตีมากยิ่งขึ้น








ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ขณะกำลังถูกประกอบ
แต่เมื่อต้นเดือนเมษายน นาซาก็เปลี่ยนแผนโดยกำหนดภารกิจให้ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ซึ่งโคจรรอบดาวอังคารเพื่อถ่ายภาพมากว่า 200 รอบแล้ว เข้าไปถ่ายภาพใบหน้าลึกลับในแถบไซโดเนีย โดยนาซาแถลงว่ายานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ประสบปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับแผงเซลล์สุริยะที่ลำตัวยานอันเป็นแหล่งผลิตพลังงานเลี้ยงยานอวกาศ ทำให้ต้องปรับเส้นทางการโคจรใหม่ และในการปรับเส้นทางโคจรใหม่นี้ทำให้สามารถโคจรผ่านแถบไซโดเนียและถ่ายภาพใบหน้าลึกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ยานไวกิงถ่ายภาพไว้เมื่อ 22 ปีมาแล้วและก่อให้เกิดข้อถกเถียงตลอดมา เพื่อจะได้พิสูจน์ความจริงกันเสียที








ภาพวาดแสดงยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ขณะกำลังสำรวจทำแผนที่ดาวอังคาร


วันที่ 5 เมษายน ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ก็ได้ถ่ายภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารและส่งกลับมายังโลก และในวันรุ่งขึ้น นาซาก็ได้เผยแพร่ภาพดังกล่าวไปทั่วโลกทางอินเตอร์เนตทันที โดยนาซาให้เหตุผลว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถนำข้อมูลภาพถ่ายใหม่นี้ไปวิเคราะห์เพื่อไขปริศนาได้ตามอัธยาศัย


ภาพถ่าย “ใบหน้า” ล่าสุดจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ที่นาซานำมาเผยแพร่และสรุปว่าแท้ที่จริงแล้ว

เป็นเนินเขาที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะประกอบกับแสงและเงาขณะถ่าย ภาพที่ทำให้หลอกตาว่าเป็นใบหน้า





จากข้อมูลภาพถ่ายใหม่ที่ถ่ายโดยยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ซึ่งกล้องถ่ายภาพมีคุณภาพสูงกว่ากล้องประจำยานไวกิงที่ใช้ถ่ายภาพใบหน้าเมื่อครั้งก่อนถึง 10 เท่า ทำให้พบว่า ใบหน้า นั้นแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ใบหน้า หากแต่เป็นเนินเขาที่มีรูปทรงคล้ายใบหน้าเท่านั้นเอง เมื่อประกอบเข้ากับทิศทางแสงที่เหมาะสมก็เลยทำให้เห็นเป็นรูปใบหน้า



ความจริงเริ่มกระจ่าง?


หลังจากที่นาซาเผยแพร่ภาพใบหน้าดังกล่าวพร้อมทั้งสรุปว่า    เป็นเพียงเนินเขาธรรมดาที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะจนคล้ายใบหน้า แทนที่ปริศนาจะคลี่คลาย แต่กลับกลายเป็นว่าภาพ ใบหน้า อันเป็นหลักฐานชิ้นใหม่นี้ทำให้ผู้ติดตามเรื่องดาวอังคารแบ่งออกเป็น 3 ขั้วความคิด นั่นคือ ส่วนหนึ่งเชื่อถามถ้อยแถลงของนาซา อีกส่วนหนึ่งยังแบ่งรับแบ่งสู้พร้อมทั้งขอเวลาวิเคราะห์ภาพอย่างละเอียดเสียก่อน และส่วนที่เหลือนั้นคือส่วนที่ยังเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าใบหน้าลึกลับนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมนอกพิภพ และส่วนหลังนี่เองที่วิพากษ์วิจารณ์นาซาหนักกว่าเดิมว่าเป็นการวางแผนอย่างแยบยลและใช้ภาพซึ่งถูกตกแต่งมาหลอกลวงประชาชนเพื่อยุติเรื่องใบหน้าลึกลับ และตัวองค์การนาซาเองต่างหากที่มีความลึกลับดำมืดอยู่ภายในหน่วยงาน กลายเป็นว่านาซามีแต่เรื่องเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง




ทางด้านสมาคมค้นคว้าชีวิตบนดาวเคราะห์อื่น (Society for Planetary SETI Research) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการค้นคว้าหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ นักค้นคว้าหลายคน อย่างเช่น สแตนลีย์ แมคแดเนียล สมาชิกคนหนึ่งของสมาคมซึ่งเป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือชื่อ กรณีใบหน้าลึกลับ (Case for the Face) ซึ่งเพิ่งวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ได้แสดงความเห็นว่าจากหลักฐานภาพถ่ายของยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ก็ยังไม่ได้ทำให้ตนตัดสินใจว่าเรื่องใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรม ควรมีการสำรวจอย่างละเอียดเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับได้หากผลออกมาว่าใบหน้านั้นเป็นเพียงเนินเขาตามธรรมชาติ











สแตนลีย์ แมคแดเนียล ผู้ค้นคว้าเรื่องใบหน้าลึกลับและเป็นบรรณาธิการร่วมของหนังสือ“กรณีใบหน้าลึกลับ” ที่เขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับใบหน้าลึกลับบนดาวอังคาร




ทางด้านมาร์ก คาร์ลอตโต และจอห์น แบรนเดนเบิร์ก ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมเช่นกัน ทั้งสองเคยใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์วิเคราะห์ภาพถ่ายใบหน้าบนดาวอังคารภาพเก่าที่ถ่ายจากยานไวกิงและเชื่อว่าใบหน้านั้นเป็นสถาปัตยกรรม ทั้งสองให้ความเห็นว่าภาพถ่ายใหม่นี้ยังบอกอะไรไม่ได้ ต้องใช้เวลาวิเคราะห์ภาพถ่ายอย่างละเอียดอีกระยะหนึ่ง













ดร. มาร์ก คาร์ลอตโต มาร์ก คาร์ลอตโต นักวิจัยหนุ่มผู้สนใจค้นคว้าเรื่องความลึกลับบนดาวอังคาร คาร์ลอดโตได้ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวอังคารและมีความเห็นว่าเรื่องใบหน้าลึกลับน่าจะเป็นความจริง รวมทั้งเหตุที่ภาพถ่ายจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ดูแล้วไม่คล้ายใบหน้าเป็นเพราะทิศทางของแสงและดร. จอห์น แบรนเดนเบิร์ก








อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างก็ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาพถ่ายชุดใหม่นี้หลายประการ เช่น



ประการแรก ภาพถ่ายใหม่นี้ถ่ายในตอนเช้าของเวลาบนดาวอังคาร ส่วนภาพถ่ายเดิมนั้นถ่ายเมื่อเวลาบ่าย ซึ่งทิศทางแสงผิดกัน เมื่อนาซาบอกว่าทิศทางแสงช่วยหลอกตาให้เห็นเนินเขาเป็นใบหน้าได้ ในทางตรงกันข้าม ทิศทางแสงก็อาจหลอกตาให้เห็นใบหน้าเป็นเนินเขาได้เช่นกัน



ประการที่สอง ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพนี้จากมุมเอียง ไม่ได้โคจรไปถ่ายเหนือใบหน้าโดยตรง จึงเป็นไปได้ว่ามุมกล้องและทิศทางแสงอาจหลอกตาให้เห็นภาพใบหน้าเป็นอย่างอื่นไปได้



ประการที่สาม ในช่วงที่ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพใบหน้าเป็นเวลาที่แถบไซโดเนียมีเมฆครึ้มและมีทัศนวิสัยที่ไม่ดีนัก ทำให้ภาพถ่ายที่ได้ขาดรายละเอียดไปมาก







ภาพใบหน้าที่ถ่ายจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์เมื่อวันที่ 5 เมษายน ภาพซ้ายเป็นภาพขาวดำที่ยานส่งมา ดูไปแล้วจะเห็นว่าไม่คล้ายใบหน้าแต่เมื่อทดลองกลับภาพให้ขาวเป็นดำ เหมือนดูจากฟิล์มเนกาตีฟ (ภาพขวา) ปรากฏว่าภาพนี้กลับดูคล้ายใบหน้า มีส่วนที่เป็นตา จมูก และปาก (ภาพเล็กตรงกลาง) นี่แสดงให้เห็นว่าทิศทางของแสงมีส่วนช่วยให้วัตถุประหลาดสิ่งนี้ดูทั้งคล้ายและไม่คล้ายใบหน้า ดังนั้นผู้ที่มีแนวโน้มเชื่อไปทางอารยธรรมนอกพิภพจึงยังไม่ปักใจเชื่อภาพและคำแถลงของนาซานัก (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย)







เปรียบเทียบภาพใบหน้า (ซ้าย) ภาพถ่ายจากยานไวกิงเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว (กลาง) ภาพที่ถ่าย

จากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ และ (ขวา) ภาพกลางที่ถูกนำมากลับเป็นภาพเนกาตีฟ 




ประการที่สี่ วัตถุทรงพีระมิดในบริเวณใกล้เคียง เช่น ป้อมปราการ (The Fortress) พีระมิดดีและเอ็ม (D&M Pyramid) และเมือง (The City) ฯลฯ ยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นวัตถุตามธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรม หากสิ่งต่างๆเหล่านี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมจริง ใบหน้าลึกลับก็มีโอกาสที่จะเป็นสถาปัตยกรรมได้ด้วย











คาร์ลอตโตได้นำภาพถ่ายใบหน้าที่ถ่ายได้ใหม่มาเปรียบเทียบกับภาพรูปปั้นของโจฮันน์ เซบาสเตียนบาค นักดนตรีเอกในสมัยปลายศตวรรษที่ 17 โดยคำนวณทิศทางแสงและเงา และตำแหน่ง ให้เหมือนกับเมื่อยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถ่ายภาพใบหน้าไว้ และพบว่าภาพซีกขวาของใบหน้าลึกลับ (ใบหน้าด้านขวามือของผู้อ่าน) ขาดราย-ละเอียดของแสงเงาอย่างที่ควรจะเป็น (ลองเปรียบเทียบกับภาพซีกขวาของรูปปั้น)คาร์ลอตโตสันนิษฐานว่าเป็นเพราะทัศนวิสัยของบรรยากาศในยามเช้าของฤดูหนาวบนดาวอังคาร และนี่เองที่ทำให้ภาพที่ได้มาใหม่นี้ดูไม่คล้ายใบหน้า






คาร์ลอตโตทดลองเติมแสงและเงาที่ขาดหายใบในใบหน้าซีกขวาโดยให้มีสมมาตรกับใบหน้าซีกซ้ายก็พบว่าดูไปก็คล้ายใบหน้ามาก



ปริศนาที่ยังคงเป็นปริศนา



ทางด้านผู้ที่เชื่ออย่างเหนียวแน่นว่าใบหน้าลึกลับนี้เป็นผลงานของอารยธรรมนอกพิภพก็กล่าวหานาซาว่านาซาแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าต้องการยุติเรื่องใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารเพื่อปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องอารยธรรมนอกพิภพ โดยสังเกตได้จากการที่นาซารีบร้อนเผยแพร่ภาพและสรุปเรื่องอย่างรวดเร็วภายในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้รับสัญญาณภาพจากยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์โดยยังไม่มีการวิเคราะห์ภาพ นอกจากนี้ยังกล่าวหานาซาอีกด้วยว่าเมื่อครั้งที่ยานออปเซอร์เวอร์ที่สำรวจดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1993 แล้วไม่ได้ถ่ายภาพใบหน้าส่งกลับมายังโลกโดยอ้างว่ายานสูญเสียการควบคุมนั้น ที่จริงแล้วเป็นข้ออ้างของนาซาที่จะไม่ถ่ายภาพใบหน้ามามากกว่า






นักค้นคว้าเรื่องใบหน้าลึกลับบางรายถึงกับนำเรื่องฝบหน้าลึกลับบนดาวอังคารไปเกี่ยวโยง

กับเรื่องปริศนาผ้าห่อศพแห่งเมืองตูริน (เรื่องผ้าห่อพระศพนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับผ้าห่อศพที่

ถูกค้นพบที่เมืองตูรินเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วบนผ้ามีรอยประทับรูปเค้าหน้า
และร่างกายมนุษย์อยู่ ผ้าห่อศพผืนนี้ถูกเชื่อกันว่าเป็นผ้าที่ใช้ห่อศพพระเยซูหลังจากที่ถูกตรึงบน

