วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553
ผีที่ตึก 5
ตึก 5 เป็นตึกที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เป็นอาคารเรียนที่มีอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย นอกจากจะใช้เป็นอาคารเรียนแล้ว บนชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ยังทำเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ มีเวทีสำหรับการแสดงพร้อมสรรพ
การก่อสร้างใช้เวลา 2 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ใช้ได้ ช่วงแรกๆ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ จนกระทั่งวันหนึ่ง ก้อย(นามสมมุติ)นักศึกษาสาวคณะรัฐศาสตร์ปี 3 ตกลงมาจากชั้น 6 ตายคาที่ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ แขนขาหักไม่มีชิ้นดี ใบหน้าของหล่อนแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ถ้าไม่พบเอกสารในบริเวณที่ก้อยตกลงมา
อาจารย์ได้ทราบทีหลังว่าเหตุที่ก้อยตกตึกลงมานั้น เพราะเธอตั้งใจฆ่าตัวตายเนื่องจากเธอเครียดที่ถูกรีไทร์
นักศึกษาทุกคนที่ทราบข่าวเรื่องการตายของก้อยมีความรู้สึกหวาดกลัวมาก ไม่กล้าเข้าไปที่ตึก 5 อีก ถ้าไม่มีเรียน นับวันความกลัวของนักศึกษาก็ยิ่งมากขึ้น แต่ก็ยังคงไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น 3 วันผ่านไป เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า เอรีบเดินขึ้นตึก 5 เพื่อไปเรียน ก่อนที่จะขึ้นไปได้แวะเข้าห้องน้ำที่ใต้ตึก เอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาล้างหน้าอยู่โดยที่ไม่สนใจเธอ เธอเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำธุระส่วนตัว และเมื่อเดินออกมาก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ในอากัปกิริยาเดิม เอเดินเข้าไปข้างๆ เพื่อไปล้างมือ พลางมองเธอคนนั้น คุณพระช่วย…! ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันมาช้าๆ ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาข้างขวาค่อยๆทะลักออกมาช้าๆ และแสยะยิ้มพูดออกมาด้วยเสียงที่เยือกเย็น “มี…กระ…ดาษ…ชำ…ระ….มั๊ย…” เท่านั้นแหละ เอก็เข่าอ่อนนอนพับอยู่กับพื้นห้องน้ำ จนกระทั่งถึงเวลาพักระหว่างเรียน นักศึกษาสาวหลายคนเดินเข้าห้องน้ำจึงมาพบเอนอนสลบอยู่ จึงพาไปห้องพยาบาลช่วยกันปฐมพยาบาลจนฟื้น เอเอาแต่ร้องไห้ แต่ก็พยายามเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนและอาจารย์ที่ห้องพยาบาลฟัง ทุกคนกลัวมาก
เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วมหาลัย ดังนั้นเวลาไปไหนจึงไม่ค่อยมีใครกล้าไปคนเดียว
วันหนึ่งตรงกับวันรณรงค์เรื่องเอดส์โลก มีนักศึกษาหลายกลุ่มขึ้นไปแสดงบนเวทีที่ห้องประชุมชั้น 6 ของตึก 5 มีการจัดนิทรรศการและมีการแสดงดนตรีที่ใต้ตึก 5 วันนั้นผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งเวลา 3 ทุ่มกว่า
งานทุกอย่างก็เลิก นักศึกษาหลายคนยังคงอยู่ที่ตึก 5 เพื่อเก็บของให้เข้าที่สำหรับใช้ในวันถัดไป จนกระทั่ง 5 ทุ่ม นักศึกษาเหล่านั้นก็ค่อยๆ ทยอยกันกลับ มีแต่พวกนักดนตรีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เพราะเครื่องดนตรีมีขนาดใหญ่ ยากแก่การขนย้ายจึงได้นอนเฝ้า (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชายที่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องลึกลับเท่าใดนัก) พวกเขาตั้งวงกินเหล้าร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายลมที่พัดมาเป็นระยะๆ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งตี 