วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
บ้านผีดุ
บ้านสีขาวหลังใหญ่นั้นตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสวอนนาห์ เมืองโอ๊ควิลล์ มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เป็นบ้านโอ่โถงสวยงามที่ครอบครัววอลชิงแฮมภูมิอกภูมิใจยิ่งนัก บริเวณรอบๆ ตัวบ้านร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ในระยะแรกที่ครอบครัววิลซิงแฮมเข้าอยู่อาศัยทุกคนดูมีความสุข แต่ไม่นานต่อมา ความสงบสุขก็จางหายไป กลับมีความลึกลับน่าสยดสยองเข้ามาแทนที่ เริ่มด้วยเสียงประตูหน้าต่างกระแทกปิดเปิดได้เองปึงปัง, เสียงกระดิ่งดังลั่นเหมือนมีคนกดเรียก, เสียงลากโต๊ะเก้าอี้ ฯลฯ แล้วในค่ำวันหนึ่งทุกคนนั่งพักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่น ซีซาร์ สุนัขพันธุ์มาสตีฟก็เห่ากรรโชกขึ้น มันเห่าคล้ายกับเห็นคนร้าย นัยน์ตาจ้องเขม็งไปที่มุมห้องซึ่งว่างเปล่า ครั้นแล้วมันก็กระโจนพรวดไปที่มุมห้อง ทันใดนั้นเจ้าซีซาร์ก็กระเด็นไปกระทบผนังตึกที่อยู่ตรงข้ามเสียงดังสนั่น เหมือนกับถูกใครจับเหวี่ยงสุดแรง แล้วมันก็ทรุดแน่นิ่งกับพื้น ทุกคนรีบเข้าไปดูแต่เจ้าซีซาร์ตายแล้ว ทุกคนตกตะลึงรู้ทันทีว่าในบ้านมีสิ่งลึกลับน่ากลัวแอบแฝงอยู่ แต่ครอบครัววิลซิงแฮมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่จะย้ายออกทันทีก็มีปัญหาจึงต้องทนอยู่ไปก่อน ผีที่บ้านหลังนี้เริ่มลงมือกวนประสาททั้งกลางวันกลางคืน มีเสียงโหยไห้คร่ำครวญ, เสียงขู่คำราม, เสียงหัวเราะ, เสียงครวญคราง มันดังมาจากทุกทิศทาง ทั้งกลางวันกลางคืน
คืนหนึ่ง เอมิเลีย บุตรสาวของจอห์น วิลซิงแฮม เข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ฉับพลันเธอรู้สึกว่ามีใครเอามือมาแตะบ่าจากด้านหลัง เธอคิดว่าเป็นคนในบ้านจึงไม่ได้หันไปมอง เพียงแต่ยิ้มเงยหน้าดูในกระจก แต่เธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวใบหน้าซีดเผือด ขนลุกซู่ทั้งตัว เพราะเบื่องหลังเธอไม่มีใครแต่กลับมีมือใหญ่ของผู้ชายวางบนบ่าเธอ เอมิเลียกรีดร้องสุดเสียง คนในบ้านได้ยินต่างวิ่งมาดู แต่มือนั้นได้หายไปแล้ว ทุกคนลงความเห็นว่าเอมิเลียตาฝาด แม้ว่าเธอจะยืนยันหนักแน่นแต่ไม่มีใครเชื่อ
จนค่ำวันหนึ่ง จอห์นเชิญเพื่อนบ้านมารับประทานอาหารด้วย เสร็จแล้วก็นั่งพูดคุยกันในห้องนั่งเล่น ครั้นแล้วทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนบ้านก็สะดุ้งโหยง เพราะมีเสียงครางฮือๆ ดังชัดเจนมาก จอห์นทำเป็นไม่สนใจแกล้งคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านตกใจกลัว อึดใจต่อมาก็มีเลือดหยดลงมาจาเพดานลงมาที่ที่ผ้าปูโต๊ะ ทุกคนรีบวิ่งขึ้นไปดูที่ชั้นบน แต่ชั้นบนนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีใครอยู่และไม่มีรอยเลือดแม้แต่หยดเดียว คราวนี้เพื่อนบ้านทราบแล้วว่าเป็นการกระทำของปีศาจ จึงรีบเผ่นกลับบ้านของแต่ละคน จอห์นและครอบครัวก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นได้อีกเพียงอาทิตย์เดียวก็ต้องย้ายออกเพราะถูกวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ที่บ้านหลังนี้รบกวนอย่างหนัก
