วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สารพัดคำสาป
คำสาปที่น่าพิศวงและน่าสนใจ มีอยู่มากมายทั้งแบบที่เป็นของโบราณ ทั้งมาจากที่เป็นคำสาปของคนเรานี่ละ ที่ผูกพันติดวัตถุและแบบที่เป็นคำสาปจาก "อะไร" บางอย่างผ่านเข้ามาในสื่อ ไม่ว่าจะเป็น เพลง หรือ ภาพยนตร์
เชื่อไหมครับว่าการสาปแช่งนี่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ในทุกชาติทุกภาษา เนื่องจาก "ความโกรธแค้น" เพียงอย่างเดียว คนไทยเราถึงบอกกันมาแต่รุ่นปู่ย่าว่า จะด่าก็ด่าแต่ไม่ให้สาปแช่งใคร เพราะมันจะผูกพันติดต่อกันยาวนานลองมาดูเรื่องของการสาปที่มีกันแต่ครั้งกรีกยังเป็นอาณาจักรรุ่งเรืองกันหน่อย
ในสมัยนั้นเชื่อกันว่า ถ้าใครโดนสาปละก็ ผลของมันจะติดค้างตามตระกูลกันเลย ไม่เว้นแม้แต่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และคำสาปโบราณที่ขึ้นชื่อลือชาไม่แพ้ของพวกอียิปต์เห็นจะเป็นคำสาปในตระกูลอาทริอัสเรื่องของเรื่องก็เกิดจากการที่อาทริอัสฆ่าลูกชายของเทพเฮอร์เมส(อีกชื่อหนึ่งว่าเมอร์คิวรี่) ตายระหว่างชิงรักหักสวาทกัน เฮอร์เมสผู้เป็นบิดาสุดแค้นมนุษย์คนนี้นัก จึงสาปแช่งให้กรรมสนองฆาตกรที่ฆ่าบุตรของท้าวเธอ "ตลอดทั้งโครต" กาลต่อมา ตอนที่คำสาปเริ่มแผลงฤทธิ์ อาทริอัสได้ฆ่าลูกชายของตัวเองโดยไม่เจตนา ส่วนหลานชายของเขา อะกาเมนนอนผู้เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งในมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ ถูกเมียและชู้รักของเมียฆ่าตาย แต่แล้วเธอก็ถูกสังหารให้ตายตกไปตามกันด้วยน้ำมือของลูกชายและลูกสาวของเธอเองนี่ไงครับ เป็นอาถรรพณ์คำสาปชนิดดึกดำบรรพ์จริงๆ ต่อจากนั้นผู้คนก็เชื่อเรื่องของคำสาป แบบล้างโครตเช่นนี้มากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านมาก็คาดว่าน่าทำกันในหลายที่ทีเดียว
แต่ที่ดูจะมีหลักฐานเอามาคุยกันได้ เห็นจะไม่พ้นอังกฤษ แผ่นดินที่ผีชอบสิง เชื่อกันว่าครอบครัวขุนนางหลายครอบครัวของที่นี่ ต้องมนต์อาถรรพณ์ประจำตระกูลชนิดที่เรียกว่าทั้งโครตเช่นกัน ดังเช่นในศตวรรษที่ 18 เอิร์ลแห่งเบรโดบินชาวสก๊อต ได้ย้ายหลุมศพแห่งหนึ่งออกไปนอกเมืองเพื่อสร้างปราสาทเทนเมาท์ หรือพูดง่ายๆ คือปลูกบ้านบนที่ป่าช้านั่นเอง แต่การกระทำอย่างนี้ให้บังเอิญไปขัดกับธรรมเนียมโบราณประจำตระกูล เพราะสุภาพสตรีเจ้าของหลุมศพที่ถูกรบกวนได้สาปแช่งเอาไว้แต่เดิมว่า เอิร์ลสองคนของตระกูลนี้จะไม่ประสพความสำเร็จ และไม่ช้าคำทำนายก็กลายเป็นความจริง ข้อมูลไม่ได้บอกว่าเป็นอย่างไร แต่ก็คาดว่าน่าสยองพอสมควรล่ะคำสาปที่มีการเล่นทั้งตระกูลแบบนี้บางทีไม่ได้มีต้นเหตุมาจากคนก็มี
แบบของตระกูลอาแนบเปลแห่งดัสเบิร์กในประเทศฮอลแลนด์นั่นก็ที่หนึ่ง ผู้คนในตระกูลนี้ต่างก็มีฝ่ามือที่เปลี่ยนสีเป็นสีดำหลังคลอดได้หกเดือนกันถ้วนหน้า เป็นอย่างนี้มาไม่รู้กี่ชั่วคน หมอลงความเห็นว่าเกิดจากสาเหตุด้านพันธุกรรม แต่พวกชาวบ้านปักใจเชื่อว่า เป็นเพราะเมื่อ 400 ปีก่อน อาแนบเปลคนหนึ่ง ได้ช่วยโบสถ์ให้รอดจากการถูกไฟไหม้โดยการชักเชือกสั่นระฆังขณะที่มือของเขาเองก็กำลังถูกไฟไหม้ชาวบ้านเชื่อว่าไฝนี้เกิดจากปีศาจ เมื่ออาแนบเปลไปขัดขวางเข้า เจ้าปีศาจโกรธจึงสาปเขาและลูกหลานให้ฝ่ามือดำตลอดชีวิตชั่วโครต
อีกตระกูลหนึ่งซึ่งไม่มีใครอธิบายได้ว่าเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ได้แก่ ตระกูลกินเนส บรูเวรี่เพราะว่าใน ค.ศ.1978 สมาชิกตระกูลนี้เสียชีวิตไปสี่คนรวด ในเวลาไม่กี่เดือน กล่าวคือในเดือนมิถุนายน เลดี้ เฮนเรียตต้า กินเนสตกน้ำตายในสโปเลโต ประเทศอิตาลี อีกไม่กี่วันต่อมาทายาทสาวตระกูลนี้ก็จมน้ำตายในอ่างอาบน้ำ ขณะที่พยายามฉีดเฮโรอีนเข้าตัว แล้วในเดือนมิถุนายนเช่นเดียวกัน มีคนพบศพนายพัน เดนนีส์ กินเนสตายในแฮมไชร์โดยมีขวดยาเปล่าตกอยู่ข้างๆ วันคืนผ่านไปแค่เดือนสิงหาคม จอห์น กินเนส ผู้ช่วยคนหนึ่งของประธานาธิบดี เจมส์ คาลาแฮนแห่งอังกฤษได้รับอุบัติเหตุรถชนที่นอร์ฟอล์ค แต่รอดชีวิตมาได้ ผู้รับเคราะห์ตายแทนคือบุตรชายอายุสี่ขวบ ส่วนบุตรชายอีกคนหนึ่งที่นั่งมาด้วยกันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
โดยปกติคำสาปมักจะเกิดจากแรงอาฆาตแค้น คำกล่าวสาปแช่งของคนจะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพลังจิต คนไหนมีพลังจิตกล้าแข็งแรงอาฆาตก็ก่อให้เกิดพลังงานตามล้างได้มากกว่า คนที่พลังจิตด้อย แช่งไปเท่าไรไม่ค่อยได้ผล คนโบราณที่ล่วงรู้ความลับตรงนี้ถึงขนาดสร้างขึ้นมาเป็นศาสตร์เชียวละ แต่ว่าเมื่อตกมาถึงปัจจุบัน ศาสตร์ลึกลับพวกนี้เชื่อว่าสูญไปแล้ว กระนั้นก็ยังหลงเหลืออยู่ในที่บางแห่งแบบเรื่องนี้ไงครับ มันเป็นเรื่องของการสาปของชาวเกาะเชียวละ
เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ ภรรยาของนายโรเบิร์ด ไฮเนิลจูเนียร์ นานยพันนอกราชการ แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงปี 1958 - 1963 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะฑูตทหารเรือสหรัฐประจำเฮติ เกิดสนใจเรื่องความลึกลับต่างๆ ของที่นั่นเข้า จึงไปศึกษาเรื่องศาสนาวูดูมาบ้าง แต่ต่อมาพอทั้งสามีภรรยาเดินทางกลับสหรัฐ ก็เขียนหนังสือชื่อ "เขียนด้วยเลือด" ขึ้น มันเป็นประวัติศาสตร์ของเฮติ ซึ่งมีเนื้อความวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครองประเทศในขณะนั้น คือ ฟรองซัวร์ ดูวาลิเยร์ ที่ใครๆ เรียกว่า "พ่อหมอ" หรือ "ปาปาด๊อก"ปรากฏว่าต่อจากนั้น เมื่อหนังสือเผยแพร่ออกไป ก็มีช่วงลงในหนังสือพิมพ์ที่จัดทำโดยชาวเฮติที่ถูกเนรเทศว่า หนังสือของเขา ถูกซีโมนภรรยาหม้ายของปาปาด๊อกสาปแช่ง (คาดว่านางคงกระทำพิธีนี้หลังมรณกรรมของปาปาด๊อกในปี 1971) แต่แรกสองสามีภรรยาไฮเนิลดูจะภาคภูมิใจเหลือเกินว่าหนังสือที่ตัวเขียนมีค่าถึงขนาดต้องคำสาป หากแต่ความยินดีก็กลับกลายเป็นความหวาดกลัวในไม่ช้า ประเดิมครั้งแรกต้นฉบับสูญหายระหว่างทางไปสำนักพิมพ์ ทำให้นายและนางไฮเนิลต้องเตรียมสำเนาต้นฉบับใหม่อีกฉบับหนึ่ง แล้วส่งไปเย็บเล่ม แต่เครื่องเย็บกลับพังใช้ไม่ได้กระทันหัน (สี่เดือนหลังจากนั้น ต้นฉบับที่หายกลับโผล่มาอยู่ในห้องร้างซึ่งไม่เคยถูกใช้เลยของสำนักพิมพ์นั่นเอง) ด้านนักข่าววอชิงตัน โพสต์ ผู้เตรียมสัมภาษณ์นักเขียนสองสามีภรรยา อยู่ๆก็เกิดล้มเจ็บลงเพราะไส้ติ่งอักเสบรุนแรง ทำให้การสัมภาษณ์ต้องล้มเลิกไป สำหรับนายพันผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็โดน"อะไร" เล่นงานโดยตกลงมาจากเวที ขณะกำลังกล่าวสุนทรพจน์ มิหนำซ้ำขณะที่กำลังเดินกลับมาจะถึงบ้านอยู่แล้วเชียวจู่ๆ ก็มีสุนัขวิ่งตรงเข้ามากัดพอเบาะๆ แค่คางเหลือง เรียกว่าซวยสองต่อคำสาปยังแผลงฤทธิ์ต่อไปครั้งล่าสุด วันที่ 5 พฤษภาคม 1979 ครอบครัวไฮเนิลไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่เกาะเซนต์ บาร์โธเลมิวใกล้กับเฮติ คราวนี้เล่นงานหนักถึงขนาดนายพันหัวใจวายตายไปต่อตาเชียว ต้องนับว่าคำสาปของชาวเฮติเฮี้ยนเอาเรื่อง
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
10 วัตถุลึกลับโบราณ ที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์
OPARTS โอพาร์ทส หรือย่อมาจาก Out Of Place Artifacts นี้แปลตรงตัวแล้วหมายถึง "วัตถุเหนือยุค" หมายถึงวัตถุซึ่งไม่น่าจะมีปรากฏอยู่ในยุคนั้นๆซึ่งถูกสร้างขึ้น ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เครื่องบินเจ็ตทองคำ(โคลัมเบีย) กะโหลกคริสตัล(แอสเทคและที่อื่นๆ) รูปวาดนักบิน(มายา) รูปเฮลิคอปเตอร์+รถถัง+เครื่องบินรบ(อียิปต์) ฯลฯ กล่าวกันว่าการค้นพบสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานว่า ในสมัยโบราณ มนุษย์มีวัฒนธรรมซึ่งล้ำหน้ากว่าที่เราคาดคิดไว้มากนัก ถือเป็นการค้นพบที่พลิกประวัติศาสตร์โลกทีเดียว
ในช่วงหลายร้อยปีมานี้ มีการพบวัตถุลึกลับต่างๆ มากมายทั่วโลก(ไม่ยักมีไทย) ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างไม่สอดคล้องกับทฤษฏีความเป็นไปของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารยธรรม, ความฉลาดของสมอง, ความคิดของมนุษย์ ฯลฯ และนี้คือ 10 วัตถุโบราณที่กำลังท้าทางคำตอบ ว่ามันคืออะไรกันแน่ และมันมีไว้เพื่ออะไร
อันดับ 10 Klerksdorp sphere
หรือ The Grooved Spheres เป็นโลหะลึกลับที่มีการค้นพบกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
โดยคนงานเหมืองใน Ottosdal เมืองเล็กๆ ในประเทศแอฟริกาใต้ได้ขุดค้นพบวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาในชั้นหินแร่ไพโรฟิลไลท์ โดยไม่ทราบที่มาและแหล่งกำเนิดได้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่
มันเป็นวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับนี้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางรอบวงได้ประมาณ 1 นิ้วกว่าๆ (0.5-10 ซม.) และมี 2 แบบ คือโลหะสีน้ำเงินอ่อน มีสีขาวเป็นจุดๆ อีกแบบเป็นทรงกลวง ข้างในบรรจุข้าวสาลี
และจากการตรวจสอบหาอายุวัตถุลึกลับนี้จากชั้นของหินพบว่ามันมีอายุนานถึง 2,800 ล้านปี!!