2 หลายคนหลับไปแล้วเพราะความเพลีย แต่บางคนก็ยังจับกลุ่มกินเหล้ากันอยู่ หนุ่มก็เป็นอีกคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มนั้น เขารู้สึกปวดท้องหนักขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ลุกออกไปเพียง 2-3 ก้าวเท่านั้นก็ต้องหยุดชะงัก บอร์ดที่ติดรูปเกี่ยวกับโรคเอดส์เหมือนกับมีเงาอะไรเลือนผ่านไป หนุ่มคิดว่าคงตาฝาดแล้วก็เดินไปที่ห้องน้ำโดยไม่สนใจอะไรอีกหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำชายซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำหญิง (ที่เกิดเรื่องในตอนต้น) อยู่ดีๆ ก็มีเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังขึ้น จากที่ได้ยินเพียงแผ่วๆ ก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับเสียงนั้นมาดังอยู่หน้าห้องน้ำที่เขากำลังปฏิบัติกิจอยู่ หนุ่มเกิดสงสัยว่าทำไมมีผู้หญิงมาร้องไห้ที่ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงคนนั้นคงจะไม่รู้ว่ามีคนอยู่แน่ เขาจึงเงียบเพื่อที่เธอคนนั้นจะไม่ตกใจที่รู้ว่ามีใครอยู่ที่นี่ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิดมันเหมือนกับว่าหล่อนรู้ว่ามีคนอยู่ เพราะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องน้ำ หนแรกหนุ่มไม่ตอบ แล้วมันก็ดังขึ้นมาอีก “ใคร” เขาตะโกนถามออกไป แต่ไม่มีเสียงตอบ จนมีเสียงเคาะประตูขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 3 หนุ่มเริ่มไม่พอใจ รีบทำธุระของตัวเองให้เสร็จแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมาดู แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น จะต้องมีคนแกล้งเขาแน่ๆ หนุ่มเดินกลับไปหาเพื่อนที่นั่งกินเหล้ากันอยู่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง พอเล่าจบเท่านั้นก็มีลมพัดมาที่พวกเขาวูบหนึ่ง พวกเขาหันไปที่บริเวณทางห้องน้ำ….หญิงสาวคนนั้นยืนร้องไห้อยู่ที่นั่นร่างกายเต็มไปด้วยเลือด “ช่วย…ด้วย…ฉัน…ไม่…อยาก…โดน…ไทร์…” เท่านั้นแหละวงเหล้ากระจาย แต่ละคนวิ่งไปคนละทิศละทาง คนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งตกใจตื่นมองไปมองมาไม่เห็นมีอะไรจึงหลับต่อ
อ้ำนอนอยู่ใกล้ห้องน้ำที่สุดและเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครเพราะเป็นคนขี้เซามาก และก็ไม่ยอมตื่นมาดูเหตุการณ์ต่างๆเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เขากำลังนอนหลับสบาย แต่รู้สึกเหมือนกับมีน้ำหยดลงมาที่หน้าจากหนึ่งหยดเป็นสองหยดเป็นสามหยด…มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเขาตื่นขึ้นมาหวังจะด่าไอ้เพื่อนคนนั้นที่มาแกล้งเขา “ไอ้..ห่..” พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด ช็อกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ผู้หญิงคนนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาข้างขวาทะลักออกมาอยู่นอกเบ้า มีกระดูกโผล่ออกมาจากดั้งจมูก อ้ำแทบจะอาเจียนกับภาพที่เห็น แถมด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เท่านั้นแหละ “ผี...ผี...หลอก” อ้ำโวยวายแล้วก็วิ่งออกไปโดยไม่คิดชีวิต พร้อมๆกับมีเสียงหัวเราะของผีสาวไล่หลังมา
ตอนนี้อาคารหลังนั้นก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น หลังจากที่ได้นิมนต์พระมาทำพิธีแล้ว เหตุการณ์ณืทุกอย่างก็ค่อยๆเลือนไป จนบางคนก็ลืมไปด้วยซ้ำ
ก้อยยังคงอยู่ที่นั่น โผล่มาหลอกหลอนบ้างเป็นบางครั้ง ใครอยากจะพบก้อยเชิญได้ที่มหาวิทยาลัย...ตึก 5...!!