หลายสัปดาห์ผ่านไปหลังจากที่ย้ายออกมา จอห์นนึกขึ้นได้ว่า เหตุที่ปีศาจอาละวาดในบ้านของเขา อาจจะเนื่องมาจากเขาเอากระดูกท่อนหนึ่งที่พบในสวนโยนเข้าเตาไฟเผาจนมอด ซึ่งทีแรกคิดว่าเป็นกระดูกสัตว์ แต่มานึกได้ทีหลังว่าคงเป็นกระดูกมนุษย์และวิญญาณคงเป็นห่วงกระดูก จึงสิงสู่อยู่ในบ้าน พร้อมกับขับไล่มิให้ผู้ใดมารบกวน
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ขายอายุด้วยชีวิต
เมื่อหลายปีก่อน พ่อของผมป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ รักษากี่หมอๆ ก็ไม่หาย ไปโรงพยาบาล 4-5 แห่งทั้งของรัฐและเอกชน อาการก็ไม่ดีขึ้น หมอเองก็บอกไม่ได้ว่าพ่อผมแพ้อะไร ทุกคนในครอบครัวเป็นทุกข์กันมากเพราะถ้าขาดพ่อไปคนหนึ่งแล้วครอบครัวเราจะลำบากมาก หลังจากที่จนปัญญาไม่รู้จะรักษาที่ไหนให้หายแล้ว จึงได้แต่รักษาตามหมอชาวบ้าน รักษาแผนโบราณไปตามเรื่องตามราว ใครบอกว่าที่ไหนมียาดีก็ไปเสาะแสวงหามาให้พ่อกิน พ่อผมมีอาการไอมากจนหอบ อาหารก็ไม่ยอมทาน บอกแต่ว่าเหม็นๆ ได้แต่เพ้อว่า “ไม่อยากตายตอนนี้เลย พ่อรู้ว่าถ้าพ่อตาย พวกลูกๆ และแม่จะลำบาก” แม่ผมได้ยินแล้วก็ได้แต่ร้องไห้ น้องๆ ผมที่กำลังซนกลับกลายเป็นเด็กเรียบร้อยไปเลยทีเดียว คอยช่วยผมและแม่ดูแลพ่อ พักหลังพ่อผมเริ่มหอบมากขึ้น ต้องส่งไปโรงพยาบาลเพื่อให้ออกซิเจนตลอดเวลา ผมสังเกตว่าใบหน้าของพ่อหมองคล้ำ ผิวหนังแทบจะเรียกว่าดำเลยทีเดียวก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่พ่อผมเป็นคนผิวขาว มีญาติคนหนึ่งบอกกับผมว่า “สงสัยพ่อเอ็งคงจะถึงฆาตแน่แล้ว เพราะคนป่วยไม่มีราศีเลย ตาแดง แห้งผาก หน้าดำหมองคล้ำ โบราณเขาว่าอย่างนี้แหละคนใกล้ตาย” ผมไปถามแม่ แม่ก็ได้แต่พูดว่า “อีกไม่นานพ่อแกต้องหายเชื่อแม่เถอะ” ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้แม่มั่นใจอย่างนั้น
มีอยู่วันหนึ่งแม่ผมบอกว่าดูแลพ่อให้ดีแม่จะไปธุระ พอผมถามแม่ว่าจะไปไหนแม่ก็ไม่ยอมบอก พอแม่กลับมายังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถามแม่ก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “พ่อเอ็งต้องหาย พ่อเอ็งไม่ตายหรอก เชื่อแม่เหอะ” พูดเสร็จแม่ก็เดินไปดูแลพ่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน พ่อผมมีอาการดีขึ้นจนหายเกือบจะเป็นปกติ มีบางครั้งที่พ่อต้องใช้ยาบ้างเท่านั้น สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้ทั้งผมและญาติพี่น้อง มีคนถามว่า “กินยาอะไร ไปรักษากับหมอที่ไหนถึงได้หาย” ผมก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน
แล้วครอบครัวผมก็มีความสุขกันอีกครั้ง พ่อผมไปทำงานได้ตามปกติ ร่างกายแข็งแรงเหมือนคนไม่เคยป่วย แต่แล้วความสุขก็อยู่กับครอบครัวผมได้ไม่นาน จู่ๆ แม่ผมก็ป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้ อาการมีแต่ทรุดลงและเสียชีวิตภายในเวลาไม่ถึง 2 อาทิตย์เท่านั้น หลังจากเสร็จงานศพแม่แล้ว พ่อก็เอาแต่กินเหล้า เวลาเมาก็พูดแต่ว่า “ไม่น่าเลยๆ ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้” ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ผมและน้องขวัญเสียมากขึ้นไปอีก ผมเสียใจที่แม่ตายมากพอแล้วยังต้องมาเสียใจที่พ่อเมาเหล้าอีก
ตอนหลังผมรู้มาจากญาติทางแม่คนหนึ่งว่า ที่พ่อผมเป็นอย่างนี้เพราะมีคนมาบอกพ่อว่าตอนที่พ่อผมป่วยใกล้ตายคราวนั้น แต่รอดมาได้ก็เพราะแม่ผมไปต่ออายุให้พ่อโดยเอาอายุของแม่ให้พ่อถึง 10 ปี แล้วหลังจากนั้นไม่นานแม่ผมก็ตาย!!!