ไม้กางเขนแล้ว และรอยประทับของใบหน้านี้ก็คือใบหน้าของพระเยซูนั่นเอง 




แต่ต่อมานักวิทยาศาสตร์พิสูจน์อายุของผ้าแล้วลงความเห็นว่าอายุของผ้าไม่สอดคล้องกับยุค
สมัยของพระเยซู ดังนั้นผ้าห่อศพนี้จึงไม่ใช่ผ้าห่อศพของพระเยซู แต่เรื่องดังกล่าวก็ยัง

มีผู้ที่เชื่ออยู่จนทักวันนี้ 




ดังนั้นแทนที่ปริศนาใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารจะกระจ่าง ก็กลับกลายเป็นว่าใบหน้านั้นยิ่งลึกลับกว่าเก่า แต่อย่างไรก็ตาม ยานโกลบอลเซอร์เวเยอร์ถูกกำหนดให้โคจรผ่านแถบไซโดเนียและถ่ายภาพใบหน้าอีก 2 ครั้งในเดือนเมษายนนี้ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าภาพถ่ายในชุดหลังจะช่วยคลี่คลายปริศนาที่ดำมืดมากว่า 20 ปีได้หรือไม่





ที่มา : http://www.yupparaj.ac.th

____________________

เครดิต :

________________________________

Pageviews

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 2





ภาพ 3 มิติที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์จากการวิเคราะห์ของเดเมอร์ โอเลจาร์


ในปี ค.ศ. 1988 เออรอล ทอรัน นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายพีระมิดดีและเอ็ม ทอรันมีความเห็นว่าโครงสร้างที่เห็นนั้นน่าจะเกิดจากการก่อสร้าง มิใช่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ จากนั้น ไรแลนด์ บาคแมนก็ทำการวิเคราะห์ซ้ำเช่นกันและมีความเห็นเช่นเดียวกับทอรัน แต่รายละเอียดนั้นแตกต่างกัน





กล่าวคือ ทอรันวิเคราะห์พบว่าโครงสร้างของพีระมิดนี้สัดส่วนระหว่างด้านต่างๆมีความสัมพันธ์กับค่าคงที่ไพ (Pi มีค่าประมาณ 2.14) และค่าลอการิทึมฐานธรรมชาติ (natural logarithm เขียนแทนด้วย e มีค่า 2.71828) แต่บาคแมนกลับพบว่าสัดส่วนระหว่างด้านต่างๆนั้นมีความสัมพันธ์กับค่ากรณฑ์ที่ 2 ของ 2 ซึ่งมีค่าประมาณ 1.414










พีระมิดดีและเอ็มมีสัณฐานทรงห้าเหลี่ยมและมีการวางตัวในแนวเหนือใต้อย่างเที่ยงตรงน่าประหลาด













บาคแมนพบว่าสัดส่วนระหว่างด้านต่างๆของพีระมิดมีความสัมพันธ์กับค่ากรณฑ์ที่ 2 ของ 2 ซึ่งมีค่าประมาณ 1.414







จวบจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่ภาพถ่ายประหลาดแถบไซโดเนียของดาวอังคารถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคต่างๆเพื่อหาข้อสรุปว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นผลงานของธรรมชาติหรือเป็นสถาปัตยกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกพิภพ ซึ่งน้ำหนักของการเป็นสถาปัตยกรรมนอกโลกก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าแนวคิดนั้นเป็นความจริง นั่นก็ย่อมแสดงว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จักนี้ต้องมีอารยธรรมอันสูงส่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจสร้างสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตขนาดนั้นได้ รวมทั้งบางคนยังเชื่อว่าพีระมิดบนดาวอังคารมีส่วนสัมพันธ์กับพีระมิดในประเทศอียิปต์อีกด้วย เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สิ่งก่อสร้างของ 2 โลกจะเหมือนกันได้โดยบังเอิญ และมนุษย์ก็สงสัยกันมานานแล้วว่าชาวอียิปต์โบราณสร้างสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรทั้งๆที่ไม่น่าจะมีวิทยาการเพียงพอ คำตอบก็อาจจะอยู่ที่วิทยาการของชาวโลกอื่นนั่นเอง







เปรียบเทียบภาพใบหน้ากับโครงสร้างทรงรีในเขตเมืองโดยไม่มีการปรับขนาดและทิศทางของภาพแต่อย่างใด จะเห็นว่าโครงสร้างทั้ง 2 แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก ไม่ว่าจะเป็นขนาด ทิศทาง และรูปทรง จนน่าสงสัยว่าทั้ง 2 โครงสร้างนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่




เปรียบเทียบโครงสร้างของพีระมิดกับป้อมปราการ โครงสร้างคู่นี้ก็มีความคล้ายคลึงกันทั้งขนาด ทิศทาง และรูปทรงเช่นเดียวกับของคู่ใบหน้าและโครงสร้างทรงรี










แต่จากข้อมูลในปัจจุบันก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้



ถ้าเช่นนั้นอารยธรรมเหล่านี้มาจากที่ใด?



นักวิเคราะห์ได้ตั้งสมมติฐานไว้หลายประการ แต่ที่น่าสนใจมีอยู่ 2 สมมติฐาน คือ



สมมติฐานแรก มีอารยธรรมอันสูงส่งเจริญรุ่งเรืองอยู่บนดาวอังคารมานานหลายพันล้านปีแล้ว แต่ต่อมาสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารเปลี่ยนแปลงไปจนชีวิตเหล่านั้นไม่อาจปรับตัวได้จึงสูญพันธุ์ไปจนหมด



สมมติฐานที่สอง มีอารยธรรมอื่นที่มาจากนอกระบบสุริยะมาตั้งรกรากอยู่บนดาวอังคารเมื่อนานมาแล้วในยุคที่ดาวอังคารมีสภาพแวดล้อมเหมาะที่จะอาศัยอยู่ได้ ต่อมาเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงอพยพไปตั้งถิ่นฐานบนดาวดวงอื่นแทน เหลือทิ้งไว้แต่ซากแห่งความรุ่งเรืองในอดีต






ภาพวาดจินตนาการถึงสภาพของดาวอังคารในยุคที่มีผู้ที่เจริญด้วยวิทยาการอาศัยอยู่โดยมีพีระมิดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม




นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่มีการวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนียและตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งองค์การนาซาเองก็กระวีกระวาดแถลงผลการค้นพบจุลินทรีย์ดาวอังคารจากก้อนอุกกาบาตดาวอังคารที่พบในโลก และยังมีโครงการสำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารในโอกาสต่อไปอีกโดยให้ยานพาทไฟน์เดอร์ไปนำร่องก่อน แต่กับเรื่องสถาปัตยกรรมอันใหญ่โตมโหฬารหลายแห่งบนดาวอังคารนี้องค์การนาซากลับวางเฉยจนผิดสังเกต ยิ่งไปกว่านั้น โครงการสำรวจดาวอังคารของยานมารส์ออปเซอร์เวอร์ (Mars Observer) ที่ถูกส่งไปโคจรรอบดาวอังคารเมื่อปี ค.ศ. 1993 ก็ไม่มีการถ่ายภาพใบหน้าและพีระมิดเหล่านี้มาเลยทั้งๆที่พื้นที่แถบไซโดเนียอยู่ในแผนการถ่ายภาพ แต่นาซากลับอ้างเหตุขัดข้องทางเทคนิคว่าในขณะยานโคจรเพื่อจะถ่ายภาพในแถบนั้นเกิดเสียการควบคุมพอดี จึงไม่ได้ถ่ายภาพไว้ รวมทั้งโครงการมารส์โกลบอลเซอร์เวเยอร์ (Mars Globol Servayor) และโครงการพาทไฟน์เดอร์ (Pathfinder) ก็ไม่มีแผนการที่จะถ่ายภาพแถบไซโดเนียเช่นกัน ยิ่งสร้างความสงสัยแก่ผู้สนใจติดตามข่าวการสำรวจดาวอังคาร ว่านาซากำลังเก็บงำความลับอะไรไว้เพราะแสดงอาการไม่สนใจจนผิดปกติ จนถึงกระทั่งมีการล่ารายชื่อเพื่อแสดงประชามติของมหาชนเพื่อกดดันให้นาซาบรรจุแผนการถ่ายภาพใบหน้า พีระมิด และบริเวณใกล้เคียงให้ได้




ที่มา : http://www.yupparaj.ac.th

____________________

เครดิต :

________________________________

Pageviews

ไขปริศนาดาวอังคาร ตอนที่ 1



ในปี ค.ศ. 1976 เมื่อยานไวกิงได้ทำการโคจรสำรวจและถ่ายภาพดาวอังคารส่งกลับมายังโลกนั้น องค์การนาซาได้รับข้อมูลภาพกว่า 60,000 ภาพ และในภาพเหล่านั้นมีอยู่ภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพของดาวอังคารในแถบที่เรียกว่าไซโดเนีย (Cydonia) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของดาวอังคาร

ถ่ายจากระยะความสูงประมาณ 1,500 กม. ถ้าเทียบกับตำแหน่งที่ยานพาทไฟน์เดอร์ลงจอดก็จะอยู่เหนือขึ้นไปอีกนับพันกิโลเมตร ภาพนั้นเป็นภาพพื้นผิวดาวอังคารที่เต็มไปด้วยภูเขาและมีวัตถุประหลาดขนาดใหญ่ ดูแล้วคล้ายใบหน้าคน นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซาได้เผยแพร่ภาพนี้แก่สาธารณชนเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องตลกที่บนดาวมีภูเขาที่สัณฐานละม้ายคล้ายใบหน้าคน แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะภาพที่ส่งมาจากยานไวกิงมีจำนวนมากเหลือเกิน



ภาพการปล่อยจรวดซึ่งบรรจุยานไวกิง 2 เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1975


แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์บางส่วนรวมทั้งผู้ที่สนใจค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกพิภพกลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก ตรงกันข้าม กลับมีความเห็นว่าภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคารนั้นไม่น่าจะเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่เป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมมากกว่า ซึ่งนั่นก็หมายความว่าบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตที่มีวิทยาการสูงอาศัยอยู่!


ภาพใบหน้ายิ้มบนดาวอังคาร ภาพนี้เกิดจากปล่องภูเขาไฟ ที่บังเอิญดูคล้ายหน้าคนยิ้ม

นาซาเชื่อว่าภาพใบหน้าลึกลับก็คงเป็นเรื่องตลกทำนองเดียวกัน 




ในปี ค.ศ. 1979 วิศวกร 2 นายแห่งศูนย์อวกาศกอดดาร์ด สหรัฐอเมริกา คือ ดีเพียโตร (DiPietro) และมอลเลนนาร์ (Molenaar) ได้มาพบภาพดังกล่าวนี้อีกครั้งโดยบังเอิญ รวมทั้งยังพบภาพใบหน้าลึกลับที่ถ่ายด้วยทิศทางแสงอีกแบบหนึ่งที่ทำให้เห็นรายละเอียดได้มากขึ้น ทั้งสองจึงนำข้อมูลภาพถ่ายทั้ง 2 ภาพนี้ไปวิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวัตถุลึกลับนั้นเป็นรูปทรงใบหน้า รวมทั้งยังได้พบโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายพีระมิดเกาะกลุ่มกันอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของใบหน้าโดยอยู่ห่างออกไปราว 20 กิโลเมตรอีกด้วย ซึ่งต่อมาได้มีการตั้งชื่อสิ่งทีมีโครงสร้างคล้ายเป็นสถาปัตยกรรมนี้ กล่าวคือ ส่วนที่เป็นกลุ่มพีระมิดจะเรียกว่าเป็นเมือง (The City) ใกล้ๆกับเมืองเป็นโครงสร้างคล้ายพีระมิดห้าเหลี่ยมซึ่งเรียกว่า ป้อมปราการ (The Fortress) นอกจากนี้ยังมีพีระมิดที่อยู่ห่างออกไปอีก เรียกว่า พีระมิดดีและเอ็ม (D&M Pyramid) ซึ่งชื่อดีและเอ็มนี้มาจากชื่อของดีเพียโตรและมอลเลนนาร์นั่นเอง





ภาพใบหน้าลึกลับบนดาวอังคาร 2 ภาพที่วิศวกรแห่งศูนย์อวกาศกอดดาร์ดค้นพบและนำมาศึกษา 2 ภาพนี้ถ่ายคนละเวลากันจึงเห็นทิศทางแสงแตกต่างกันและทำให้เห็นรายละเอียดได้ไม่เท่ากัน