(ในวีพีมีเดียอังกฤษบอกว่า 3,000 ล้านปี) ซึ่งมันเป็นยุคพรีแคมเบรียน(Precambrian)หรือบรมยุคกำเนิดโลก ดูจากยุคแล้วก็บอกได้แน่นอนว่าไม่มีวิทยาการที่สามารถใช้ไฟหลอมโลหะเป็นทรงกลมได้แน่ๆ แถมเป็นยุคที่ไม่มีมนุษย์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบว่าใครเป็นทำโลหะทรงกลมเหล่านั้น?? และทำเพื่ออะไร?? ทำให้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากธรรมชาติเท่านั้น.....
อันดับ 9 The Dropa Stones
ในปี 1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งนำโดยดร.ชีปูเตย (Dr. Chi Pu)
ได้เข้าไปสำรวจเทือกเขาเป่ยอัน-คารา-ยูลา Baian-Kara-Ulaในเมืองจีน ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในถ้ำแห่งหนึ่งเข้า สิ่งมหัศจรรย์นี้เป็นวัตถุอารยธรรมโบราณฝังรูปร่างเหมือนแผ่นศิลาทรงกลมหลายร้อยแผ่นฝังอยู่ฝุ่นตามพื้นถ้ำ
ศิลาเหล่านี้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 9 นิ้ว แต่ละแผ่นมี รอยสลักเป็นวงกลมที่ศูนย์กลาง
แล้วแกะหมุนวนแบบลายก้นหอย ดูคล้ายแผ่นเสียง ทว่ามีอายุราว 10,000-12,000 ปี
เมื่อเพ่งพินิจให้ดีก็จะพบว่า ที่จริงแล้ว เส้นสายเหล่านั้นเป็น อักษรภาพตัวเล็กจิ๋วที่บอกเล่าเรื่องราวที่เหลือเชื่อว่า ครั้งหนึ่งเคยมียานอวกาศบินมาตก ที่เทือกเขาแห่งนั้น ยานอวกาศที่ว่ามีนักบินเป็นเผ่าชนที่เรียกตัวเองว่า โดรปา ซึ่งมีการพบซากของมนุษย์ที่อาจเป็นลูกหลานของชนกลุ่มนี้ในถ้ำด้วย
อันดับ 8 The Ica Stones
ในช่วงทศวรรษ 1930 บิดาของดร.ฮาเวียร์ คาบรีบรา นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
ผู้ศึกษาเรื่องราวของชนพื้นเมืองในเปรู ได้พบหินหลายร้อยก้อนตามหลุมศพของชาวอินคาโบราณ ดร.คาบรีบราได้สานต่องานของพ่อ ด้วยการสะสมก้อนหิน ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟเหล่านี้ได้มากถึงกว่า 1,100 ก้อน
ซึ่งประมาณว่ามีอายุราว 500-1,500 ปี และต่อมารู้จักกันในชื่อก้อนหินอิคา หินเหล่านี้มีรอยสลัก บางชิ้นเป็นเรื่องราวทางเการแพทย์ เช่นผ่าตัด ตัดหัวใจ และปลูกถ่ายสมอง
แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ภาพสลักรูปไดโนเสาร์ ทั้งบรอนโตซอ รัส ไทรเซอราท็อป สเตโกซอรัส และเทอโรซอร์ รูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศ ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้
แม้นักวิชาการบอกว่า หินอิคาเป็นของที่กุขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่เคยมีการ วิจัยเพื่อพิสูจน์ความจริงหรือหักล้างในเรื่องนี้ หินอิคาจึงเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงต่อไป
อันดับ 7 Giant Stone Balls of Costa Rica
เมื่อทศวรรษ 1930 ขณะกำลังหักร้างถางพงในป่าทึบของ ประเทศคอสตาริกาเพื่อทำสวนกล้วย
พวกคนงานได้เจอลูกหินขนาดต่างๆ หลายสิบลูก หลายลูกมีรูปร่างกลมดิก ขนาดก็แตกต่างกันไป
มีตั้งแต่เท่า ลูกเทนนิสไปจนถึงลูกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ฟุต หนักถึง 16 ตัน
เห็นได้ชัดว่าลูกหินพวกนี้ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ปัญหาก็คือไม่ได้พบร่อยรอยมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย แม้แต่เศษเครื่องปั้นดินเผาก็พบสักชิ้น มันไม่น่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ เพราะว่าลูกบอลยักษ์กลมดิกมาก
จากข้อสันนิษฐานพบว่าลูกบอลยักษ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์จะเกิดเสียอีก คือเกิดในยุคแทร์เซียรีพีเรีนดซึ่งนานกว่า 40 ล้านปีมาแล้ว คนพวกไหนมาสร้างเอาไว้ ทำขึ้นมาด้วยจุดประ สงค์อันใด และที่สำคัญมีเครื่องไม้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีอะไรจึงทำลูกหิน ได้กลมเกลี้ยงถึงปานนี้?
อันดับ 6 Oera Linda Book
"Oera Linda Book เป็นหนังสือของพวก รีสแลนด์(ฟรีสแลนด์เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเนเธอร์แลนด์) เป็นหนังสือที่เขียนด้วยมือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เทพนิยาย และศาสนา ที่ปรากฏออกมาเมื่อศตวรรษที่ 19
หนังสือนี้ประกอบด้วยเรื่องความหายนะ, ชาตินิยมที่ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว,เทพนิยาย พบว่ามีการภาษาที่ใช้เขียนเล่มเป็นภาษาของชนชาติยุโรปและของชนชาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย
โดยเนื้อหาที่เขียนถูกรวบรวมและจัดเรียงโดย(เจ้า)แม่ผู้นำขนบธรรมเนียมท้องถิ่น ที่อุทิศตัวเป็นนักบวชหญิงของเฟรย่า ( Freya ) เทพีแห่งความรัก บุตรีแห่งมหาเทพ Wralda กับ Irtha มารดาแห่งปฐพี
ด้วยเหตุนี้ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษากรีกโบราณและภาษาฟีนิเชี่ยน ฉบับปัจจุบันถูกพบว่าเขียนในปี 1260 ส่วนฉบับที่เก่าแก่กว่าถูกพบว่าเขียนในช่วงระหว่าง2194 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ.803 ซึ่งสมัยนั้นไม่มีทางที่เขียนภาษาแบบนี้ได้แน่ๆ แต่กระนั้นก็มีการโต้แย้งว่ามันอาจเขียนขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วทำให้ดูเหมือนโบราณเท่านั้น
อันดับ 5 Impossible Fossils
อย่างที่เราเคยเรียนกันสมัยมัธยม ซากฟอสซิลที่ปรากฏอยู่ตาม ก้อนหินนั้น ต้องใช้เวลาก่อตัวนานนับล้านปี แต่ก็มีฟอสซิลจำนวนหนึ่งซึ่งดูจะ ขัดกับหลักธรณีวิทยาหรือประวัติศาสตร์ ชนิดผิดฝาผิดตัวอย่างสุดๆ เช่น ฟอสซิลรูปมือประทับของมนุษย์ที่พบในชั้นหินปูน ซึ่งประมาณว่ามีอายุ 110 ล้านปี เป็นต้น
แล้วยังมีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นฟอสซิลนิ้วมือของมนุษย์ ที่พบในเขต อาร์กติกของแคนาดาอีก ชิ้นนี้มีอายุราว 100-110 ล้านปี ไม่แต่เท่านั้น ยังมีการพบรอยเท้ามนุษย์ ซึ่งมองเหมือนสวม รองเท้าแตะ ที่เมืองเดลตา มลรัฐยูทาห์ ในชั้นหินดินดาน อายุราว 300-600 ล้านปีด้วย
อันดับ 4 Out-of-Place Metal Objects
เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ตามตำราบอกว่ามนุษย์ยังไม่เกิด และแน่นอนเรื่องช่างโลหะย่อมไม่มีแน่
แต่แล้วในฝรั่งเศสดันมีการค้นพบท่อโลหะ ทรงกึ่งรูปไข่ ที่ขุดพบในหินชอล์ก ยุคครีเตเชียส(Cretaceous) ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของยุคเมโสโซอิค หรือ "ยุคไดโนเสาร์" ก่อนทวีปต่างๆ ก็ได้แยกออกจากกันเช่นใน
ปัจจุบันได้อย่างไรกัน?
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างกรณีทำนองนี้มีมากมาย เช่น...เมื่อปี 1885 มีการพบท่อ โลหะในก้อนถ่านหิน ซึ่งเห็นได้ว่าทำขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ...เมื่อปี 1912 คนงานของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งก็เจอกาน้ำโลหะใน ถ่านหินก้อนใหญ่ จากยุคหิน(Mesozoic)
อันดับ 3 Ark Of The Covenant
หรือหีบพันธะสัญญานั้นเองครับ ที่จริงยังไม่มีใครเจอมันหรอก แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับมันนั้นช่างน่าพิศวงเหลือเกิน
ลักษณะของหีบพันธะสัญญาคร่าวๆ ตามตำนาน เล่าว่า เป็นหีบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำด้วยไม้ชิดติม (Shittim) ยาว 2.5 คิวบิท กว้าง และสูงเท่ากัน คือ 1.5 คิวบิท (เทียบหน่วยคิวบิทของอียิปต์ ซึ่ง 1 คิวบิทเท่ากับ 525 ซ.ม. หีบก็จะยาว 1.3 เมตร กว้างและสูง 76 ซ.ม. )บุด้านนอกและด้านในด้วยแผ่นทองคำ โดยรอบหีบด้านบนยกเป็นขอบสูงขึ้นเล็กน้อย ที่มุมสี่ด้านมีห่วงทองคำสำหรับสอดไม้คาน เพื่อแบกหามเวลาเดินทาง และไม้คานทำจากไม้ชนิดเดียวกันหุ้มด้วยแผ่นทอง(มีคำสั่งห้ามถอดไม้คานออกด้วย) ส่วนฝาหีบ เรียกว่าMercy Seat หรือ “การุณอาสน์” มีขนาดรับกับตัวหีบ และบุแผ่นทองเช่นเดียวกัน ด้านบนมีเทวดาสององค์สยายปีก หันหน้าเข้าหากัน ปีกทั้งสองโอบคล้ายซุ้มโค้งเหนือหีบ
มีเรื่องเล่ากันว่า หีบพันธะสัญญาเป็นหีบที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้า(??) เพื่อเป็นที่บรรจุแผ่นหินจารึกบัญญัติ 10ประการของพระองค์ ที่ประทานแก่ โมเสส ในระหว่างที่เขาพาพวกฮีบรูเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย อันกันดาร โดยชนชาวฮีบรูจะแบกหีบแห่งพันธสัญญาตลอดการเดินทางในพระคัมภีร์ไบเบิลเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ของหีบ ที่มีพลังมากมายมหาศาลถึงขั้นสามารถทำลายล้างผู้บังอาจเข้าไปแตะต้อง และถูกพระเพลิงเผาวอดตาย
แน่นอนหลายคนที่ได้รู้เรื่องราวหีบพันธะสัญญานี้ได้บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อและหากเป็นเรื่องจริงละก็มันน่าจะเป็นวิทยาการอะไรสักอย่างที่ไม่มีในยุคนั้น ดังนั้นจึงมีข้อสันนิฐานตามมาว่า หีบพันธะสัญญาน่าจะ ขวดแก้วไลเดน (Leyden Jar) ซึ่ง ปีเตอร์ แวน มุสเซนโบรค ได้คิดค้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1745 (เป็น อุปกรณ์เก็บสะสมประจุไฟฟ้า แบบง่าย) ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งสิ้น สมัยก่อนนั้นมีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างไรกัน?? และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบหีบพันธะสัญญาที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถรู้ว่าหีบพันธะสัญญาคืออุปกรณ์อะไรกันแน่
อันดับ 2. The Coso Artifact
ขณะออกไปหาเก็บก้อนแร่และหินสวยงามบนเทือกเขาโอ ลัน คา ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย
ในช่วงฤดูหนาวของปี 1961 วอลเลซ เลน(Wallace Lane), เวอร์จิเนีย แม็กซี(Virginia Maxey)
และไมค์ ไมค์เซล(Mike Mikesell) ได้เจอหินที่เข้าใจว่าเป็นแก้วผลึก ก้อนหนึ่ง
ทั้งสามชอบใจมาก เพราะคิดว่าถ้าเอากลับไปขายที่ร้านอัญมณี ของตัวเอง คงได้ราคาพอควร
แต่เมื่อกะเทาะออกดู ไมค์เซลก็เจอวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ข้างใน มองเหมือนเครื่องเคลือบสีขาว
ตรงกลางมีแท่งโลหะแวววาว ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่า ต้องใช้เวลาร่วม 500,000 ปี กว่าที่เจ้าก้อนผลึกนี้จะก่อตัวห่อหุ้มวัตถุนี้ไว้ภายในได้เช่นนี้ ทั้งๆ ที่วัตถุดังกล่าวมองเหมือนเป็นผลงานจากน้ำมือของมนุษย์
เมื่อตรวจสอบเจ้าแท่งโลหะดังกล่าวอย่างละเอียดด้วยการ เอกซเรย์ ก็พบว่ามันมีสปริงเล็กๆ ติดอยู่ที่ปลายข้างหนึ่ง บางคนที่ได้เห็น บอกว่ามันมองเหมือนหัวเทียนของเครื่องยนต์ แล้วหัวเทียนเข้าไปอยู่
ในก้อนหินอายุ 5 แสนปีได้อย่างไร?