เรื่องนี้อาจไม่น่ากลัวเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็เป็นอุทาหรณ์ที่ดีให้รู้ว่าคนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ดังนั้นเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ควรมั่นทำความดีและดูแลคนที่เรารักและรักเราให้มากๆ
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ผีแย่งเก็บมะตูม
ข้างวัดหนองบัวใกล้โรงเรียนมีต้นมะตูมใหญ่ 2 ต้นคู่กัน ออกผลดกส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณนั้น ผู้ที่ไม่อยากได้ผลมะตูมจะไม่กล้าเดินผ่านเพราะกลัวผลมะตูมจะหล่นใส่หัวแตก ชาวบ้านแถบนั้นก็ไม่กล้าเก็บไปขายเนื่องจากกลัวบาป ส่วนผลสุกที่หล่นลงพื้นดินจะมีเด็กนักเรียนมาแย่งกันเก็บบ่อย ตอนผมเป็นเด็กชอบไปเก็บกับเพื่อนๆ มากิน แต่ก็มีก้างขวางคอคอยแย่งอยู่เสมอ ทำให้พวกเด็กๆ ต่างรังเกียจลุงคนนั้น แกชื่อลุงแจ่มรูปร่างอ้วนใหญ่ผิวดำปากหนาตาโตน่ากลัว อาศัยอยู่วัดแห่งนี้มาหลายปีแล้ว แต่แกอยู่ได้ไม่นานก็ป่วยตาย
วันเวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน กลางคืนมีคนเห็นผีตาแจ่มนั่งก้มหน้าอยู่โคนต้นมะตูมเหมือนคนคอยเก็บผลหล่นตามที่แกเคยเก็บก่อนตาย หลายคนเห็นเอามาเล่าสู่กันฟัง ต่างกลัวกันทั่วหน้าจนไม่มีใครกล้าเดินผ่านต้นมะตูมในตอนกลางคืน แต่เด็กนักเรียนไม่รู้อะไร ตาแจ่มตายไปก็พากันดีใจที่ไม่มีใครขัดขวาง
คราวหนึ่ง มีนักเรียนคนหนึ่งอยากเก็บผลมะตูมคนเดียว ก็ร้องขึ้นว่า “ผีตาแจ่มมาโว้ย” ต่างคนต่างกลัววิ่งกลับเข้าโรงเรียนกัน คนหลอกก็เลยได้เก็บคนเดียวไม่ต้องกลัวใครแย่ง ผมก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย พอรู้วิธีจึงลองมั่งแต่กลับเจอของจริง
เที่ยงวันนั้นเราทุกคนวิ่งไปเก็บผลมะตูมกัน ผมวิ่งแซงหน้าทุกคนพอใกล้จะถึงต้นมะตูมหันหลังไปดูปรากฏว่าเพื่อนวิ่งตามมากันเต็มทำท่าจะแซงขึ้นหน้าอีกด้วย กลัวเพื่อนจะแย่งเก็บหมด จึงคิดหลอกเพื่อนบ้าง พอได้จังหวะขณะที่วิ่งจะถึงโคนต้นมะตูม ผมจึงเบรกตัวโก่งแล้วทำเป็นตกใจกลัวร้องว่า “เฮ้ย ผีตาแจ่มกำลังเก็บมะตูมอยู่แน่ะ” ได้ผลพวกมันพากันหยุดกึกแล้วพากันวิ่งหน้าตั้งกลับเข้าโรงเรียน ผมดีใจซะไม่มี หวานคอแร้งละไม่มีก้างขวางคอ ผมกำลังจะก้มหยิบผลที่อยู่ใกล้มือ แต่ใกล้ๆ นั่นมีเงาดำรางๆ เก็บผลโน้นผลนี้อย่างรวดเร็วเหมือนแย่งเก็บ ทำให้ผมชะงักมือออกมองให้เต็มตาว่าใครมาแย่งเก็บ ก็พอดีเงารางๆ นั้นหันหน้ามาจะเอ๋กับผมอย่างจัง จำได้แม่น หน้าตาดุ ปากหนา คิ้วดก ทำหน้าถมึงใส่เหมือนหวง ผีตาแจ่มนั่นเอง กลัวจนตัวสั่นผมร้องออกไปสุดเสียง “ผีตาแจ่มหลอกๆ” แล้วหันหลังวิ่งกลับโรงเรียนอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อนที่หนีมาก่อนมองเห็นรีบเข้ามาหาต่างร้องแซวกันอย่างสนุก “พวกกูวิ่งมาถึงตั้งนานแล้ว มึงคลานมาหรือไงถึงได้ถึงเดี๋ยวนี้เอง” แสดงว่ามันไม่รู้ว่าผมถูกผีจริงๆ หลอก เลยบอกมัน “กูถูกผีตาแจ่มหลอกที่ต้นมะตูม” พวกมันกลับตอบว่า “เออ กูรู้แล้ว ที่มึงบอกไงล่ะ ก็วิ่งหนีกันมาทุกคน มึงอยู่ให้เขาหลอกอีกทำไมวะ” แบบนี้ถึงบอกให้ตายมันก็ไม่รู้เพราะผมดันไปหลอกพวกมันก่อนนั่นเอง