ภาพพื้นที่แถบไซโดเนีย จะเห็นวัตถุรูปทรงคล้ายสิ่งก่อสร้างหลายอย่างซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าน่าจะเคยมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมและวิทยาการอันสูงส่งอาศัยอยู่ 


ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 คาร์ลอตโต นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายจากยานไวกิงซ้ำอีก แต่ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ใหม่ๆในการวิเคราะห์ซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วย คาร์ลอตโตใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบแฟรกทัล (fractal) และพบว่า ใบหน้า ที่เห็นนั้นมีความกว้างถึง 2 กม. ยาว 2.5 กม. และมีความสูงจากพื้นผิวดาวอังคารถึง 400 เมตร จากการวิเคราะห์ คาร์ลอตโตได้พบร่องรอยของ ฟัน ในปากของใบหน้าลึกลับด้วย รวมทั้งจากการวิเคราะห์โครงสร้างของใบหน้าพบว่าใบหน้าซีกซ้ายและขวาสมมาตรกัน นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่เป็น ตาดำ ของใบหน้า นั่นแสดงว่าใบหน้านั้นไม่ใช่เกิดจากภูเขาที่โดนลมพายุพัดจนสึกกร่อนกอปรกับทิศทางแสงในการถ่ายภาพทำให้เห็นเป็นรูปร่างคล้ายใบหน้ามนุษย์อย่างที่นาซาเชื่อเป็นแน่ แต่เป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมบนโลกอื่น









ภาพใบหน้าที่เห็นร่องรอยของตาดำ ฟัน รวมทั้งใบหน้ายังมีสมมาตรระหว่างซีกซ้ายกับซีกขว




นอกจากนี้ คาร์ลอตโตยังเสนอวิธีวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายผิวดาวเคราะห์โดยใช้เทคนิคแฟรกทัลนี้เพื่อแยกแยะสิ่งที่เป็นสิ่งก่อสร้างและสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกด้วย ทั้งนี้ โดยมีสมมติฐานว่าสิ่งก่อสร้างนั้นจะมีลักษณะแตกต่างจากโครงสร้างตามธรรมชาติ เช่น มีเหลี่ยมมีมุม มีช่วงและจังหวะ มีสมมาตร ฯลฯ โครงสร้าง 2 ประเภทนี้เมื่อวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแฟรกทัลแล้วจะให้ค่าการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายแถบไซโดเนีย คาร์ลอตโตพบว่ามีอยู่ 4 ตำแหน่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นั่นคือ ตำแหน่งที่เป็นใบหน้าลึกลับ เมือง พื้นที่ใกล้เมือง และป้อมปราการ ส่วนพีระมิดดีและเอ็มนั้นไม่พบสิ่งผิดสังเกต







พื้นที่ 4 จุดที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามการวิเคราะห์ของคาร์ลอตโต





ภาพขยายบริเวณเมือง









ภาพ ก





ภาพ ข



ภาพ ค



ภาพ ง



ภาพแสดงการใช้เทคนิคทางแฟรกทัลในการวิเคราะห์หาโครงสร้างที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ บนพื้นผิวดาวเคราะห์ ภาพ ก เป็นภาพถ่ายทางอากาศ ในภาพนี้มีรถถังซ่อนอยู่ 4 คัน ภาพ ข เป็นการนำภาพมาแปลงโดยใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่าแฟรกทัล ภาพ ค เป็นการปรับภาพให้สอดคล้องกับตัวแบบทางคณิตศาสตร์ที่กำหนดเพื่อแยกแยะว่าสิ่งใดน่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งใดเป็นสิ่งก่อสร้าง และภาพ ง เป็นผลจากการวิเคราะห์ พบว่ามีสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่ 4 ตำแหน่ง ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ซ่อนรถถังไว้นั่นเอง

















ที่มา : http://www.yupparaj.ac.th

____________________

เครดิต :

________________________________



Pageviews

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 'ฉันเป็นทหารนาวิกโยธิน' ของ Hyun Bin มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าดีเกินคาด

Sousuke Takaoka ถูกไล่ออกหลังวิจารณ์เรื่องกระแสเกาหลีฟีเวอร์

“นาตาลี” เอือมข่าว “ขวัญ-หมวดบีม” บอกตนพูดความจริงไม่ชอบแอ๊บ

“นาตาลี” ไม่หวั่นหลัง “หมวดบีม” ให้สัมภาษณ์ว่ายังคบหากับ “ขวัญ” พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยโทรไประบายเรื่องขวัญให้นาตาลีฟัง บอกเป็นแบบนี้ก็ดีจะได้รู้จักคนๆ หนึ่งมากขึ้น สุดเอือมเรื่องนี้บอกตนพูดความจริง และคนส่วนใหญ่ก็เชื่อในสิ่งที่ตนพูด เพราะคนสมัยนี้ไม่ชอบคนแอ๊บ

หลังจากที่มีข่าวว่า “ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์” เกิดอาการหึงหวง “หมวดบีม” ร้อยตรีบุญญฤทธิ์ พจนประพันธ์ จนไปมีเรื่องปะทะคารมณ์กับ “นาตาลี เดวิส” จนนาตาลีออกยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมทั้งแฉว่า หมวดบีมได้โทรมาคุยกับตนโดยกล่าวขอโทษและบอกว่าได้เลิกกับขวัญไปแล้วเพราะทนความหึงหวงไม่ไหว แต่ต่อมาหมวดบีมกลับออกมาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ยังคบหาดูใจขวัญอยู่ เล่นเอานาตาลีหน้าแหกยอมรับว่าฉุน

“เขาออกมาพูดอย่างนั้นยิ่งดีทำให้รู้ว่า กว่าที่เราจะรู้จักคนคนหนึ่งได้ต้องใช้เวลาหลายปี ไม่เป็นไรสบายมาก จริงๆ มีความสุขเพราะรู้สึกดีที่ออกมาพูดความจริง ไม่ต้องมานั่งสร้างเรื่องโกหกใส่กัน ก่อนหน้านี้เราสัมภาษณ์ถึงผู้ชายดีมากมาตลอดรวมถึงผู้หญิงด้วย พอเขาพูดอย่างนี้ก็เฉยๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรชิลล์ๆ ตอนแรกที่รู้ข่าวก็มีฉุนนิดหน่อย ก็ขึ้นนิดนึงนะ แต่แม่ก็บอกว่าช่างเขา เพราะเราก็จะได้รู้จักคนๆ หนึ่งว่านิสัยเป็นยังไง นี่เขาก็เงียบไปแล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้คุยกันบ่อยอยู่แล้ว นานๆ จะคุยอัพเดทชีวิตกัน แต่พออย่างนี้ก็ไม่เป็นไร แย่ไหมเท่าทุน เป็นศูนย์แล้วกัน”