อันดับ 1 Piri Reis
ในปี ค.ศ. 1979 ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมมหาราชวังคอนสแตนทิโนเปิล (Constantinople) ในอิสตันบูล ประเทศตรุกี ก็ได้มีการค้นพบภาพวาดแผนที่ที่ถูกวาดลงบนหนังกวาง ซึ่งถูกวาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1513 แผนที่ดังกล่าวมีการลงชื่อแสดงความเป็นเจ้าของโดยของนายทหารเรือชาวเติร์กชื่อ Piri Haji Memmed ทำให้มีการเรียกแผนที่นี้ว่า Piri Reis คาดว่ามันถูกทำขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ. 1513
แผนที่ของ Piri Reis เป็นสิ่งที่ท้าทายนักประวัติศาสตร์อย่างมาก เนื่องด้วยแผนที่นี้มันแสดงภูมิศาสตร์สมบูร์แบบเกินกว่าแผนที่ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน
ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่ เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า จะมีใครสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออกมาได้ ยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกคือมันมีทวีปแอนตาร์กติก้าด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบทวีปดังกล่าวนี้เลย ( แอนตาร์กติก้าค้นพบราวๆ ปี 1800) เขาสามารถแสดงชายฝั่งของทวีปที่อยู่ภายใต้น้ำแข็งหนาเป็นกิโลได้อย่างไรหากไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทางภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่าการสำรวจจากทางอากาศ
จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าคนวาดแผน Piri Reis นี้มีวิธีการวาดอย่างไรถึงทำให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลทางธรณีในยุคปัจจุบัน ทั้งๆที่มันถูกวาดขึ้นในปี 1513
UFO และมนุษย์ต่างดาว ในประวัติศาสตร์โบราณ
หลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และจานบินนั้นมีนานตั้งแต่สมัยอดีตกาล หลักฐานเหล่านี้บ่งบอกถีงการติดต่อสือสาร และการช่วยเหลือมนุษย์ในการสร้างอารยธรรมโบราณ โดยรวบรวมจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ประเทศอิรัค
เป็นประเทศที่มีอารยธรรมสูงในสมัยดึกดำบรรพ์ และมีอดีตยืนยาวตั้งแต่สมัยสุเมเรียน หลักฐานโบราณจะได้แก่พระเจ้าที่มีหน้าตาเหมือนนก หรือสัตว์เลี้อยคลานรูปปั้นอายุ 5,000-4,500 ก่อนคริสต์ศักราช. | พระเจ้าของชนเผ่าสุเมเรียน |
ประเทศเนปาล
ได้มีการค้นพบวัตถุรูปจานบินที่มีลวดลายของมนุษย์ต่างดาว และ รูปของทางช้างเผือก ซี่งมีอายุเก่าแก่ถีง 7,000 ก่อนคริสต์ศักราชประเทศอิตาลี
มีการค้นพบรูปวาดในถ้ำที่ Val Camonica ซี่งคล้ายมนุษยอวกาศ มีความเก่าแก่ประมาณ 10,000 ก่อนคริสต์ศักราชประเทศยูเครน
ที่เมือง Kiev มีการค้นพบรูปปั้นมนุษย์อวกาศซี่งมีความเก่าแก่ประมาณ 4000 ปี ก่อนคริสต์ศักราชประเทศแม็คซิโก
พบรูปวาดในถ้ำซี่งเป็นภาพคน 4 คน และยานที่อยู่บนท้องฟ้าขนาดใหญ่ ในจังหวัด Queretaro ในปี คศ 1966 ซี่งภาพวาดนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 7000 ปีก่อนประเทศเอควาดอร์
พบรูปปันคนในชุดมนุษย์อวกาศประเทศสหรัฐอเมริกา
พบภาพเขียนบนฝาผนังถ้ำของชาวอินเดียนแดงทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศภาพเขียนในยูท่าอายุมากถีง 5,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ทวีปแอฟริกา
พบภาพเขียนจานบินและมนุษยต์ต่างดาวที่ทะเลทราย ซาฮาร่า อายุประมาณ 6000 ปี ก่อนคริสต์ศักราชประเทศออสเตรเลีย
พบภาพวาดตามผนังของชนเผ่าอบอริจินที่เมือง Kimberly อายุประมาณ 5,000 ปีก่อนประเทศญี่ปุ่น
ภาพวาดโบราณทางเกาะ Jotuo ซี่งค้นพบในปี คศ 1957 และยังค้นพบภาพวาดของระบบสุริยจักรวาลที่มีดาวเคราะห์สิบดวงไม่รวมดวงอาทิตย์ประเทศอียิปต์
พบรอยแกะสลักซี่งมีอายุ 3000 ปี เป็นรูปเครื่องบินและยานภาหนะที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ประเทศอินเดีย
ที่อินเดียได้ค้นพบภาพวาดเกี่ยวกับ UFO ที่คนโบราณเขียนขี้นในถ้ำสมัยยุคหินที่ซ่อนลีกอยู่ในป่า ในรูปจะเห็นถีง ภาพมนุษย์อวกาศ และ ยาน UFO อย่างชัดเจน ซี่งนักโบราณคดีได้สันนิฐานว่าคนเล่านี้ได้มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่าง ดาวมาเป็นเวลานานแล้ว ซี่งสอดคล้องกับทฤษฏีที่มนุษย์ต่างดาวที่เป็นมิตรกับมนุษย์ให้ความช่วยเหลือ มนุษย์ในการสร้างอารยธรรมตั้งแต่สมัยโบราณภาพวาดในถ้ำที่อินเดีย
ยังหลักฐานอี่นๆอีกมากมายซี่งสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.crystalinks.com/ufohistory.html
“วี” ยันคบ “ปุ๊กลุก” คนเดียวไม่ได้ไปเฝ้า “หยก” ที่กองถ่าย
“วี” ปัดเฝ้า “หยก” ที่กอลงละคร รับเป็นน้องที่สนิทแต่ไม่ได้กิ๊กกันอย่างที่เป็นข่าว ขำข่าวเช่าแท็กซี่เซอร์ไพร์ส “ปุ๊กลุก” วันวาเลนไทน์ ยันตอนนี้ดูปุ๊กลุกคนเดียว แต่ยังไม่อยากรับงานถ่ายแฟชั่นคู่ หวั่นอาภรรพ์ทำให้เลิกกัน
กำลังคบหาดูใจกับ “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” แต่ “วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” ก็ยังไม่วายมีข่าวว่าแอบไปเฝ้า “หยก ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์” ถึงกองถ่าย งานนี้วียอมรับว่าสนิทกับหยกจริงแต่ไม่เคยไปเฝ้าที่กองถ่ายแน่นอน
“ไม่เคยไปเฝ้าน้องหยกที่กองครับ ก็รู้จักกันครับสนิทกันครับ ก็เป็นน้องที่น่ารักและเราก็เคยร่วมงานเรื่องนักฆ่าขนตางอนด้วยกัน และน้องเขาก็จะออกแนวๆ แมนๆ หน่อยก็นิสัยดีน่ารักครับ ข่าวกิ๊กกันไม่ได้เป็นความจริงเลยครับ แค่ร่วมงานเป็นพระเอกนางเอกกันครับ หยกก็น่ารักครับน้องชายเขาก็นิสัยดี คุณแม่เขาก็ทำอาหารอร่อยครับ ไม่มีอะไรครับ แต่ว่าช่วงนั้นหยกเขาอาจจะโสดมั้งครับก็เลยมีข่าวออกมา”
“ซึ่งกับข่าวก็คงไม่ต้องเคลียร์กับปุ๊กลุกครับ เพราะว่าน้องเขาก็อยู่วงการมาพักนึงแล้ว เขาก็น่าจะรู้ว่าอะไรมันเป็นจริง อะไรมันไม่เป็นจริง ข่าวมันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปครับ ถ้าอันไหนมันไม่จริงเดี๋ยวคนก็ลืมครับผมว่านะ”
“ตอนนี้กับปุ๊กลุกก็เรื่อยๆ ครับ ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เพราะว่าตอนนี้น้องเขาก็มีละครสองสามเรื่องด้วยครับ ผมก็เร่งถ่ายละครของผมด้วย แต่ถ้าถามว่าดูอยู่คนเดียวมั๊ยก็ดูอยู่แค่คนเดียวครับ แต่ว่าน้องเขาก็อายุยังน้อยน้องเขาเพิ่ง 21 เองครับ ก็อยากให้น้องเขาโฟกัสเรื่องงานครับ เพราะว่าน้องเขาก็งานหนัก เราก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร ถ้าเกิดอนาคตมันใช่มันก็ใช่ แต่ว่าถ้าเกิดมันไม่ใช่ก็ คือเราไม่ได้กะเกณฑ์อะไรตรงนั้นครับ”
ขำข่าวทำเซอร์ไพร์ส “ปุ๊กลุก” ในวันเลนไทน์โดยการเช่ารถแท็กซี่ลงทุนขับเองเพื่อจะไปรับ “ปุ๊กลุก” มาฉลองวาเลนไทน์
“กับข่าวเรื่องแท็กซี่ ผมก็ยังขำๆ นะ ผมไปเช่าแท็กซี่ทำไม งงมาก(หัวเราะ) ขำครับตลก เพราะว่าผมก็มีรถน้องเขาก็มีรถน้องเขาก็มีคนขับรถ คือกับแท็กซี่นะผมนั่งนะนั่งอยู่ เพราะว่าบางทีแบบไปผมเที่ยวกับเพื่อนๆ ตอนกลางคืนเมาไม่ขับครับ นั่งแท็กซี่ก็โอเคครับ แต่เรื่องทำเซอร์ไพร์สอะไรอาจจะเป็นการเข้าใจผิดครับ ผมว่าจะเช่าแท็กซี่ทำไม ข่าวว่าผมขับเองด้วยนะไปกันใหญ่และ(หัวเราะ)”
“แต่อาจจะเป็นไปได้ที่คนขับแท็กซี่คันนั้นอาจจะหล่อมากและก็ผู้โดยสารคนนั้นอาจจะสวยมากก็เลยมองเป็นปุ๊ก แต่ไอ้ไปกินโจ๊กนะไปกินกันจริงครับแต่ว่ามันหิวครับ เพราะว่าพึ่งถ่ายละครเสร็จก็แวะไปกินโจ๊กครับ คือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรแบบนั้นครับ วันนั้นก็ให้ของน้องเขาครับ แต่ว่าน้องเขาก็บอกว่าไม่อยากได้อะไร ก็ให้แบบเหมาะสมครับไม่ได้โอเวอร์เกิน เพราะว่าผมก็มองว่าเป็นวันนึงไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าไหร่สำหรับผมนะครับ”
ยังไม่คิดรับงานถ่ายแฟชั่นคู่หวั่นอาถรรพ์เลิก
“ถ่ายแบบคู่กันผมว่าคงอีกนานครับ เอาไว้อะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ก่อนดีกว่าครับ แต่ผมเห็นว่าคนอื่นเขาถ่ายคู่กันแล้วเลิกกันหมดเลยนะ (กลัวอาถรรพ์) คือผมเห็นคนอื่นเขาครับ แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับ คือถ้าถ่ายมันจะดูชัดเจนมาก เอาไว้อนาคตค่อยว่ากันอีกทีครับ งานอีเว้นต์คู่ก็ต้องอยู่ที่งานครับ จริงๆ ผมไม่ได้รังเกียจนะครับ เพราะว่าจริงๆ ก็ต้องอยู่ที่งานอยู่ที่ตัวน้องด้วย แต่ถ้าติดต่อมาก็ต้องดูงานด้วยครับถ้าเป็นลักษณะงานคู่รักจ๋าก็ต้องดูๆ ก่อน เพราะว่าน้องเขาก็มีผู้จัดการ แต่อย่างผมมันจัดการตัวเองครับ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