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553
รายชื่อนักร้องที่จะขึ้นแสดงใน Dream Concert 2010 เผยออกมาแล้ว
ป้ายกำกับ:
2PM,
4minute,
ข่าวเกาหลี,
after school,
BEAST,
f(x),
KARA,
Lee Hyo Ri,
Rain,
SNSD,
SS501,
Super Junior,
T-ARA,
U-Kiss,
Wonder Girls
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553
ตัวอย่างหนังใหม่ Rapunzel ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ
ตัวอย่างหนังเข้าใหม่หนังก่อนโรงจาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Rapunzel
ชื่อไทย ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ
ประเภทหนัง Animation
ผู้กำกับ Nathan Greno, Byron Howard
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 03 March 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง Mandy Moore, Zachary Levi, Donna Murphy
ตัวอย่างหนังใหม่ Rapunzel ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ | เรื่องย่อ
เรื่องราวของหัวขโมยหนุ่ม Flynn Rider (ให้เสียงพากษ์โดย Zachary Levi) ซึ่งไปขโมยของและหลบมาซ่อนตัวบนหอคอยของ Rapunzel (ให้เสียงพากษ์โดย Mandy Moore) สาวผมบลอนด์ยาว.... กว่า 70 ฟุต เธอจึงจับเขาไว้เป็นตัวประกันบนหอคอยที่เธอถูกคุมขังเพื่อให้ช่วยเธอออกไปจากหอคอยแห่งนั้น จนเกิดเป็นเรื่องราวการผจญภัยที่แสนตื่นเต้น และลุ้นไปกับความรักของทั้งสองคนที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น
The long-haired Princess Rapunzel has spent her entire life in a tower, but when she falls in love with a bandit who was passing by she must venture into the outside world for the first time to find him.
ชื่ออังกฤษ Rapunzel
ชื่อไทย ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ
ประเภทหนัง Animation
ผู้กำกับ Nathan Greno, Byron Howard
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 03 March 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง Mandy Moore, Zachary Levi, Donna Murphy
ตัวอย่างหนังใหม่ Rapunzel ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ | เรื่องย่อ
เรื่องราวของหัวขโมยหนุ่ม Flynn Rider (ให้เสียงพากษ์โดย Zachary Levi) ซึ่งไปขโมยของและหลบมาซ่อนตัวบนหอคอยของ Rapunzel (ให้เสียงพากษ์โดย Mandy Moore) สาวผมบลอนด์ยาว.... กว่า 70 ฟุต เธอจึงจับเขาไว้เป็นตัวประกันบนหอคอยที่เธอถูกคุมขังเพื่อให้ช่วยเธอออกไปจากหอคอยแห่งนั้น จนเกิดเป็นเรื่องราวการผจญภัยที่แสนตื่นเต้น และลุ้นไปกับความรักของทั้งสองคนที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น
The long-haired Princess Rapunzel has spent her entire life in a tower, but when she falls in love with a bandit who was passing by she must venture into the outside world for the first time to find him.
วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553
เขามาเดินเป็นเพื่อน
ดิฉันเคยมีประสบการณ์ทางวิญญาณซึ่งคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่า…วันนั้นดิฉันขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำรายงานที่บ้านเพื่อนเพื่อส่งอาจารย์ ทำรายงานไปคุยกันไปจนลืมเวลา พอดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เลยต้องรีบกลับบ้าน ขณะขี่รถมาได้ค่อนทางก็นึกได้ว่าลืมของไว้ที่บ้านเพื่อน จึงต้องย้อนกลับไปเอา ทำให้เสียเวลาไปอีก กว่าจะขับกลับออกมาจากบ้านเพื่อนก็ทุ่มเศษแล้ว ขี่มาได้เกือบครึ่งทาง รถเกิดดับเอาดื้อๆ พอดูเกจ์วัดน้ำมัน ตายละน้ำมันหมด แต่โชคดีที่ข้างหน้ามีปั๊มน้ำมัน แต่ต้องจูงรถไปอีกเกือบ 2 กม.ทีเดียว
ตอนนั้นมืดสนิทแล้ว ลมเย็นๆพัดโชยมา บรรยากาศวังเวงพิลึก รถราก็ไม่มีวิ่งผ่านมาสักคัน พอถึงโค้งดิฉันใจหายวาบ นึกขึ้นได้ว่าโค้งนี้แหละที่มีข่าวเล่าลือว่ามีอะไรชอบกลอยู่มาก แล้วก็ว่ากันว่าเฮี้ยนน่าดู ยิ่งนึกยิ่งกลัว ทำไงดี ดิฉันนึกไปต่างๆนานา บ้านผู้คนก็ไม่มีเสียด้วย พลันทันใดนั้น ดิฉันมองเห็นชายคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าแต่งชุดนักศึกษา ท่าทางเดินดูอิดโรย ดิฉันเห็นเขาเดินอยู่ข้างหน้า จึงตัดสินใจจูงรถเข้าไปหาจะได้มีเพื่อนให้อุ่นใจ ตอนนั้นใจมาเป็นกอง แต่ให้ตายสิ! เมื่อจูงรถเข้าไปใกล้เขา ลมวูบหนึ่งผ่านมา กลิ่นคาวเลือดลอยมาเข้าจมูก ตอนนั้นดิฉันเพียงแต่สงสัยว่า กลิ่นนั้นมันมาจากไหน ยิ่งเข้าไปใกล้ กลิ่นคาว-สาบสางยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกกลัว ดิฉันตัดสินใจร้องถามไปว่า “จะไปไหนคะ”
ตอนนั้นมืดสนิทแล้ว ลมเย็นๆพัดโชยมา บรรยากาศวังเวงพิลึก รถราก็ไม่มีวิ่งผ่านมาสักคัน พอถึงโค้งดิฉันใจหายวาบ นึกขึ้นได้ว่าโค้งนี้แหละที่มีข่าวเล่าลือว่ามีอะไรชอบกลอยู่มาก แล้วก็ว่ากันว่าเฮี้ยนน่าดู ยิ่งนึกยิ่งกลัว ทำไงดี ดิฉันนึกไปต่างๆนานา บ้านผู้คนก็ไม่มีเสียด้วย พลันทันใดนั้น ดิฉันมองเห็นชายคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าแต่งชุดนักศึกษา ท่าทางเดินดูอิดโรย ดิฉันเห็นเขาเดินอยู่ข้างหน้า จึงตัดสินใจจูงรถเข้าไปหาจะได้มีเพื่อนให้อุ่นใจ ตอนนั้นใจมาเป็นกอง แต่ให้ตายสิ! เมื่อจูงรถเข้าไปใกล้เขา ลมวูบหนึ่งผ่านมา กลิ่นคาวเลือดลอยมาเข้าจมูก ตอนนั้นดิฉันเพียงแต่สงสัยว่า กลิ่นนั้นมันมาจากไหน ยิ่งเข้าไปใกล้ กลิ่นคาว-สาบสางยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกกลัว ดิฉันตัดสินใจร้องถามไปว่า “จะไปไหนคะ”
เสียงตอบของเขาเยือกเย็นจนดิฉันขนลุก “อยู่…ที่นี่แหละ…ไปไหน…ไม่ได้…”
ดิฉันแข็งใจถามต่อว่า “ทำไมคะ”
แต่เขาไม่ตอบ ยังคงเดินเนิบนาบนำดิฉันไปช้าๆ เราต่างคนต่างเดินกันไป แต่ดิฉันสังเกตเวลาเขาเดิน เอ๊ะ…เราตาฝาดไปหรือเปล่า เท้าเขาไม่แตะพื้น ดิฉันแทบช็อค แต่ก็พยายามตั้งสติใจแข็งสู้ไว้ ใจระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าตลอดเวลา เมื่อใกล้จะถึงปั๊มน้ำมัน ดิฉันดีใจมาก มองจ้องปั๊มน้ำมันอย่างเดียว และพูดว่า “ถึงแล้ว ขอบคุณนะคะที่เดินเป็นเพื่อน”