“กับขวัญถ้าต้องเจอหรือว่าร่วมงานกันก็สบายมากค่ะ ได้อยู่แล้ว เพราะเราพูดเรื่องจริงไม่ต้องมานั่งกลัวว่าเจอได้หรือเปล่า ไม่ต้องคิดว่าเกิดสัมภาษณ์คู่กันแล้วจะทำไง เราก็พูดของเราเหมือนเดิม เอาจริงๆ เรื่องนี้คนค่อนข้างเชื่อเราเยอะนะ จากที่ดูหลายๆ ที่ ไม่ใช่แค่คนใกล้ตัวนะ ดูจากกระแสในอินเตอร์เน็ตว่าคนไปทางไหนมากกว่ากัน เดี๋ยวนี้คนเขาเปลี่ยนแล้ว เขาไม่ชอบคนแอ๊บๆ แล้ว ชอบคนตรงๆ ตรงแต่ไม่ใช่หยาบคาย ตรงแต่มีความจริงใจให้คนอื่นชอบก็ชอบแหล่ะ (ถือว่าสาปส่งเลยมั้ย)ไม่เป็นไร เราเรื่อยๆ เป็นคนไม่ค่อยโกรธอารมณ์เสีย อาจจะปรี๊ดช่วงแรกแป๊บนึง แต่เดี๋ยวก็ช่างมัน ปล่อยไป”

เผยหลังเกิดเรื่องก็ไม่ได้ติดต่อกับ “หมวดบีม” อีกเลย ลั่นทำงานอยู่ในวงการเดียวกันไม่อยากมีปัญหากับใคร
“ไม่คุยค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรต้องคุย คงเป็นเขาที่ต้องมาคุยกับเรา เพราะเราก็ไม่ได้คุยอะไรอยู่แล้ว เบอร์เขาเราก็ยังมีปกติ ไม่ได้ลบทิ้ง กับเรื่องนี้พี่เอิ๊น(อธิเบศร์ ตรีสุขี) ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็บอกช่างเขา เพราะเขารู้แต่แรกแล้ว วันที่คุยโทรศัพท์กับผู้หญิง พี่เอิ๊นก็นั่งอยู่ข้างๆ เขาก็รู้ตั้งแต่วันนั้นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นยังไง เขาก็เชื่อเราอยู่แล้ว เขาก็บอกช่างมันเถอะ เพราะเราทำงานอยู่ตรงนี้อย่าไปมีปัญหาอะไรกับใคร ไม่อยากจะไปสู้อะไรกับใคร หลักฐานอะไรก็พอมีนะแต่ไม่เอาดีกว่าขี้เกียจ รำคาญ เห็นแต่ละทีแล้วอืม…”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

“เมย์” รับหน้าที่ปลอบใจ “อั้ม-เมย์ พิชนาฏ” เตือนคบผู้ชายให้ดูดีๆ

“เมย์ เฟื่องอารมณ์” เผยเพื่อนๆ ในแก๊งไม่ว่าจะเป็น อั้ม พัชราภา , ตอง ภัครมัย , เมย์ พิชนาฏ ต่างทยอยกันโสดเพราะต่างเพิ่งเลิกกับแฟน มีแค่ตนคนเดียวที่ยังคบหากับแฟนหนุ่ม บอกมีหน้าที่ปลอบใจเพื่อนๆ และคอยตักเตือนเรื่องผู้ชายที่จะเข้ามาจีบ

หลังจากที่เพื่อนๆ ในแก๊งมีข่าวเลิกรากับแฟนไปทีละคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นสาว “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ที่เลิกกับแฟนหนุ่ม “โน้ต วิเศษ รังษีสิงห์พิพัฒน์” และอีกไม่นาน “เมย์ พิชญ์นาฏ สาขากร” ก็ออกมาประกาศว่าโสดไปอีกคน จะเหลือก็แต่ “เมย์ เฟื่องอารมณ์” ถึงจะยังคบหากับ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” แต่ก็เลื่อนแผนแต่งงานมาแล้วหลายรอบ เจอเมย์ในงาน Horo Live ศึกชิงเจ้าหมอดู Season 2 เจ้าตัวก็เลยเปิดเผยถึงเรื่องดวงความรักของตัวเองว่า...

“เรื่องหมดดู ก็มีคนดูตรงบ้างไม่ตรงบ้าง เมื่อกี้เขายังไม่ทายเรื่องแต่งงานมากเลย ทายไว้นิดเดียวเอง ก็เลยไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ที่หมอดูทักว่าจะไม่ได้แต่งานเลยเนี่ย จริงๆ แล้วมีหมดดูทักไว้เยอะมาก ตั้งแต่เมย์ยังเด็กๆ อายุ 20 เลยนะว่า ถ้าได้แต่งก็จะได้แต่งช้า แต่ถ้าได้แต่งเร็วลูกของเราก็จะไม่ดี หรือไม่ก็จะมีเกณฑ์หย่าร้าง อย่าเพิ่งรีบแต่ง ตอนนั้นเราก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอเราอายุมากขึ้น ก็กลับมาย้อยดูว่า มันก็จริงนะ เพราะเหมือนดวงของเมย์ ถ้าจะแต่งก็ต้องแต่งช้าเลย ยิ่งช้ายิ่งดี เพราะเป็นดวงที่ไม่เหมือนคนอื่น”

เผยเข้าใจความรู้สึกของคู่รักมาราธอน “เอ๊ะ ศศิกานต์-เจมส์ เรืองศักดิ์”
“เข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งสองคนเลยว่า คบมา 12 ปีแล้วเลิก เพราะคู่ของเมย์กับพี่หนุ่มก็คบมาสิบกว่าปี รู้สึกเข้าใจเลยว่า คนสองคนที่เขาตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์กัน เพราะมันเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงมากเลย แล้วอีกอย่างเขาก็ทำอะไรร่วมกันมาเยอะ พอรู้ข่าวก็หดหู่เหมือนกัน”