กำลังคบหาดูใจกับ “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” แต่ “วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” ก็ยังไม่วายมีข่าวว่าแอบไปเฝ้า “หยก ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์” ถึงกองถ่าย งานนี้วียอมรับว่าสนิทกับหยกจริงแต่ไม่เคยไปเฝ้าที่กองถ่ายแน่นอน
“ไม่เคยไปเฝ้าน้องหยกที่กองครับ ก็รู้จักกันครับสนิทกันครับ ก็เป็นน้องที่น่ารักและเราก็เคยร่วมงานเรื่องนักฆ่าขนตางอนด้วยกัน และน้องเขาก็จะออกแนวๆ แมนๆ หน่อยก็นิสัยดีน่ารักครับ ข่าวกิ๊กกันไม่ได้เป็นความจริงเลยครับ แค่ร่วมงานเป็นพระเอกนางเอกกันครับ หยกก็น่ารักครับน้องชายเขาก็นิสัยดี คุณแม่เขาก็ทำอาหารอร่อยครับ ไม่มีอะไรครับ แต่ว่าช่วงนั้นหยกเขาอาจจะโสดมั้งครับก็เลยมีข่าวออกมา”
“ซึ่งกับข่าวก็คงไม่ต้องเคลียร์กับปุ๊กลุกครับ เพราะว่าน้องเขาก็อยู่วงการมาพักนึงแล้ว เขาก็น่าจะรู้ว่าอะไรมันเป็นจริง อะไรมันไม่เป็นจริง ข่าวมันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปครับ ถ้าอันไหนมันไม่จริงเดี๋ยวคนก็ลืมครับผมว่านะ”
“ตอนนี้กับปุ๊กลุกก็เรื่อยๆ ครับ ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เพราะว่าตอนนี้น้องเขาก็มีละครสองสามเรื่องด้วยครับ ผมก็เร่งถ่ายละครของผมด้วย แต่ถ้าถามว่าดูอยู่คนเดียวมั๊ยก็ดูอยู่แค่คนเดียวครับ แต่ว่าน้องเขาก็อายุยังน้อยน้องเขาเพิ่ง 21 เองครับ ก็อยากให้น้องเขาโฟกัสเรื่องงานครับ เพราะว่าน้องเขาก็งานหนัก เราก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร ถ้าเกิดอนาคตมันใช่มันก็ใช่ แต่ว่าถ้าเกิดมันไม่ใช่ก็ คือเราไม่ได้กะเกณฑ์อะไรตรงนั้นครับ”
ขำข่าวทำเซอร์ไพร์ส “ปุ๊กลุก” ในวันเลนไทน์โดยการเช่ารถแท็กซี่ลงทุนขับเองเพื่อจะไปรับ “ปุ๊กลุก” มาฉลองวาเลนไทน์
“กับข่าวเรื่องแท็กซี่ ผมก็ยังขำๆ นะ ผมไปเช่าแท็กซี่ทำไม งงมาก(หัวเราะ) ขำครับตลก เพราะว่าผมก็มีรถน้องเขาก็มีรถน้องเขาก็มีคนขับรถ คือกับแท็กซี่นะผมนั่งนะนั่งอยู่ เพราะว่าบางทีแบบไปผมเที่ยวกับเพื่อนๆ ตอนกลางคืนเมาไม่ขับครับ นั่งแท็กซี่ก็โอเคครับ แต่เรื่องทำเซอร์ไพร์สอะไรอาจจะเป็นการเข้าใจผิดครับ ผมว่าจะเช่าแท็กซี่ทำไม ข่าวว่าผมขับเองด้วยนะไปกันใหญ่และ(หัวเราะ)”
“แต่อาจจะเป็นไปได้ที่คนขับแท็กซี่คันนั้นอาจจะหล่อมากและก็ผู้โดยสารคนนั้นอาจจะสวยมากก็เลยมองเป็นปุ๊ก แต่ไอ้ไปกินโจ๊กนะไปกินกันจริงครับแต่ว่ามันหิวครับ เพราะว่าพึ่งถ่ายละครเสร็จก็แวะไปกินโจ๊กครับ คือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรแบบนั้นครับ วันนั้นก็ให้ของน้องเขาครับ แต่ว่าน้องเขาก็บอกว่าไม่อยากได้อะไร ก็ให้แบบเหมาะสมครับไม่ได้โอเวอร์เกิน เพราะว่าผมก็มองว่าเป็นวันนึงไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าไหร่สำหรับผมนะครับ”
ยังไม่คิดรับงานถ่ายแฟชั่นคู่หวั่นอาถรรพ์เลิก
“ถ่ายแบบคู่กันผมว่าคงอีกนานครับ เอาไว้อะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ก่อนดีกว่าครับ แต่ผมเห็นว่าคนอื่นเขาถ่ายคู่กันแล้วเลิกกันหมดเลยนะ (กลัวอาถรรพ์) คือผมเห็นคนอื่นเขาครับ แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับ คือถ้าถ่ายมันจะดูชัดเจนมาก เอาไว้อนาคตค่อยว่ากันอีกทีครับ งานอีเว้นต์คู่ก็ต้องอยู่ที่งานครับ จริงๆ ผมไม่ได้รังเกียจนะครับ เพราะว่าจริงๆ ก็ต้องอยู่ที่งานอยู่ที่ตัวน้องด้วย แต่ถ้าติดต่อมาก็ต้องดูงานด้วยครับถ้าเป็นลักษณะงานคู่รักจ๋าก็ต้องดูๆ ก่อน เพราะว่าน้องเขาก็มีผู้จัดการ แต่อย่างผมมันจัดการตัวเองครับ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
“แมทธิว” โต้จัดปาร์ตี้อัพยา บอกแค่เล่นกีฬาก็ไม่มีแรงจะมั่วยาแล้ว
“แมทธิว” โต้ข่าวจัดปาร์ตี้อัพยากับเพื่อนร่วมก๊วน “ธัญญ์-สเตฟาน” บอกแค่เล่นกีฬาก็หมดแรงจะเอาแรงที่ไหนไปเล่นยา ด้านแฟนสาว “ลิเดีย” ขำกับข่าวที่เกิดขึ้นบอกแค่นี้เด็กๆ เพราะเจอมาเยอะแล้ว
หายเงียบไปนานโผล่มาอีกที “แมทธิว ดีน” ก็งานเข้าอีกแล้ว เพราะมีข่าวเม้าท์แตกว่าแมทธิวชอบจัดงานปาร์ตี้อัพยาโดยมีเพื่อนร่วมก๊วนอย่าง “ธัญญ์ ธนากร” กับ “สเตฟาน ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์” ร่วมวงด้วย เจอแมทธิวและ “ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา”
“ก็ขอบคุณที่ให้ความสำคัญนะครับ คือจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรครับ ไม่รู้จะพูดว่ายังไงเหมือนกันครับ คนที่เสพข่าวพอเสพแล้วก็คงขำๆ ครับว่าเออคิดไปได้นะ ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะว่ามันก็ไม่ได้เป็นความจริงอยู่แล้ว ถามว่าปรี๊ดมั๊ยตอนอ่านคือผมไม่ได้อ่านนะครับ ไม่อานหรอกครับ อ่านไปก็ไม่มีอะไร มันไม่ใช่เรื่องจริงอะไรอยู่แล้วครับ ถ้าผมจะเล่นยานะผมเล่นไปนานแล้ว อยู่ในวงการมันมีโอกาสมีอะไรเยอะแยะ บอกได้เลยแต่ว่าผมไม่ชอบผมไม่เล่นไม่ใช่แนวครับ”
“แล้วพวกก๊วนผมส่วนมากก็เป็นนักกีฬากันครับ ไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนไปเล่นยาหรือมามั่วยาเสพติด เพราะว่าถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะไม่ต้องทำอะไรครับ คงจะนอนอยู่บ้านอย่างเดียว แค่ผมชกมวยกับเล่นฟุตบอลก็เหนื่อยแย่แล้วครับ กับสเตฟานก็ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ๆ แล้วครับ ฟานเขาก็เล่นละครอยู่หลายเรื่อง ผมก็เล่นอยู่ก็เลยทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยจะว่างมาเจอกันครับ”
ด้าน “ลิเดีย” พูดถึงเรื่องนี้ว่าแค่เด็กๆ เพราะเจอข่าวมาเยอะกว่านี้ พร้อมกับเปิดเผยถึงอนาคตในการเป็นนักร้องหลังจากหมดสัญญากับอาร์เอสว่า....
“ก็ขำๆ มากกว่าค่ะ เจอมาเยอะ เรื่องนี้เด็กๆ ค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้สัญญากับอาร์เอสหมดแล้วค่ะ ก็ยังไม่ได้จะอยู่กับค่ายไหน ตอนนี้ก็มีคอนเสิร์ตเรื่อยๆ ไปก่อนไม่ได้เซ็นสัญญาที่ไหนค่ะ และก็ยังไม่มีที่ไหนทาบทามมาหรืออะไรเลยค่ะ ตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่ค่ะ ยังไม่มีอะไรเลย ยังนิ่งๆ อยู่ค่ะ แค่ว่าตอนนี้เราก็แฮปปี้อยู่แล้วค่ะ เราทำคอนเสิร์ตเองทำแดนเซอร์เอง เราก็คิดว่าตอนนี้เราลุยเรื่องนี้ก่อนแล้วเรื่องค่ายเดี๋ยวเราค่อยมาดูกันต่อไปดีกว่าค่ะ”
“ก็ยังไม่ได้คิดว่าตอนนี้จะอยากอยู่ค่ายไหนค่ะ คือมันไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วค่ะ เพราะว่าแค่เราซ้อมก็เหนื่อยแล้ว เราต้องมานั่งคิดโชว์เองอีก แล้วแดนเซอร์เราก็ต้องซ้อมเอง เราต้องทำเองมันก็จะหนักหมดเลยค่ะ เพราะว่าเวลาที่เราไปร้องเพลงหรือไปโชว์เราก็ต้องซ้อมเองหมดค่ะ เตรียมวงเองหมด เพลงก็มีหมดค่ะ ไม่ได้ว่าจะเป็นเพลงที่เคยร้องของอาร์เอสอย่างเดียว เพราะว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่างานที่เราโชว์เขาต้องการอะไรบ้าง”
เรื่องงานยังไม่ลงแต่เรื่องความรักค่อนข้างหวานน่าดู
“ก็ช่วงต้นปีก็ไปฝรั่งเศสด้วยกันค่ะ ก็สนุกมากค่ะ ความรักยังหวานเหมือนเดิมค่ะ วันวาเลนไทน์ก็มีของให้กันค่ะเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ของน่ารักๆ ไปทานข้าวกันด้วย และก็ได้อยู่กันสองคน”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
หายเงียบไปนานโผล่มาอีกที “แมทธิว ดีน” ก็งานเข้าอีกแล้ว เพราะมีข่าวเม้าท์แตกว่าแมทธิวชอบจัดงานปาร์ตี้อัพยาโดยมีเพื่อนร่วมก๊วนอย่าง “ธัญญ์ ธนากร” กับ “สเตฟาน ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์” ร่วมวงด้วย เจอแมทธิวและ “ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา”
“ก็ขอบคุณที่ให้ความสำคัญนะครับ คือจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรครับ ไม่รู้จะพูดว่ายังไงเหมือนกันครับ คนที่เสพข่าวพอเสพแล้วก็คงขำๆ ครับว่าเออคิดไปได้นะ ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะว่ามันก็ไม่ได้เป็นความจริงอยู่แล้ว ถามว่าปรี๊ดมั๊ยตอนอ่านคือผมไม่ได้อ่านนะครับ ไม่อานหรอกครับ อ่านไปก็ไม่มีอะไร มันไม่ใช่เรื่องจริงอะไรอยู่แล้วครับ ถ้าผมจะเล่นยานะผมเล่นไปนานแล้ว อยู่ในวงการมันมีโอกาสมีอะไรเยอะแยะ บอกได้เลยแต่ว่าผมไม่ชอบผมไม่เล่นไม่ใช่แนวครับ”
“แล้วพวกก๊วนผมส่วนมากก็เป็นนักกีฬากันครับ ไม่รู้จะเอาแรงที่ไหนไปเล่นยาหรือมามั่วยาเสพติด เพราะว่าถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะไม่ต้องทำอะไรครับ คงจะนอนอยู่บ้านอย่างเดียว แค่ผมชกมวยกับเล่นฟุตบอลก็เหนื่อยแย่แล้วครับ กับสเตฟานก็ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ๆ แล้วครับ ฟานเขาก็เล่นละครอยู่หลายเรื่อง ผมก็เล่นอยู่ก็เลยทำให้ช่วงนี้ไม่ค่อยจะว่างมาเจอกันครับ”
ด้าน “ลิเดีย” พูดถึงเรื่องนี้ว่าแค่เด็กๆ เพราะเจอข่าวมาเยอะกว่านี้ พร้อมกับเปิดเผยถึงอนาคตในการเป็นนักร้องหลังจากหมดสัญญากับอาร์เอสว่า....