หลังจากกลับไปบ้านผมไม่ได้มาโรงเรียนถึง 3 วัน ต่อมาไม่นานมีข่าวจากชาวบ้านว่า คนนั้นถูกผีตาแจ่มหลอก คนนี้ก็เคยถูกหลอก คนโน้นก็เคยเห็น พระท่านไม่สบายใจเลยสั่งโค่นต้นมะตูมทิ้ง แล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ จากนั้นไม่เคยมีใครเห็นผีตาแจ่มอีกเลย
วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วิญญาณหลุดออกจากร่าง
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงพ้นเป็นไปตามชะตากรรม
ดิฉันเป็นคนที่เจ็บป่วยง่ายเป็นโรคหลายอย่าง เริ่มป่วยหนักเมื่อต้นปี 2535 โรคที่เป็นบ่อยครั้งคือเป็นลมขณะที่หลับ รู้สึกตัวก็ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้แถมมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นอ่อน มือเท้าอ่อน มีเหงื่อออกเป็นเม็ดๆ ไม่มีเสียงแม้จะเรียกขอความช่วยเหลือจากคนในบ้าน ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิด ตายเป็นตาย ดิฉันต้องไปพบแพทย์อยู่เป็นประจำและถามหมอว่าเป็นอะไร หมอบอกเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ
วันที่ 18 มิ.ย. 35 หลังจากดิฉันทานอาหารเช้าและทานยาแล้วก็นอน พอเอนหลังลงนอนตะแคงขวายังไม่ทันหลับอยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกว่าตัวเบาหวิว โปร่งสบาย หายจากเหนื่อยในทันที แต่เมื่อมองไปที่เตียง เอ๊ะ…นั่นตัวเรานี่ และที่ยืนอยู่นี่ก็ตัวเรา ดิฉันตกใจมากคิดว่าตัวเองตายแล้วหรือ ดิฉันลองพยายามกลับเข้าร่างแต่ก็ทำไม่ได้ จึงคิดจะออกไปหาลูก น่าประหลาดดิฉันออกไปได้โดยไม่ต้องเปิดประตู ทะลุประตูออกไปเลย เห็นลูกกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ดิฉันจึงเอื้อมมือไปจับแขนลูก แต่ก็เห็นแขนตัวเองโปร่งใสเหมือนแก้ว จับแขนลูกๆ ก็ไม่รู้สึก ไม่หันมามองด้วยซ้ำ ดิฉันกลับมาที่เตียงนอนอีก ยืนดูร่างตัวเองอย่างเศร้าเสียใจ และเสียดายที่ต้องจากคนที่เรารักโดยไม่มีโอกาสร่ำลา มีความรู้สึกว่าหมดเวลาถึงคราวจะต้องไป พอคิดได้ว่าจะต้องไปแน่ๆ ก็ตั้งใจเป็นสมาธิ ดิฉันทำใจให้เป็นสมาธิภาวนาคำว่าพุทโธสามครั้ง ชั่วพริบตาดิฉันก็รู้สึกว่าตัวดิฉันกลับเข้าร่างแล้ว รวดเร็วจนไม่รู้สึกตัว พอเข้าร่างได้ดิฉันรีบลุกขึ้นทันที อาการป่วยนั้นลืมเสียสนิท รีบเปิดประตูออกมาหาลูกซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ดิฉันดีใจมากโผเข้ากอดลูกจนลูกตกใจถามว่าแม่เป็นอะไร ดิฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลูกฟังแล้วต่างก็กอดกันกลม
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)