“ส่วนตัวเราก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะคู่เราก็คู่เรา แต่อย่างคู่เมย์ก็มีปัญหากันมาก็เยอะ เจออะไรมาก็เยอะ ผ่านมาก็เยอะ ตอนนี้คู่ของเมย์ก็ยังโอเคอยู่ แต่เรื่องของอนาคตเนี่ยจะเป็นอย่างไรก็ไม่คิดหวั่นไหวคะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว คนก็ถามเยอะว่าทำไมไม่แต่งงาน เพราะก็เห็นว่าคบกันมานาน ถามว่ากดดันไหม ก็บอกว่ากดดันนะ ก็เขาใจว่าทุกคนอยากให้แต่ง แต่ก็ต้องรอให้อะไรๆ มันลงตัวก่อน ก็จะแต่งค่ะ”

“เป็นอะไรไม่รู้ตอนนี้แปลกๆ เพื่อนๆ จะโสดหมดเลยมันไม่น่าเชื่อเลย เรียงกันมาเลยตั้งแต่อั้ม แต่อั้มก็ยังไม่เท่าไหร่ ส่วนตองเขาโสดอยู่แล้ว พอมาเป็นน้องเมย์ พิชญ์นาฏ ก็ไม่น่าเลิกเพราะมันเร็วมาก ก็เห็นยังรักกันอยู่ดีๆ เลิกกันได้ไง สรุปตอนนี้เหลือเมย์คนเดียว ทุกคนก็หันมามองเมย์ เมย์ก็เลยบอกไปว่ายังไม่เลิก”

“ช่วงนี้ก็จะปลอบๆ กันค่ะ เพราะเราผ่านประสบการณ์ความรักมาก็หลายปีแล้ว เรามีอะไรก็จะบอกเขา เราก็บอกเขาว่า พยายามอย่าคิดมากเลย ถ้ามีโอกาสก็ค่อยๆ หา ค่อยๆ เลือกไป เราก็คอยเป็นที่ปรึกษาให้ แต่ทุกคนก็ยังหันมามองเราแล้วก็บอกว่า ไม่เหมือนเธอ เธอมีความสุข แต่ก็อย่างว่าพอโสดก็ต้องมีผู้ชายเข้ามาทุกคนเนอะ แต่ว่าเราก็คอยบอกว่าให้ดูดีๆ นะ ค่อยๆ ดูค่อยๆ เลือก แต่ถ้าดูแล้วยังไม่ดีเราก็เตือนๆ เขาไป”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

4minute ปล่อย ‘Freestyle’ เพลงประกอบเกมส์ออนไลน์ ออกมาแล้ว

AZIATIX ปล่อยมิวสิควีดีโอ ‘Slippin Away’ ออกมาแล้ว

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างคุยกับคนอื่น แต่ไม่เวิร์คเลยกลับมาคบกันใหม่

“โบวี่” รับตอนห่าง “ไมค์” ต่างคนต่างไปคุยกับคนอื่นแต่ก็ยังคบกันอยู่ แต่สุดท้ายไม่เวิร์คก็เลยกลับมาคบกันแค่สองคนทยอยเลิกคุยกับคนอื่นๆ สุดแฮบปี้ควงกันไปเที่ยวเสม็ด 2 ต่อ 2 ส่วนไมค์เคยจีบ “ผิง พิมพาภรณ์” หรือไม่ให้ไปถามฝ่ายชายเอาเอง


หลังจากที่เบรกความสัมพันธ์กันไปพักหนึ่ง สำหรับคู่ของดาราสาว “โบวี่ อัฐมา ชีวนิจพันธ์” กับวีเจหนุ่ม “ไมค์ ไมเคิล หว่อง” แต่ตอนนี้ทั้งคู่ก็กลับมาหวนคืนดีกันอีกรอบแล้ว แถมยังหวานกว่าเก่า เพราะเพิ่งควงไปสานสัมพันธ์กันแบบหวานชื่นสองต่อสองกันที่เกาะเสม็ด บอกงานนี้ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เพราะมีกิจกรรมทำร่วมกันตลอดทั้งวัน แต่ยังไม่ฟันธงว่ากลับมาเป็นแฟน เพราะอยากให้ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า

“ความรักช่วงนี้ก็โอเคค่ะ เพิ่งไปเสม็ดกันมา เพราะว่าว่าง 2 วันก็เลยไปเที่ยวเสม็ดกัน สนุกมากค่ะ ครั้งนี้ไปขี่เอทีวี ไปพายเรือคายัค แอดเวนเจอร์ทั้งวัน คือเที่ยวคุ้มมากค่ะ ก็ไปกันสองคนค่ะ ดีค่ะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ได้ผ่อนคลาย เพราะช่วงนี้โบทำงาน 7 วันติดกันมา 2 - 3 เดือนแล้วไม่มีเวลาเลย พอมันมีโอกาสได้ไปก็ดีค่ะ สำหรับความสัมพันธ์ไมค์บอกว่าจะเต็มที่จะดูแลเหมือนแฟน แต่สำหรับโบก็บอกเขาว่าใจเย็นๆ ดีกว่า ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

“เหมือนกับทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมดเลย เราก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ไป มันหลายๆ อย่าง ก็ใจเย็นๆ กันดีกว่า ณ ตอนนี้ก็แฮปปี้ดีชิลล์ไม่ได้ซีเรียสอะไรค่ะ แต่จะใช้เวลานานแค่ไหน โบไม่ได้กำหนดตรงนั้นค่ะ แค่มีความสุขอยู่กับปัจจุบันก็โอเคแล้วค่ะ”

ปัดไม่รู้ช่วงที่ห่างกัน “ไมค์” ไปคบกับ “ผิง พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์” จริงหรือเปล่า แต่สำหรับตนก็มีไปคุยกับหนุ่มอื่นเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มถอยห่างออกมาแล้ว
“ข่าวไมค์กับผิงคือเป็นข่าวช่วงก่อนหน้านี้ที่ห่างๆ กัน มันก็เป็นช่วงที่ต่างคนต่างก็ไปคุยกับคนอื่น(หัวเราะ) แต่เราก็ไม่ได้ปิดบังกันนะคะ โบไม่ขอพูดว่าไมค์คุยกับใคร แล้วโบก็ไม่ขอบอกแล้วกันว่าโบคุยกับใคร แต่เราสองคนคุยกันว่าเราคุยอะไรกับใคร เพราะมันเป็นช่วงที่คุยได้น่ะค่ะ แต่สุดท้ายไมค์ก็มาคุยกับโบว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่เวิร์ค คือเราสองคนก็ลองกลับมาคุยกันใหม่ด้วย แต่ในขณะเดียวกันเราสองคนก็ยังไปคุยกับคนอื่นด้วย เขาก็บอกว่ามันไม่น่าจะเวิร์ค ก็ต้องเลือกเอาว่าจะเลิกไปเลย หรือจะกลับมาคุยกันแค่สองคน เขาบอกว่าเขาอยากกลับมาคุยกันแค่สองคนมากกว่า”