“ก็ขำๆ มากกว่าค่ะ เจอมาเยอะ เรื่องนี้เด็กๆ ค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้สัญญากับอาร์เอสหมดแล้วค่ะ ก็ยังไม่ได้จะอยู่กับค่ายไหน ตอนนี้ก็มีคอนเสิร์ตเรื่อยๆ ไปก่อนไม่ได้เซ็นสัญญาที่ไหนค่ะ และก็ยังไม่มีที่ไหนทาบทามมาหรืออะไรเลยค่ะ ตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่ค่ะ ยังไม่มีอะไรเลย ยังนิ่งๆ อยู่ค่ะ แค่ว่าตอนนี้เราก็แฮปปี้อยู่แล้วค่ะ เราทำคอนเสิร์ตเองทำแดนเซอร์เอง เราก็คิดว่าตอนนี้เราลุยเรื่องนี้ก่อนแล้วเรื่องค่ายเดี๋ยวเราค่อยมาดูกันต่อไปดีกว่าค่ะ”
“ก็ยังไม่ได้คิดว่าตอนนี้จะอยากอยู่ค่ายไหนค่ะ คือมันไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วค่ะ เพราะว่าแค่เราซ้อมก็เหนื่อยแล้ว เราต้องมานั่งคิดโชว์เองอีก แล้วแดนเซอร์เราก็ต้องซ้อมเอง เราต้องทำเองมันก็จะหนักหมดเลยค่ะ เพราะว่าเวลาที่เราไปร้องเพลงหรือไปโชว์เราก็ต้องซ้อมเองหมดค่ะ เตรียมวงเองหมด เพลงก็มีหมดค่ะ ไม่ได้ว่าจะเป็นเพลงที่เคยร้องของอาร์เอสอย่างเดียว เพราะว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่างานที่เราโชว์เขาต้องการอะไรบ้าง”
เรื่องงานยังไม่ลงแต่เรื่องความรักค่อนข้างหวานน่าดู
“ก็ช่วงต้นปีก็ไปฝรั่งเศสด้วยกันค่ะ ก็สนุกมากค่ะ ความรักยังหวานเหมือนเดิมค่ะ วันวาเลนไทน์ก็มีของให้กันค่ะเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ ของน่ารักๆ ไปทานข้าวกันด้วย และก็ได้อยู่กันสองคน”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
“ชมพู่” เผย “น็อต” ไม่ชอบให้จูบจริง “เคน” ส่วนเรื่องควงสาวอื่นเคลียร์กันแล้ว
“ชมพู่” เผย เคลียร์กับ “น็อต” เรื่องข่าวหนีเที่ยวกับสาวแล้ว ฝ่ายชายรับไปจริงแต่ไปกับเพื่อนๆ บอก เชื่อใจไม่ได้ติดใจอะไร เจ้าตัวแย้ม แฟนหนุ่มไม่ชอบมีฉากจูบจริงกับ “เคน” เยอะ ลั่น อยากให้ดูเพื่อความบันเทิง แต่เผย เรื่องหน้าแรงกว่านี้อีก
มีข่าวว่าหวานใจ “น็อต วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์” แอบควงสาวไปเที่ยวผับย่านทองหล่อ ทำเอาหลายคนแอบเป็นห่วงว่าจะกระเทือนความสัมพันธ์หรือเปล่า แต่ล่าสุด “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ก็ออกมาเผยด้วยตัวเองว่า ได้เคลีร์กันแล้ว แต่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เพราะสาวที่คงเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น ลั่น เชื่อใจว่าไม่มีอะไร
“ก็ได้คุยกันนิดหน่อยแล้วค่ะ พอดีวันที่มาถามชมครั้งแรกเขาก็ไปที่พารากอนพอดีเลยได้เจอกัน เราก็ถามเลย คือไม่เชิงถามหรอก แต่ก็เล่าให้ฟังว่ามีข่าวของเขา เขาก็เฮ้ยอะไรยังไง เขาก็อธิบายให้ฟัง แต่ชมบอกชมไม่ได้ซีเรียสไม่ได้อะไร แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ มากกว่า ไม่ได้ใจกว้างหรอก เพราะต่างคนต่างรู้จักกันก็เข้าใจกันอยู่แล้ว จริงๆ ปกติเขาก็ไม่ได้เที่ยวบ่อย ครั้งสุดท้ายก็ที่มีงานไปจัดที่นั่น ก็น่าจะเป็นวันนั้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่มีอะไรค่ะ”
“แต่เขาไปจริงค่ะ ชมก็รู้อยู่ เพราะเจ้าของงานก็เป็นเพื่อนสนิทกันหมด แต่ชมไม่ได้ไปเพราะวันนั้นตื่นเช้า แล้วก็มีงานดึกด้วย ก็ไม่ไหว เขาก็ไปกับทั้งเพื่อนผู้หญิงและเพื่อนผู้ชายปกติค่ะ เขาก็เอ่ยชื่อมาว่าเป็นคนนั้นคนนี้ซึ่งเราก็รู้จักก็ไม่ได้อะไร ซึ่งไม่ได้ติดใจอยู่แล้ว จะไปไหนก็ได้ กับผู้หญิงหรือกับผู้ชายก็ได้ ก็เชื่อใจค่ะ คือถ้ามานั่งซักไซ้ว่าไปไหนกับใครมา ชมว่ามันก็คงไม่รอด”
เผย กระแสจากละครเรื่อง “รหัสทรชน” ที่ต้องมีฉากจูบประกบปากจริงกับพระเอกพ่อลูกสองอย่าง “เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์” เยอะมาก ทำเอาหวานใจแอบเคืองเหมือนกัน แต่บอก เรื่องหน้ายิ่งเยอะกว่านี้อีก
“ฟีดแบคส่วนมากคนก็จะบอกว่าอยากเป็นมัสยา คือดูละครแล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า ก็จะเม้าท์ๆ กันไป ไม่มีอะไรมาก แต่ฉากจูบคือชมว่ามันเป็นอารมณ์ของเรื่อง เพราะเรื่องมันก็ค่อนข้างจะดุเดือด ก็คงเป็นความตั้งใจของเขา เวลาบู๊ก็ให้สุดๆ เวลากุ๊กกิ๊กก็เอาให้มันสุดไปเลย"
"เรื่องช่องให้จูบจริงนั้น ชมก็ไม่เคยเห็นเป็นนโยบายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรนะ(หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้มีคุยอะไรนะคะ คิดว่าชมเองก็คงโตแล้วประมาณนึงมากกว่า แต่ถามว่าทำใจยากไหม มันก็คือการแสดงแหละ ก็ถ้าเป็นทีมงานที่เราโอเค บทที่เราอ่านแล้วเรารู้สึกว่าเล่นแล้วคนดูเอ็นเตอร์เทนก็โอเค”
“น็อตเขาก็ดูค่ะ ถ้าไม่ดูเวลาตอนนั้นก็จะเปิดดูย้อนหลังในอินเตอร์เน็ต เขาก็บอกว่ามันไม่ใช่ภาพที่น่าดู แต่ก็เข้าใจ คือเขาบอกว่าคงไม่มีใครชอบดูหรอก แต่เขาก็เข้าใจ ไม่ได้ห้าม จริงๆ ชมว่าเขาชอบนะ ให้ชมเล่นกับพี่เคน ก็อย่างจบเรื่องนี้เขาก็จะบอกว่าเมื่อไหร่จะมีละครกับพี่เคนอีก(หัวเราะ) ก็คงชอบดูที่เล่นด้วยกัน ถ้าเรื่องต่อไปก็ต้องรอดู เรื่องดอกส้มสีทองบทอันนั้นแรงเลย แต่น็อตจะดูรึเปล่าก็เป็นเรื่องของอนาคต(หัวเราะ)”
ขอบคุณข่าวแซ๋บจากผู้จัดการออนไลน์
มีข่าวว่าหวานใจ “น็อต วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์” แอบควงสาวไปเที่ยวผับย่านทองหล่อ ทำเอาหลายคนแอบเป็นห่วงว่าจะกระเทือนความสัมพันธ์หรือเปล่า แต่ล่าสุด “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ก็ออกมาเผยด้วยตัวเองว่า ได้เคลีร์กันแล้ว แต่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เพราะสาวที่คงเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น ลั่น เชื่อใจว่าไม่มีอะไร
“ก็ได้คุยกันนิดหน่อยแล้วค่ะ พอดีวันที่มาถามชมครั้งแรกเขาก็ไปที่พารากอนพอดีเลยได้เจอกัน เราก็ถามเลย คือไม่เชิงถามหรอก แต่ก็เล่าให้ฟังว่ามีข่าวของเขา เขาก็เฮ้ยอะไรยังไง เขาก็อธิบายให้ฟัง แต่ชมบอกชมไม่ได้ซีเรียสไม่ได้อะไร แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ มากกว่า ไม่ได้ใจกว้างหรอก เพราะต่างคนต่างรู้จักกันก็เข้าใจกันอยู่แล้ว จริงๆ ปกติเขาก็ไม่ได้เที่ยวบ่อย ครั้งสุดท้ายก็ที่มีงานไปจัดที่นั่น ก็น่าจะเป็นวันนั้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่มีอะไรค่ะ”
“แต่เขาไปจริงค่ะ ชมก็รู้อยู่ เพราะเจ้าของงานก็เป็นเพื่อนสนิทกันหมด แต่ชมไม่ได้ไปเพราะวันนั้นตื่นเช้า แล้วก็มีงานดึกด้วย ก็ไม่ไหว เขาก็ไปกับทั้งเพื่อนผู้หญิงและเพื่อนผู้ชายปกติค่ะ เขาก็เอ่ยชื่อมาว่าเป็นคนนั้นคนนี้ซึ่งเราก็รู้จักก็ไม่ได้อะไร ซึ่งไม่ได้ติดใจอยู่แล้ว จะไปไหนก็ได้ กับผู้หญิงหรือกับผู้ชายก็ได้ ก็เชื่อใจค่ะ คือถ้ามานั่งซักไซ้ว่าไปไหนกับใครมา ชมว่ามันก็คงไม่รอด”
เผย กระแสจากละครเรื่อง “รหัสทรชน” ที่ต้องมีฉากจูบประกบปากจริงกับพระเอกพ่อลูกสองอย่าง “เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์” เยอะมาก ทำเอาหวานใจแอบเคืองเหมือนกัน แต่บอก เรื่องหน้ายิ่งเยอะกว่านี้อีก
“ฟีดแบคส่วนมากคนก็จะบอกว่าอยากเป็นมัสยา คือดูละครแล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า ก็จะเม้าท์ๆ กันไป ไม่มีอะไรมาก แต่ฉากจูบคือชมว่ามันเป็นอารมณ์ของเรื่อง เพราะเรื่องมันก็ค่อนข้างจะดุเดือด ก็คงเป็นความตั้งใจของเขา เวลาบู๊ก็ให้สุดๆ เวลากุ๊กกิ๊กก็เอาให้มันสุดไปเลย"
"เรื่องช่องให้จูบจริงนั้น ชมก็ไม่เคยเห็นเป็นนโยบายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรนะ(หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้มีคุยอะไรนะคะ คิดว่าชมเองก็คงโตแล้วประมาณนึงมากกว่า แต่ถามว่าทำใจยากไหม มันก็คือการแสดงแหละ ก็ถ้าเป็นทีมงานที่เราโอเค บทที่เราอ่านแล้วเรารู้สึกว่าเล่นแล้วคนดูเอ็นเตอร์เทนก็โอเค”
“น็อตเขาก็ดูค่ะ ถ้าไม่ดูเวลาตอนนั้นก็จะเปิดดูย้อนหลังในอินเตอร์เน็ต เขาก็บอกว่ามันไม่ใช่ภาพที่น่าดู แต่ก็เข้าใจ คือเขาบอกว่าคงไม่มีใครชอบดูหรอก แต่เขาก็เข้าใจ ไม่ได้ห้าม จริงๆ ชมว่าเขาชอบนะ ให้ชมเล่นกับพี่เคน ก็อย่างจบเรื่องนี้เขาก็จะบอกว่าเมื่อไหร่จะมีละครกับพี่เคนอีก(หัวเราะ) ก็คงชอบดูที่เล่นด้วยกัน ถ้าเรื่องต่อไปก็ต้องรอดู เรื่องดอกส้มสีทองบทอันนั้นแรงเลย แต่น็อตจะดูรึเปล่าก็เป็นเรื่องของอนาคต(หัวเราะ)”
ขอบคุณข่าวแซ๋บจากผู้จัดการออนไลน์
“พอร์ช” เครียดข่าวจีบ “จุ๋ย” ยัน สนิทแค่ในกองฯไม่เคยรับ-ส่งถึงบ้าน
“พอร์ช” ยัน ไม่คิดปืนเกลียวจีบ “จุ๋ย” แจง สนิทกันในกองแต่ไม่มีนอกรอบ พร้อมโต้ ตามรับตามส่งนางเอกรุ่นพี่ถึงบ้าน แย้ง บ้านอยู่ไหนยังไม่รู้เลย เจ้าตัวร้อง ไม่ชอบมีข่าวเป็นมือที่สาม อยากทำงานราบรื่น
ถึงกับงานเข้าเลยทีเดียว สำหรับพระเอกคลื่นลูกใหม่ช่อง 7 สี “พอร์ช ศรัณย์ ศิริลักษณ์” ที่ตอนนี้ตกเป็นข่าวแอบตีท้ายครัว “นิว วงศกร ปรมัตถากร” ตามจีบ “จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา” หลังมีโอกาสได้ร่วมงานกับนางเอกรุ่นพี่ในเรื่อง “มนต์รักแม่น้ำมูล” จนเกิดสปาร์คกันในกองถ่าย ถึงขั้นมีคนเห็นตามรับส่งถึงบ้านฝ่ายหญิง งานนี้พอทราบข่าวก็ทำเอาพระเอกพอร์ชถึงกับร้องเสียงหลง พร้อมปฏิเสธลั่นว่าไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย
“โอ้ย (เสียงสูง) อันนี้ไม่ใช่ครับ อันนี้พลาดมาก ไม่จริงครับ กับพี่จุ๋ยจริงๆ แล้วเราเล่นละครด้วยกัน ผมสนิทกับคนในกองมนต์รักแม่น้ำมูลไม่ว่าจะเป็นทีมกล้อง ทีมไฟ หรือพี่เวียร์ก็สนิททุกคน พี่จุ๋ยไม่ใช่คนพิเศษอะไร เป็นรุ่นพี่นักแสดงมีอะไรก็ปรึกษาหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับปรึกษาหมด ส่วนพี่เขาเองก็ไม่เคยมาปรึกษาเรื่องที่เลิกกับพี่นิวนะ เราไม่ได้สนิทอะไรกันถึงขั้นนั้น ส่วนมากเจอในกองถ่ายมากกว่า ไม่เคยนอกรอบ”
“ผมรู้สึกไม่ดีที่มีข่าวเป็นมือที่สาม ของทำงานดีกว่า ส่วนที่มีคนเห็นว่าผมไปตามรับตามส่งที่บ้านพี่จุ๋ยบ่อยๆ ไม่มีครับ ไม่เคยไป บ้านอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ข่าวมีถึงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีครับ ไม่เคยไป แรงนะ ตอนนี้ขอทำงานก่อน เห็นผมยิ้มๆ อย่างนี้ จริงๆ ผมเครียดนะ เพราะว่าผมไม่ชอบเหมือนกันเรื่องข่าวมือที่สามนี่ขอเลยครับ อย่ามีเพราะไม่ชอบ มันไม่มีอะไรจริงๆ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
ถึงกับงานเข้าเลยทีเดียว สำหรับพระเอกคลื่นลูกใหม่ช่อง 7 สี “พอร์ช ศรัณย์ ศิริลักษณ์” ที่ตอนนี้ตกเป็นข่าวแอบตีท้ายครัว “นิว วงศกร ปรมัตถากร” ตามจีบ “จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา” หลังมีโอกาสได้ร่วมงานกับนางเอกรุ่นพี่ในเรื่อง “มนต์รักแม่น้ำมูล” จนเกิดสปาร์คกันในกองถ่าย ถึงขั้นมีคนเห็นตามรับส่งถึงบ้านฝ่ายหญิง งานนี้พอทราบข่าวก็ทำเอาพระเอกพอร์ชถึงกับร้องเสียงหลง พร้อมปฏิเสธลั่นว่าไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย
“โอ้ย (เสียงสูง) อันนี้ไม่ใช่ครับ อันนี้พลาดมาก ไม่จริงครับ กับพี่จุ๋ยจริงๆ แล้วเราเล่นละครด้วยกัน ผมสนิทกับคนในกองมนต์รักแม่น้ำมูลไม่ว่าจะเป็นทีมกล้อง ทีมไฟ หรือพี่เวียร์ก็สนิททุกคน พี่จุ๋ยไม่ใช่คนพิเศษอะไร เป็นรุ่นพี่นักแสดงมีอะไรก็ปรึกษาหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับปรึกษาหมด ส่วนพี่เขาเองก็ไม่เคยมาปรึกษาเรื่องที่เลิกกับพี่นิวนะ เราไม่ได้สนิทอะไรกันถึงขั้นนั้น ส่วนมากเจอในกองถ่ายมากกว่า ไม่เคยนอกรอบ”
“ผมรู้สึกไม่ดีที่มีข่าวเป็นมือที่สาม ของทำงานดีกว่า ส่วนที่มีคนเห็นว่าผมไปตามรับตามส่งที่บ้านพี่จุ๋ยบ่อยๆ ไม่มีครับ ไม่เคยไป บ้านอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ข่าวมีถึงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีครับ ไม่เคยไป แรงนะ ตอนนี้ขอทำงานก่อน เห็นผมยิ้มๆ อย่างนี้ จริงๆ ผมเครียดนะ เพราะว่าผมไม่ชอบเหมือนกันเรื่องข่าวมือที่สามนี่ขอเลยครับ อย่ามีเพราะไม่ชอบ มันไม่มีอะไรจริงๆ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
ดูโอจอมเสียบ กับ สาวขี้ยาซกมก - ซ้อเจ็ด
ในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายจะเสียดินแดนไม่เสียดินแดนแหล่ ชาวบ้านออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้นักกินเมืองหามาตรการปกป้องเอกราชของชาติ แต่ “อีเถิกคูโบต้า” ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเปิดศึกแย่งชิงพื้นที่ Kadoor กับ “หมวยขี้ยา” ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน ซ้อเห็นแล้วอยากจะจิกหัวมาด่าแม่มทั้งสองคน บ้านเมืองจะชิหายอยู่แล้ว ยังมาแย่งผัวกันอยู่ได้ ช่วยแหกขี้ตากว้างๆ แล้วก็กวาดสายตาไปให้ไกลๆ กว่าขอบเตียงบ้าง
จะได้รู้ว่าในโลกนี้มันมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่า “หำ”
พวกดารานี่ไม่รู้ยังไง รายไหนรายนั้น มักจะตายห่าเพราะกระโปกอันเดียว ถ้าไม่โดนแทงก็ไปแทงเค้าเสียอนาคตไปแล้วหลายราย อย่างล่าสุดไอ้ที่บอกว่า นักร้องคนหนึ่งไปทำแฟนคลับท้อง เล่นเอานักข่าวตามหากันให้วุ่น เที่ยวไปสัมภาษณ์นักร้องผู้ต้องสงสัยคนนั้นคนนี้ แทบจะไปควักกาเจี๊ยวเค้ามาตรวจกันเลยทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดก็แห้วแดก เพราะความจริงแล้ว ไอ้นักร้องบั้นเอวไวแตกในใส่แฟนคลับ ไม่ใช่นักร้องอักษรที่เป็นข่าวว้อย
หากแต่เป็น “ดูโอคนน้อง” นักร้องสไตล์เจป๊อป รายนี้ขึ้นชื่อเรื่องกระจู้ไวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครที่เป็นแฟนคลับติดตามผลงานลามกจกเปรตของซ้ออยู่บ่อยๆ ก็คงจะจำกันได้ว่าหมอนี่มันตูดไวซะขนาดไหน เคยสร้างวีรกามฟันดะมาแล้วนักต่อนัก เพราะดูโอคนน้องเสพติดเซ็กซ์อย่างหนัก ทุกค่ำคืนต้องออกไปล่าหอยมาสอยอยู่เป็นประจำ ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ ถ้าวันไหนไปผับก็จะไปหาสาวสายเดี่ยวมาซัด แต่ถ้าวันไหนไม่ได้เที่ยวติดภารกิจแหกปากเต้นเป้าตุงอยู่ที่คอนเสิร์ต ก็จะอาศัยหน้าหล่อๆ เป้าเริ่ดๆ ไปหากินตับ ตับ ตับ แฟนคลับ
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่ทีมงาน หลังจากสร้างความสนุกบนเวทีเสร็จ ดูโอคนน้องก็จะไปสร้างความมันบนเตียงต่อ โดยจะทำการเลือกแฟนคลับแสนสวยหนึ่งคนเอาไปจิ้มต่อที่โรงแรม เป็นแบบนี้ทุกจังหวัด เปิดศึกโยกกันยันสว่าง พอเช้าก็สะบัดตูดขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯหน้าตาเฉย ทำยังกะแฟนคลับเป็นสินค้าโอทอป 1 คอนเสิร์ต 1 คอนดอม ซะงั้น
แต่สี่เท้ายังรู้พลาดแล้วหนึ่งจะเรี๊ยวมีหรือจะไม่พลั้ง อุตส่าห์ฟันแฟนคลับแล้วทิ้งมาแล้วแทบจะทั่วประเทศ แต่สุดท้ายดูโอคนน้องก็ต้องมาตกม้าตายคาจิ๊แฟนคลับเมืองกรุง แฟนคลับคนนี้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หน้าตาจัดว่าสวยพอประมาณ แต่คาดว่าคงจะแรดเอาการ ถึงได้ตามไปเฝ้าดูโอคนน้องแทบจะทุกคอนเสิร์ต พอเฝ้าไปเฝ้ามาหอยกับหำมันคงจะไปสวัสดีกันตอนไหนก็ไม่ทราบได้ พอรู้ตัวอีกทีก็เกี่ยวกันไปเหนี่ยวซะแล้ว และท่าทางอีหนูนักศึกษาก็คงจะเด็ดไม่เบา ดูโอคนน้องก็เลยตามมาซ้ำอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ดูโอคนน้องหาที่ลงไม่ได้ ก็จะยกหูหาแฟนคลับนักศึกษา แค่เพียงไม่กี่อึดใจอีหนูคนนี้ก็จะมายกขาให้ทันใด
แต่ไม่รู้ไปยกขึ้นยกลงอีท่าไหน จู่ๆ อีหนูนักศึกษาก็เกิดท้องป่องขึ้นมา ร้องไห้กระเซอะกระเซิงไปบอกดูโอคนน้องว่าท้องแล้วจ้า เล่นเอาดูโอคนน้องถึงกับขนหัวลุก ขนตูดพึ่งจะขึ้นไม่กี่ปีจะให้ตรูเป็นพ่อคนแล้วหรอเนี่ย คิดไม่ออกบอกไม่ถูกไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร สุดท้ายดูโอคนน้องก็เลยไปสารภาพกับแม่ว่าไปทำแฟนคลับนักศึกษาท้อง เล่นเอาแม่ถึงกับหูตาเหลือกจะทำไงดีหว่า จะไปเจรจาเองก็กลัวจะเส้นไม่ใหญ่พอ ขืนทำไรพลาดพลั้งไปประเดี๋ยวอีหนูนักศึกษาเกิดของขึ้นปากสว่างไปบอกนักข่าวล่ะชิหาย ว่าแล้วแม่ก็เลยตัดสินใจพาดูโอคนน้องเข้าไปคุยกับผู้บริหารต้นสังกัดถึงเรื่องเสี้ยนไม่ลืมหูลืมตาของลูกตัวเอง ปฏิบัติการเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวก็เลยเกิดขึ้น
งานนี้คุณแม่ก็เลยแทกทีมกับต้นสังกัดไปเจรจากับแฟนคลับจ่ายเงินไปนับล้าน เพื่ออุดปากให้สนิท เรื่องมันก็เลยเงียบยังกะเป่าสาก พร้อมกับปล่อยข่าวอักษรย่อนักร้องทำแฟนคลับเป็นอักษรอื่น ที่ไม่ใช่ชื่อของดูโอคนน้องเพื่อเบี่ยงประเด็น นักข่าวก็เลยหาตัวนักร้องตูดไวไม่เจอด้วยประการฉะนี้แหละ ส่วนหนูน้อยที่อยู่ในท้องจะยังมีชีวิตอยู่หรือโดนดูดออกไปเรียบร้อยแล้ว คงมีแต่แฟนคลับกับดูโอคนน้อง และต้นสังกัดที่รู้ดีที่สุด พูดแล้วก็อนาถเสียดายอุตส่าห์เกิดมาหล่อรวยดังมีความสามารถ น่าจะทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีให้กับสังคมบ้าง
ถ้ามันคันนักจนหาที่ลงไม่ได้ ไปเล่นว่าวให้มดแดกน่าจะมีประโยชน์กว่านะยะ
เห็นดูโอคนน้องมั่วจนทำสาวท้อง “อีสาวขี้ยา” แห่งวงออหรี่เบอรี่ก็น่าจะดูเป็นเยี่ยงอย่างบ้าง ไอ้ใบ้ตาเดียวดำมะเมี่ยมมันไม่ใช่แค่สร้างความเสียวไปถึงจีสปอตได้อย่างเดียวนะจ๊ะ หากแต่ยังเสกเด็กเข้าท้องได้อีกต่างหาก ถ้าขืนยังทำตัวเป็นเด็กใจแตกขี้ยาขี้อาวอยู่แบบนี้ อนาคตคงไม่แคล้วแท้งลูก (คนที่เท่าไหร่ก็ม่ายรู้) ความสวยความดังมันไม่เข้าใครออกใครหรอก อีกไม่นานก็แก่อีกไม่นานก็เหี่ยว อีกหน่อยก็เต้นเด้งหน้าเด้งหน้าเปิดนมเปิดก้นไม่ได้แล้วจะเอาอะไรกิน ยังสาวยังสวยควรจะกลับตัวกลับใจซะใหม่ก่อนที่คนอื่นเค้าจะเอือมไปมากกว่านี้
นอกจากจะติดยามั่วไม่เลือกจนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งวงการแล้ว อีสาวขี้ยาเบอรี่ก็ยังเป็นที่อีเดียดในหมู่นักแสดง เรื่องนี้ดาราทั้งหลายที่ได้ร่วมงานกับอีสาวขี้ยาเบอรี่ในเรื่องมากผัวมากเมียต่างเมาท์แตกชนิดละครจบก็ยังไม่เลิกนินทา เพราะพฤติกรรมของอีสาวขี้ยาเบอรี่ขณะที่อยู่ในกองถ่ายนั้นเข้าขั้นอุบาทว์ได้อีก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ชอบมากองถ่ายสาย นัด 9 โมงมาเที่ยง นัดเที่ยงมาบ่าย เล่นเอาทีมงานเซ็งกันเป็นแถว แถมมาถึงก็มานั่งหาวหวอดๆ หมดสภาพนางเอก นี่ถ้าไม่ได้เมกอัพหน้าคงนึกว่าเอาปอบมาเล่นละคร แหม...ก็จะไม่ให้เยินได้ยังไงล่ะ ก็อีสาวขี้ยาเล่นติดเที่ยวอย่างหนักกลางคืนไม่หลับไม่นอนเอาแต่ปาร์ตี้เล่นยา สารรูปก็เลยออกมายังกะผีตายซาก นั่นยังไม่เท่าไหร่เพราะอย่างน้อยก็หน้าใครหน้ามันทู่เรศคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร
แต่ไอ้ที่สกปรกที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องที่อีสาวขี้ยาเบอรี่ชอบทำตัวซกมกไม่อาบน้ำอาบท่า โดยเฉพาะเวลาที่มีคิวต้องไปถ่ายที่ต่างจังหวัด แม่นี่จะไม่อาบน้ำเป็นเด็ดขาด ดาราที่เข้าฉากด้วยแทบจะอ้วกแตก โดยเฉพาะ “พระเอกตี๋รุ่นใหญ่” แทบจะกลั้นใจตาย เพราะต้องเข้าฉากเลิฟซีนด้วยเป็นประจำ ปกติก็รังเกียจชะนีอยู่แล้ว ยังมาเจอชะนีเน่าอีกซวยสุดๆ