พอดีมีรถผ่านมา ดิฉันเหลียวมามองรถ หันไปอีกที เขาหายไปแล้ว! เขาหายไปไหน ทั้งๆที่รถที่ผ่านไม่ได้จอด และที่ปั๊มน้ำมันก็ไม่มีต้นไม้ให้กำบังได้เลย แล้วเขาไปได้ยังไงเร็วจัง คิดได้อย่างเดียว “เขาไม่ใช่คน”
พอเติมน้ำมันเสร็จ ดิฉันรีบบิดรถกลับบ้านทันทีโดยไม่เหลียวหลัง และจากวันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันไม่เคยขี่รถผ่านโค้งนั้นคนเดียวเวลากลางคืนอีกเลย
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553
โค้งร้อยศพ
โค้งที่ว่านี้ ห่างจากตัวอำเภอเขมราฐที่ผมอยู่ไม่เท่าไร มันอยู่ระหว่างเส้นทางที่ทอดยาวเข้าตัวจังหวัดอุบลฯ เพราะฉะนั้นรถราที่วิ่งผ่านโค้งนี้จึงมีมากในแต่ละวัน ความเฮี้ยนของโค้งนี้ดูได้จากการเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก บ่อยเสียจนใครต่อใครต่างบอกว่า…มันจะเอาให้ได้ถึงร้อยศพ และผมเกือบจะเป็นอีกศพหนึ่งที่โค้งนั้น…
ลักษณะของโค้งเป็นโค้งหักศอกมีราวเหล็กกั้นไปตามขอบถนนที่เป็นโค้ง ปลายสุดโค้งจะมีต้นจามจุรีใหญ่อายุหลายร้อยปีขึ้นสูงเด่นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครื้ม และต้นจามจุรีต้นนี้ล่ะที่รถหลายต่อหลายคันที่แหกโค้งมามักจะพุ่งเข้าชนเป็นประจำ สังเกตได้ตามลำต้น…เปลือกไม้จะถลอกเป็นรอยและมีรอยไหม้สีดำจับเป็นคราบอยู่
เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนมีขบวนรถทัวร์จากจังหวัดระยองแล่นผ่านมาที่โค้งนี้ คนขับทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ รถถึงได้เลยโค้งพุ่งเข้าหาจามจุรีต้นที่ว่า ผลน่ะไม่ต้องพูดถึง หน้ารถยุบเข้ามาทั้งแถบ คนขับพร้อมเด็กรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าถูกอัดก๊อปปี้ตายคาที่ ส่วนคนโดยสารก็บาดเจ็บหนักบ้างไม่หนักบ้างตามอาการ… พอดีผมกับภรรยาขับรถกลับจากทำงานผ่านมาประสบเหตุเข้า ภรรยาผมเปรยเบาๆ อย่างรันทดกับอุบัติเหตุตอนนั้นว่า “เอาอีกแล้วโค้งนี้…ไม่รู้เมื่อไรจึงจะพอ”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะครับ แทบจะทุกอาทิตย์ที่ต้องมีคนตายเพราะโค้งนี้ โค้งนี้มันเป็นโค้งอาถรรพณ์
เมื่อหลายวันก่อน ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่อยู่ติดกับโค้งร้อยศพได้พาลูกบ้านและพระสงฆ์หลายรูป มาทำพิธีอุทิศส่วนกุศลและทำพิธีปัดรังควานที่โค้งแห่งนี้ นัยเพื่อเป็นการล้างอาถรรพณ์ เมื่อเสร็จพิธีดูเหมือนจะทำให้ชาวบ้านคลายความกังวลลงได้บ้าง แต่ไม่ทันไร…หลังจากวันทำพิธีได้ไม่กี่วัน วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งควบมอเตอร์ไซต์มาด้วยกันสามคัน แต่ละคันก็ซ้อนสองซ้อนสาม ตามคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า มอเตอร์ไซต์ก็ขับขี่มาตามธรรมดา เมื่อมาถึงโค้งทั้งสามคันก็ผ่อนความเร็ว ช่วงที่เข้าโค้งก็เป็นปรกติทุกอย่าง แต่ฉับพลัน…จู่ๆ