“แต่ส่วนตัวโบก็เคยเจอกับผิงบ้างค่ะ แต่นานมากแล้วตั้งแต่โบเพิ่งเข้าวงการ แต่เขาคงไม่เคยเจอโบ แต่เรื่องผิงเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าโบก็ยังไม่รู้นะคะ ไปถามไมค์เองดีกว่า เพราะไมค์คุยกี่คนโบก็ไม่รู้ แล้วโบคุยกี่คนโบก็ไม่บอก(หัวเราะ) ก็เหมือนกับเปิดโอกาสให้ตัวเองลองศึกษาคนอื่นดูมากกว่า แต่สำหรับโบตอนนี้ก็หยุดกับคนที่คุยๆ ไปแล้ว มันต้องค่อยๆ พูดค่ะ(หัวเราะ) แต่โบไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ แล้วโบก็เคลียร์กับไมค์แล้วว่าเดทก็คือเดท ลองคุยดู โบก็วางตัวเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่รู้ไปหมด มันอยู่ที่การวางตัวค่ะ คบก็คือคบ ถ้าคบก็คบแค่สองคนจบ”

ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์

หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก ( Voynich manuscript )







Voynich manuscript เป็นหนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลก เนื่องจากภาษาที่ใช้ได้มีการเข้ารหัส ที่ยังไม่สามารถถอดความได้ มันถูกเขียนด้วยปากกาขนนก มีขนาด 6 x 9 นิ้ว หนา 11/2นิ้ว มีอยู่ 240 หน้า แต่บางหน้าขาดหายไป ปกสมุดทำจากหนังลูกวัวสีครีม ไม่มีการระบุชื่อผู้เขียน ชื่อเรื่องหรือปีที่เขียนใด





ถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุดเบนเนคเก้ (Beinecke Rare Bood & Manuscript Library) ภายในเล่มประกอบไปด้วย ทั้งภาพและอักษรในสมุดมีความเฉพาะ เป็นตัวอักษรที่ไม่เคยพบเห็นในที่ใด ๆ ในโลกมาก่อนและ แทบทุกหน้ามีวาดภาพประกอบ มีทั้ง พืชพันธุ์ แปลก ๆ ภาพผู้หญิงเปลือย เชื่อมด้วยท่อที่ดูคล้ายเส้นโลหิต มีภาพคล้ายแผนผังเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ที่มองจากกล้องโทรทัศน์ และภาพคล้ายเซลล์ สิ่งมีชีวิตที่มองผ่านกล้องจุลทรรศน์














Voynich manuscript ถูกบันทึกออกได้เป็น 5 ส่วนคือ







ส่วน พฤกษศาสตร์ มีสาระประมาณ ครึ่งหนึ่งของสมุด ราว 130 หน้า แต่ละหน้าจะมีภาพวาดของพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งพร้อมกับตัวอักษรกำลังอยู่ข้าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นรายละเอียดของพันธุ์ไม้นั้น ๆ และอักษรบนแต่ละหน้านั้นก็เป็นชื่อพันธุ์ไม้




ส่วน ดาราศาสตร์ และจักรวาล ภาพส่วนใหญ่จะวาดในลักษณะของทรงกลม มีพระอาทิตย์ พระจันทร์และกลุ่มดาวต่าง ๆ แต่บางภาพมีองค์ประกอบแปลก ๆ เช่น ภาพแผนภูมิจักรราศี มีภาพผู้หญิงเปลือยถือดวงดาวล้อมรอบจักรราศีอยู่ บางหน้าก็สามารถคลี่ออกมาได้อีกเป็น 6 หน้า มี ภาพวาดหน้าผังดาราศาสตร์ ภาพคล้าย กาแลคซี่ แอนโดรมีดา ที่มองจากกล้องเทเลสโคป ส่วนนี้มี 26 หน้า




ส่วน ชีววิทยา มีภาพวาดที่ดูคล้ายอวัยวะในร่างกาย ซึ่งมีลักษณะค่อนข้างแปลก มีภาพผู้หญิงเปลือยอยู่ในสระที่มีท่อเชื่อมโยงคล้ายเส้นเลือด ผู้หญิงบางคนก็สวมมงกุฎ ส่วนนี้มี 4 หน้า กับ 28 ภาพวาด




ส่วน เภสัชศาสตร์ มีความคล้ายกับส่วนพฤกษศาสตร์ ส่วนนี้มีภาพคล้ายภาชนะที่ใช้ในร้านขายยายุค ศตวรรษที่ 15 และมีตัวอักษรเขียนกำกับที่ตัวภาชนะ ส่วนนี้มี 34 หน้า




ส่วน สูตร คาดว่าเกี่ยวกับสูตรยาเพราะมีการเขียนด้วยย่อหน้าสั้น ๆ ถึง 324 ย่อหน้า แต่ถ้านับรวมกับส่วนที่ขาดหายไปแล้ว มีมากถึง 360-365 ย่อหน้า ทุกย่อหน้าเริ่มต้นด้วยรูปดอกจัน แต่มีผู้สันนิษฐานว่าส่วนนี้อาจเป็นปฏิทินแบบพิศดาร มีการระบุเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไว้ด้วย ส่วนนี้มี 23 





หน้าหน้าสุดท้ายคือหน้า ที่คาดกันว่าเป็นบันทึกกุญแจไขปริศนาอักษร อีก 1 หน้า ที่ใช้ในสมุดบันทึกเล่มนี้ทั้งหมด








รูปตัวอย่าง ในส่วนดาราศาสตร์






รูปตัวอย่างในส่วน เภสัชศาสตร์









รูปตัวอย่างในส่วน พฤกษศาสตร์









รูปตัวอย่างในส่วนชีววิทยา









รูปตัวอย่างในส่วนสูตร











ที่มา : wowboom

____________________

เครดิต :

________________________________


Pageviews