ก็ไม่รู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคไปด่าแม่อีน้องเค้าหรือยังไง ถึงได้แบนไม่อาบน้ำมันซะเลย
อย่าว่าแต่ไม่อาบน้ำเลย ขนาดหน้าก็ยังไม่ล้าง เพราะหล่อนกลัวว่าจะไม่สวย จะยอมลบก็ต่อเมื่อต้องแต่งหน้าโบกเข้าไปใหม่เท่านั้น พอแต่งหน้าเสร็จก็ใช่ว่าคุณหล่อนจะพอใจ พักเบรกเมื่อไหร่ก็จะมานั่งยกแข้งยกขาดัดขนตาทั้งวัน สงสัยคงอยากจะให้เด้งๆ ไปข้างหน้าเหมือนท่าเต้นแอ่นระแน้ของตัวเองล่ะสิ เล่นเอาดาราคนอื่นๆ ถึงกับเหวอเกิดมาก็เพิ่งจะเคยพบเคยเจอคนที่รักสวยรักงามแต่กลับไม่รักสะอาดว่ะ...ฮ่าๆ
เรื่องซกมกถือว่าน่ารังเกียจสุดๆ แต่ก็คงไม่เท่ากับพฤติกรรมไม่มีสัมมาคารวะของอีสาวขี้ยาเบอรี่ ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร มือไม้แข็งยังกะเสือกกะเบือ ไม่เคยยกมือไหว้ใครไม่ว่าจะหัวดำหัวขาว เน่าทั้งภายในภายนอกแบบนี้ก็ไม่รู้ว่า “ลูกคุณอาค่ายยักษ์” เอาไปเป็นเมียได้ไง ล่าสุด ก็เห็นว่า เพิ่งจะควงกันไปป้าบๆ ที่โรงแรมหรูติดแม่น้ำที่มีความสูงระดับต้นๆ ของประเทศไทย เล่นเอาฮือฮากันทั้งโรงแรม เพราะถึงอีสาวขี้ยาเบอรี่จะใส่แว่นดำอันโตปิดบังใบหน้า แต่ก็แต่งตัวออหรี่เดินนมหกมาแต่ไกล พอเห็นนมเค้าก็เลยมองหน้าสิยะ ถึงได้รู้ทั่วว่า ควงผู้ชายเข้าโรงแรมนี่หว่า
ว่าแต่ว่าแต่งตัวมาพร้อมให้แก้ซะขนาดนั้น อาบน้ำเปล่าเหอะ...อี๋
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
จะได้รู้ว่าในโลกนี้มันมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่า “หำ”
พวกดารานี่ไม่รู้ยังไง รายไหนรายนั้น มักจะตายห่าเพราะกระโปกอันเดียว ถ้าไม่โดนแทงก็ไปแทงเค้าเสียอนาคตไปแล้วหลายราย อย่างล่าสุดไอ้ที่บอกว่า นักร้องคนหนึ่งไปทำแฟนคลับท้อง เล่นเอานักข่าวตามหากันให้วุ่น เที่ยวไปสัมภาษณ์นักร้องผู้ต้องสงสัยคนนั้นคนนี้ แทบจะไปควักกาเจี๊ยวเค้ามาตรวจกันเลยทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดก็แห้วแดก เพราะความจริงแล้ว ไอ้นักร้องบั้นเอวไวแตกในใส่แฟนคลับ ไม่ใช่นักร้องอักษรที่เป็นข่าวว้อย
หากแต่เป็น “ดูโอคนน้อง” นักร้องสไตล์เจป๊อป รายนี้ขึ้นชื่อเรื่องกระจู้ไวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครที่เป็นแฟนคลับติดตามผลงานลามกจกเปรตของซ้ออยู่บ่อยๆ ก็คงจะจำกันได้ว่าหมอนี่มันตูดไวซะขนาดไหน เคยสร้างวีรกามฟันดะมาแล้วนักต่อนัก เพราะดูโอคนน้องเสพติดเซ็กซ์อย่างหนัก ทุกค่ำคืนต้องออกไปล่าหอยมาสอยอยู่เป็นประจำ ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ ถ้าวันไหนไปผับก็จะไปหาสาวสายเดี่ยวมาซัด แต่ถ้าวันไหนไม่ได้เที่ยวติดภารกิจแหกปากเต้นเป้าตุงอยู่ที่คอนเสิร์ต ก็จะอาศัยหน้าหล่อๆ เป้าเริ่ดๆ ไปหากินตับ ตับ ตับ แฟนคลับ
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่ทีมงาน หลังจากสร้างความสนุกบนเวทีเสร็จ ดูโอคนน้องก็จะไปสร้างความมันบนเตียงต่อ โดยจะทำการเลือกแฟนคลับแสนสวยหนึ่งคนเอาไปจิ้มต่อที่โรงแรม เป็นแบบนี้ทุกจังหวัด เปิดศึกโยกกันยันสว่าง พอเช้าก็สะบัดตูดขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯหน้าตาเฉย ทำยังกะแฟนคลับเป็นสินค้าโอทอป 1 คอนเสิร์ต 1 คอนดอม ซะงั้น
แต่สี่เท้ายังรู้พลาดแล้วหนึ่งจะเรี๊ยวมีหรือจะไม่พลั้ง อุตส่าห์ฟันแฟนคลับแล้วทิ้งมาแล้วแทบจะทั่วประเทศ แต่สุดท้ายดูโอคนน้องก็ต้องมาตกม้าตายคาจิ๊แฟนคลับเมืองกรุง แฟนคลับคนนี้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หน้าตาจัดว่าสวยพอประมาณ แต่คาดว่าคงจะแรดเอาการ ถึงได้ตามไปเฝ้าดูโอคนน้องแทบจะทุกคอนเสิร์ต พอเฝ้าไปเฝ้ามาหอยกับหำมันคงจะไปสวัสดีกันตอนไหนก็ไม่ทราบได้ พอรู้ตัวอีกทีก็เกี่ยวกันไปเหนี่ยวซะแล้ว และท่าทางอีหนูนักศึกษาก็คงจะเด็ดไม่เบา ดูโอคนน้องก็เลยตามมาซ้ำอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ดูโอคนน้องหาที่ลงไม่ได้ ก็จะยกหูหาแฟนคลับนักศึกษา แค่เพียงไม่กี่อึดใจอีหนูคนนี้ก็จะมายกขาให้ทันใด
แต่ไม่รู้ไปยกขึ้นยกลงอีท่าไหน จู่ๆ อีหนูนักศึกษาก็เกิดท้องป่องขึ้นมา ร้องไห้กระเซอะกระเซิงไปบอกดูโอคนน้องว่าท้องแล้วจ้า เล่นเอาดูโอคนน้องถึงกับขนหัวลุก ขนตูดพึ่งจะขึ้นไม่กี่ปีจะให้ตรูเป็นพ่อคนแล้วหรอเนี่ย คิดไม่ออกบอกไม่ถูกไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร สุดท้ายดูโอคนน้องก็เลยไปสารภาพกับแม่ว่าไปทำแฟนคลับนักศึกษาท้อง เล่นเอาแม่ถึงกับหูตาเหลือกจะทำไงดีหว่า จะไปเจรจาเองก็กลัวจะเส้นไม่ใหญ่พอ ขืนทำไรพลาดพลั้งไปประเดี๋ยวอีหนูนักศึกษาเกิดของขึ้นปากสว่างไปบอกนักข่าวล่ะชิหาย ว่าแล้วแม่ก็เลยตัดสินใจพาดูโอคนน้องเข้าไปคุยกับผู้บริหารต้นสังกัดถึงเรื่องเสี้ยนไม่ลืมหูลืมตาของลูกตัวเอง ปฏิบัติการเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวก็เลยเกิดขึ้น
งานนี้คุณแม่ก็เลยแทกทีมกับต้นสังกัดไปเจรจากับแฟนคลับจ่ายเงินไปนับล้าน เพื่ออุดปากให้สนิท เรื่องมันก็เลยเงียบยังกะเป่าสาก พร้อมกับปล่อยข่าวอักษรย่อนักร้องทำแฟนคลับเป็นอักษรอื่น ที่ไม่ใช่ชื่อของดูโอคนน้องเพื่อเบี่ยงประเด็น นักข่าวก็เลยหาตัวนักร้องตูดไวไม่เจอด้วยประการฉะนี้แหละ ส่วนหนูน้อยที่อยู่ในท้องจะยังมีชีวิตอยู่หรือโดนดูดออกไปเรียบร้อยแล้ว คงมีแต่แฟนคลับกับดูโอคนน้อง และต้นสังกัดที่รู้ดีที่สุด พูดแล้วก็อนาถเสียดายอุตส่าห์เกิดมาหล่อรวยดังมีความสามารถ น่าจะทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีให้กับสังคมบ้าง
ถ้ามันคันนักจนหาที่ลงไม่ได้ ไปเล่นว่าวให้มดแดกน่าจะมีประโยชน์กว่านะยะ
เห็นดูโอคนน้องมั่วจนทำสาวท้อง “อีสาวขี้ยา” แห่งวงออหรี่เบอรี่ก็น่าจะดูเป็นเยี่ยงอย่างบ้าง ไอ้ใบ้ตาเดียวดำมะเมี่ยมมันไม่ใช่แค่สร้างความเสียวไปถึงจีสปอตได้อย่างเดียวนะจ๊ะ หากแต่ยังเสกเด็กเข้าท้องได้อีกต่างหาก ถ้าขืนยังทำตัวเป็นเด็กใจแตกขี้ยาขี้อาวอยู่แบบนี้ อนาคตคงไม่แคล้วแท้งลูก (คนที่เท่าไหร่ก็ม่ายรู้) ความสวยความดังมันไม่เข้าใครออกใครหรอก อีกไม่นานก็แก่อีกไม่นานก็เหี่ยว อีกหน่อยก็เต้นเด้งหน้าเด้งหน้าเปิดนมเปิดก้นไม่ได้แล้วจะเอาอะไรกิน ยังสาวยังสวยควรจะกลับตัวกลับใจซะใหม่ก่อนที่คนอื่นเค้าจะเอือมไปมากกว่านี้
นอกจากจะติดยามั่วไม่เลือกจนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งวงการแล้ว อีสาวขี้ยาเบอรี่ก็ยังเป็นที่อีเดียดในหมู่นักแสดง เรื่องนี้ดาราทั้งหลายที่ได้ร่วมงานกับอีสาวขี้ยาเบอรี่ในเรื่องมากผัวมากเมียต่างเมาท์แตกชนิดละครจบก็ยังไม่เลิกนินทา เพราะพฤติกรรมของอีสาวขี้ยาเบอรี่ขณะที่อยู่ในกองถ่ายนั้นเข้าขั้นอุบาทว์ได้อีก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ชอบมากองถ่ายสาย นัด 9 โมงมาเที่ยง นัดเที่ยงมาบ่าย เล่นเอาทีมงานเซ็งกันเป็นแถว แถมมาถึงก็มานั่งหาวหวอดๆ หมดสภาพนางเอก นี่ถ้าไม่ได้เมกอัพหน้าคงนึกว่าเอาปอบมาเล่นละคร แหม...ก็จะไม่ให้เยินได้ยังไงล่ะ ก็อีสาวขี้ยาเล่นติดเที่ยวอย่างหนักกลางคืนไม่หลับไม่นอนเอาแต่ปาร์ตี้เล่นยา สารรูปก็เลยออกมายังกะผีตายซาก นั่นยังไม่เท่าไหร่เพราะอย่างน้อยก็หน้าใครหน้ามันทู่เรศคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร
แต่ไอ้ที่สกปรกที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องที่อีสาวขี้ยาเบอรี่ชอบทำตัวซกมกไม่อาบน้ำอาบท่า โดยเฉพาะเวลาที่มีคิวต้องไปถ่ายที่ต่างจังหวัด แม่นี่จะไม่อาบน้ำเป็นเด็ดขาด ดาราที่เข้าฉากด้วยแทบจะอ้วกแตก โดยเฉพาะ “พระเอกตี๋รุ่นใหญ่” แทบจะกลั้นใจตาย เพราะต้องเข้าฉากเลิฟซีนด้วยเป็นประจำ ปกติก็รังเกียจชะนีอยู่แล้ว ยังมาเจอชะนีเน่าอีกซวยสุดๆ
ก็ไม่รู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคไปด่าแม่อีน้องเค้าหรือยังไง ถึงได้แบนไม่อาบน้ำมันซะเลย
อย่าว่าแต่ไม่อาบน้ำเลย ขนาดหน้าก็ยังไม่ล้าง เพราะหล่อนกลัวว่าจะไม่สวย จะยอมลบก็ต่อเมื่อต้องแต่งหน้าโบกเข้าไปใหม่เท่านั้น พอแต่งหน้าเสร็จก็ใช่ว่าคุณหล่อนจะพอใจ พักเบรกเมื่อไหร่ก็จะมานั่งยกแข้งยกขาดัดขนตาทั้งวัน สงสัยคงอยากจะให้เด้งๆ ไปข้างหน้าเหมือนท่าเต้นแอ่นระแน้ของตัวเองล่ะสิ เล่นเอาดาราคนอื่นๆ ถึงกับเหวอเกิดมาก็เพิ่งจะเคยพบเคยเจอคนที่รักสวยรักงามแต่กลับไม่รักสะอาดว่ะ...ฮ่าๆ
เรื่องซกมกถือว่าน่ารังเกียจสุดๆ แต่ก็คงไม่เท่ากับพฤติกรรมไม่มีสัมมาคารวะของอีสาวขี้ยาเบอรี่ ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร มือไม้แข็งยังกะเสือกกะเบือ ไม่เคยยกมือไหว้ใครไม่ว่าจะหัวดำหัวขาว เน่าทั้งภายในภายนอกแบบนี้ก็ไม่รู้ว่า “ลูกคุณอาค่ายยักษ์” เอาไปเป็นเมียได้ไง ล่าสุด ก็เห็นว่า เพิ่งจะควงกันไปป้าบๆ ที่โรงแรมหรูติดแม่น้ำที่มีความสูงระดับต้นๆ ของประเทศไทย เล่นเอาฮือฮากันทั้งโรงแรม เพราะถึงอีสาวขี้ยาเบอรี่จะใส่แว่นดำอันโตปิดบังใบหน้า แต่ก็แต่งตัวออหรี่เดินนมหกมาแต่ไกล พอเห็นนมเค้าก็เลยมองหน้าสิยะ ถึงได้รู้ทั่วว่า ควงผู้ชายเข้าโรงแรมนี่หว่า
ว่าแต่ว่าแต่งตัวมาพร้อมให้แก้ซะขนาดนั้น อาบน้ำเปล่าเหอะ...อี๋
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
สุดสยองตอนเที่ยวป่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นหลายปีแล้วเหมือนกัน แต่เราก็ไม่มีวันลืมหรอก เพราะเราก็ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย(แต่ไม่ได้เจอด้วยนะ)