มอเตอร์ไซต์ที่วิ่งนำหน้าเกิดเสียหลักอีท่าไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แฉลบนิดเดียวรถกลิ้งตีลังกาหลายตลบ รถคันที่วิ่งตามหลังเบรกไม่ทันพุ่งเข้าชนซ้ำอีก ก่อนจะปลิวไปอัดกับราวสะพานที่พาดอยู่แนวโค้ง ผลหรือครับ…ตายสี่ สาหัสอีกสามผมเคยคุยกับลุงคนหนึ่งที่บ้านของแกอยู่ติดกับโค้งนี้ ตอนหนึ่งผมถามแกว่า ที่โค้งนี้มีคนตายบ่อยเคยเห็นผีหรือเปล่า ลุงแกบอกด้วยสีหน้าหวาดๆ ว่า “อย่าให้พูดเลยคุณ…ลุงน่ะแทบจะช็อคตายอยู่บ่อยๆ” แกเล่าให้ผมฟังว่า คืนไหนที่เป็นคืนวันพระ แกกับภรรยาแทบจะไม่ได้หลับได้นอน ต้องนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวอยู่แทบจะทั้งคืน เพราะพอตกกลางคืนในคืนวันพระ ไม่รู้เสียงอะไรต่อมิอะไรมันดังจากโค้งมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน บางทีก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวน ฟังแล้วเสียดเข้าไปถึงไขสันหลัง บางทีก็เป็นเสียงรถวิ่งมาแล้วชนเข้ากับอะไรสักอย่าง เสียงดังโครมลั่น พอโผล่หน้าออกไปดูทางหน้าต่าง…ว่างเปล่า…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมเองต้องผ่านโค้งนี้ทุกวันด้วยว่าต้องขับรถไปทำงานผ่านทางนี้ พอผ่านโค้งนี้ทีไรก็อดนึกเสียวแว้บขึ้นมาไม่ได้ คนขับขี่รถทั่วไปเมื่อต้องผ่านโค้งนี้มักจะบีบแตรเสียงดังลั่นไปตลอดโค้ง นัยว่าเป็นการขอผ่านทาง ผมเองก็เช่นกัน แต่วันนั้นผมกับภรรยากลับบ้านดึก ขับรถมาเรื่อยๆ เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติครับ กระทั่งมาถึงโค้งร้อยศพที่ว่า ช่วงที่เข้าโค้งผมใช้ความเร็วต่ำมาก และไม่ลืมที่จะบีบแตรตามปกติ เมื่อใกล้พ้นโค้ง ทันใดนั้น…ผมแทบช็อค เมื่อมองเห็นว่ามีหมาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างทางมายืนจังก้าขวางถนน ห่างจากหน้ารถไม่เท่าไร ด้วยความตกใจผมหักพวงมาลัยอย่างแรง รถพุ่งหลบหมาดำที่ยืนอยู่กลางถนน ดิ่งเข้าหาราวสะพานข้างทางและครูดไปกับราวสะพานไกลพอสมควร ภรรยาผมร้องกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ ดีที่ว่ารถวิ่งมาช้า ไม่ทันไรก็สามารถหยุดรถได้
ภรรยาผมถามเสียงสั่น “พี่เป็นอะไรไปน่ะ…ทำไมจู่ๆก็หักพวงมาลัยลงข้างทางอย่างนั้น” ผมบอกไปว่า หักรถหลบหมาดำตัวใหญ่ที่มันวิ่งมาขวางทาง ภรรยาผมเสียงดังลั่นขึ้นอีกว่า หมาดำที่ไหนเธอไม่เห็นมีเลย…มีแต่ถนนว่างเปล่าเท่านั้น ผมถามภรรยาท่าทางงงๆว่า “เธอไม่เห็นหมาดำตัวนั้นหรือ” ภรรยาผมส่ายหน้าบอกว่าตลอดทางไม่เห็นหมาดำที่ว่าเลย ผมนั่งพึมพำอย่างไม่เชื่อตัวเอง ผมเห็นชัดๆนี่ว่าตอนที่จะพ้นโค้งมีหมาดำตัวใหญ่วิ่งมายืนขวางทาง แต่ภรรยาผมกลลับมองไม่เห็น “หรือว่า…” ผมเอ่ยเบาๆกับภรรยา ไม่ต้องพูดอะไรต่อไปต่างคนก็ต่างเข้าใจ ผมตบเกียร์พารถออกจากโค้งนั้นในทันที ไม่ได้สนใจที่จะลงไปดูความเสียหายของรถด้วยซ้ำ หากอยู่นานเดี๋ยวพาลจะเจออะไรที่โค้งนั้นเข้าให้อีก
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)