เริ่มต้นเลยก็คือ บ้านเราจะชอบเที่ยวป่ามาก แล้วไปกันที ก็จะไปกันหลายคนหลายครอบครัวมาก แต่ละคนก็เป็นเพิ่อนพ่อเรา ตอนนั้นเราไปเที่ยวเขาและได้ค้างคืนกันที่จ.เพชรบูรณ์ มีการวางแผนกันแล้วว่าตกค่ำจะนอนไหน แต่เกิดเหตุไปนอนที่นั่นไม่ได้ รู้สึกว่าจะมีเจ้าเสด็จ เราเลยต้องหาที่นอนกันใหม่ หาอยู่จนเย็นมากๆ ก็ไปเจอหน้าผาที่ลานกว้างมากๆ เหมาะกับจำนวนคนที่ไปกันเลย แล้วมันจะค่ำแล้วก็เลยเลือกตรงนั้น ขอบรรยายที่ตรงนั้นหน่อย เป็นลานกว้างมาก ติดถนนที่มันเป็นทางโค้งด้วย แต่ไม่ค่อยมีรถ แทบจะไม่มีเลยล่ะ เพราะมันเป็นเส้นทางบนเขา แล้วจะมีที่กั้นถนนด้วย มันอยู่ตรงขอบถนน เพื่อป้องกันรถไถลออกไป
พอได้ที่พักกันแล้ว พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มกางเต้นท์ ก่อไฟกัน ส่วนเราตอนนั้นค่อนข้างเด็ก แล้วก็มีพวกเด็กๆด้วยกัน ก็เลยชวนกันไปเล่นกลางถนนเลย เพราะเย็นมากแล้ว รถแทบไม่มี จะมีก็แต่พวกชาวบ้าน ที่นานๆจะขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา เราจำได้ว่ามีลุงผู้ชายขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาแล้วมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็ยิ้มแหยๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็วิ่งเล่นที่ถนนต่อ เราก็บังเอิญไปเห็นรอยขูดที่พื้นถนน เป็นรอยขูดที่ลึกและยาว แล้วแบบเส้นรอยขูดมุ่งตรงมาที่หน้าผาที่เรากางเต๊นท์นอนด้วย แถมเราก็สังเกตเห็นที่กั้นถนน มันสภาพแบบถลอก แล้วก็บิ่นด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรอีก เล่นอย่างเดียว พอหลังจากนั้นผู้ใหญ่ก็เรียกกินข้าว ทำไรต่ออะไร แล้วก็แยกย้ายเต้นท์ใครเต้นท์มัน เพื่อเข้านอน ตอนกลางคืนนี่แหละที่เกิดเรื่อง
ตอนกลางคืนพวกเราจะไม่ปล่อยให้มันมืดนะ เราจะแขวนตะเกียงเจ้าพายุไว้ตรงกลาง ใกล้ๆกองไฟ คือพวกเราเวลากางเต้นท์ จะกางแบบเป็นวงกลม เพราะงั้นก็จะมีแสงส้มๆผ่านเข้ามาในเต้นท์ แล้วถ้ามีคนเดินผ่านเต้นท์ใกล้ๆเราจะเห็นเงา นอกจากนั้นในป่า...มันเงียบมากใช่มะ...แล้วพื้นก็เป็นหญ้าแห้ง เดินไปมาก็ได้ยินเสียง ยิ่งเงียบมากก็จะได้ยินเสียงชัดมาก
พอเข้านอนกันเสร็จคนที่หลับได้ก็ดีไป(เราด้วยที่โชคดี) แต่มีผู้ใหญ่บางคนในกลุ่มเขาไม่ได้หลับด้วย พวกที่ไม่หลับกันก็ได้ยินเสียงคน(หลายคนด้วย) เดินไปมาเสียงหญ้านี่ยุ่บยั่บเลย แถมมีเงาคนผ่านไปมาอีก แต่คนที่ดูท่าจะเจอหนักสุดก็คงเป็นเพื่อนพ่อเราที่มากะแฟน สมมติว่าชื่อบี เค้านอนอยู่ แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียก มองไปเป็นเงาผู้หญิงอุ้มเด็กมาด้วย แต่จะบอกว่าในกลุ่มที่ไปกันตอนนั้นไม่มีเด็กอ่อนเลย ผู้หญิงคนนั้นเรียกไม่พอ ทำท่าจะเข้ามาในเต้นท์แต่ก็เข้าไม่ได้(มารู้ตอนหลัง บีใส่พระไว้)
พอตอนเช้านั่งกินข้าวต้มกัน เราก็ได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันว่าเจอนู่นนี่ เจอเหมือนกันหลายคนเลยนะ ที่ว่าได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา พร้อมกับเงาน่ะ แต่ทีเห็นจะสุดๆก็บีนี่แหล่ะ เราได้ยินเราก็กลัวนะ แต่นอนแค่คืนเดียว
ต่อมาเที่ยวรอบใหม่ เราเที่ยวกันในจ.ที่เราอยู่กัน เป็นสวนผลไม้ของคนรู้จัก ก็มากับกลุ่มเก่า
ตอนกลางคืนเรานั่งอยู่กะแม่ แล้วเพื่อนพ่อคนนึงเข้ามาคุยด้วย ถามว่า "เออนี่ จำได้ไหม ที่เราไปนอนกันที่เขาจ.เพชรบูรณ์น่ะ ที่เจอเรื่องประหลาด"
แม่เราก็จำได้ถามว่า "ทำไม"
เพื่อนพ่อก็บอกว่า "พอลงจากเขาก็ได้ลองขี่รถไปถามคนแถวๆนั้นดูว่ามีอะไร ได้ความว่าเพิ่งจะมีรถโดยสารตกหน้าผาตรงที่เราไปนอนกัน คนในรถตายกันหมด โดยคล้ายๆแกจะเน้นว่า มีแม่ลูกอ่อนด้วยนะ" เรารู้นี่อึ้งเลย
แล้วเพื่อนพ่อบอกว่า แฟนเค้าพอกลับมาก็ไปทำงาน มาเจอหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุตรงนั้่น ตรงที่พวกเรานอน แต่พวกเราไม่รู้ เพราะหนังสือพิมพ์วันที่ลงข่าวนะ เรายังเที่ยวอยู่ในป่ากันอยู่เลย จะไปรู้ว่าโลกภายนอกเป็นไงได้ไง
เราก็ถามว่า "ได้จุดธุปไหว้ก่อนจะนอนรึเปล่า"
เพื่อนพ่อบอกว่า "จุดสิ ไปนอนครั้งไหนๆ ก็จะมีคนไปจุดบอกก่อนทุกทีที่ไปค้างทั้งนั้นแหละ"
เราก็ โห...นี่ขนาดจุดบอกก่อนแล้วนะ ยังเล่นพวกเราซะขนาดนี้ แถมเพื่อนพ่อเราบอกอีกว่า พอตอนเช้าก่อนจะกลับเข้าเมือง มีพวกผู้ใหญ่ผู้ชายบางคน ลองไปมองดูหน้าผาข้างล่าง บอกว่ายังมีเศษกระจก เศษไฟรถ ติดตามพวกกิ่งไม้ต้นไม้อยู่เลย
สรุปก็คือ พวกเราไปนอนที่ๆเกิดเหตุมีคนตายโหงหมู่มา แถมเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านไปไม่ถึง 3 วันเลยด้วยซ้ำ
เริ่มต้นเลยก็คือ บ้านเราจะชอบเที่ยวป่ามาก แล้วไปกันที ก็จะไปกันหลายคนหลายครอบครัวมาก แต่ละคนก็เป็นเพิ่อนพ่อเรา ตอนนั้นเราไปเที่ยวเขาและได้ค้างคืนกันที่จ.เพชรบูรณ์ มีการวางแผนกันแล้วว่าตกค่ำจะนอนไหน แต่เกิดเหตุไปนอนที่นั่นไม่ได้ รู้สึกว่าจะมีเจ้าเสด็จ เราเลยต้องหาที่นอนกันใหม่ หาอยู่จนเย็นมากๆ ก็ไปเจอหน้าผาที่ลานกว้างมากๆ เหมาะกับจำนวนคนที่ไปกันเลย แล้วมันจะค่ำแล้วก็เลยเลือกตรงนั้น ขอบรรยายที่ตรงนั้นหน่อย เป็นลานกว้างมาก ติดถนนที่มันเป็นทางโค้งด้วย แต่ไม่ค่อยมีรถ แทบจะไม่มีเลยล่ะ เพราะมันเป็นเส้นทางบนเขา แล้วจะมีที่กั้นถนนด้วย มันอยู่ตรงขอบถนน เพื่อป้องกันรถไถลออกไป
พอได้ที่พักกันแล้ว พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มกางเต้นท์ ก่อไฟกัน ส่วนเราตอนนั้นค่อนข้างเด็ก แล้วก็มีพวกเด็กๆด้วยกัน ก็เลยชวนกันไปเล่นกลางถนนเลย เพราะเย็นมากแล้ว รถแทบไม่มี จะมีก็แต่พวกชาวบ้าน ที่นานๆจะขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา เราจำได้ว่ามีลุงผู้ชายขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมาแล้วมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็ยิ้มแหยๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็วิ่งเล่นที่ถนนต่อ เราก็บังเอิญไปเห็นรอยขูดที่พื้นถนน เป็นรอยขูดที่ลึกและยาว แล้วแบบเส้นรอยขูดมุ่งตรงมาที่หน้าผาที่เรากางเต๊นท์นอนด้วย แถมเราก็สังเกตเห็นที่กั้นถนน มันสภาพแบบถลอก แล้วก็บิ่นด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรอีก เล่นอย่างเดียว พอหลังจากนั้นผู้ใหญ่ก็เรียกกินข้าว ทำไรต่ออะไร แล้วก็แยกย้ายเต้นท์ใครเต้นท์มัน เพื่อเข้านอน ตอนกลางคืนนี่แหละที่เกิดเรื่อง
ตอนกลางคืนพวกเราจะไม่ปล่อยให้มันมืดนะ เราจะแขวนตะเกียงเจ้าพายุไว้ตรงกลาง ใกล้ๆกองไฟ คือพวกเราเวลากางเต้นท์ จะกางแบบเป็นวงกลม เพราะงั้นก็จะมีแสงส้มๆผ่านเข้ามาในเต้นท์ แล้วถ้ามีคนเดินผ่านเต้นท์ใกล้ๆเราจะเห็นเงา นอกจากนั้นในป่า...มันเงียบมากใช่มะ...แล้วพื้นก็เป็นหญ้าแห้ง เดินไปมาก็ได้ยินเสียง ยิ่งเงียบมากก็จะได้ยินเสียงชัดมาก
พอเข้านอนกันเสร็จคนที่หลับได้ก็ดีไป(เราด้วยที่โชคดี) แต่มีผู้ใหญ่บางคนในกลุ่มเขาไม่ได้หลับด้วย พวกที่ไม่หลับกันก็ได้ยินเสียงคน(หลายคนด้วย) เดินไปมาเสียงหญ้านี่ยุ่บยั่บเลย แถมมีเงาคนผ่านไปมาอีก แต่คนที่ดูท่าจะเจอหนักสุดก็คงเป็นเพื่อนพ่อเราที่มากะแฟน สมมติว่าชื่อบี เค้านอนอยู่ แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียก มองไปเป็นเงาผู้หญิงอุ้มเด็กมาด้วย แต่จะบอกว่าในกลุ่มที่ไปกันตอนนั้นไม่มีเด็กอ่อนเลย ผู้หญิงคนนั้นเรียกไม่พอ ทำท่าจะเข้ามาในเต้นท์แต่ก็เข้าไม่ได้(มารู้ตอนหลัง บีใส่พระไว้)
พอตอนเช้านั่งกินข้าวต้มกัน เราก็ได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันว่าเจอนู่นนี่ เจอเหมือนกันหลายคนเลยนะ ที่ว่าได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา พร้อมกับเงาน่ะ แต่ทีเห็นจะสุดๆก็บีนี่แหล่ะ เราได้ยินเราก็กลัวนะ แต่นอนแค่คืนเดียว
ต่อมาเที่ยวรอบใหม่ เราเที่ยวกันในจ.ที่เราอยู่กัน เป็นสวนผลไม้ของคนรู้จัก ก็มากับกลุ่มเก่า
ตอนกลางคืนเรานั่งอยู่กะแม่ แล้วเพื่อนพ่อคนนึงเข้ามาคุยด้วย ถามว่า "เออนี่ จำได้ไหม ที่เราไปนอนกันที่เขาจ.เพชรบูรณ์น่ะ ที่เจอเรื่องประหลาด"
แม่เราก็จำได้ถามว่า "ทำไม"
เพื่อนพ่อก็บอกว่า "พอลงจากเขาก็ได้ลองขี่รถไปถามคนแถวๆนั้นดูว่ามีอะไร ได้ความว่าเพิ่งจะมีรถโดยสารตกหน้าผาตรงที่เราไปนอนกัน คนในรถตายกันหมด โดยคล้ายๆแกจะเน้นว่า มีแม่ลูกอ่อนด้วยนะ" เรารู้นี่อึ้งเลย
แล้วเพื่อนพ่อบอกว่า แฟนเค้าพอกลับมาก็ไปทำงาน มาเจอหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุตรงนั้่น ตรงที่พวกเรานอน แต่พวกเราไม่รู้ เพราะหนังสือพิมพ์วันที่ลงข่าวนะ เรายังเที่ยวอยู่ในป่ากันอยู่เลย จะไปรู้ว่าโลกภายนอกเป็นไงได้ไง
เราก็ถามว่า "ได้จุดธุปไหว้ก่อนจะนอนรึเปล่า"
เพื่อนพ่อบอกว่า "จุดสิ ไปนอนครั้งไหนๆ ก็จะมีคนไปจุดบอกก่อนทุกทีที่ไปค้างทั้งนั้นแหละ"
เราก็ โห...นี่ขนาดจุดบอกก่อนแล้วนะ ยังเล่นพวกเราซะขนาดนี้ แถมเพื่อนพ่อเราบอกอีกว่า พอตอนเช้าก่อนจะกลับเข้าเมือง มีพวกผู้ใหญ่ผู้ชายบางคน ลองไปมองดูหน้าผาข้างล่าง บอกว่ายังมีเศษกระจก เศษไฟรถ ติดตามพวกกิ่งไม้ต้นไม้อยู่เลย
สรุปก็คือ พวกเราไปนอนที่ๆเกิดเหตุมีคนตายโหงหมู่มา แถมเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านไปไม่ถึง 3 วันเลยด้วยซ้ำ
[Photo] SNSD กับ Lady Dior ในนิตยสาร COSMOPOLITAN!
ภาพของ Yuri, Jessica, Tiffany,SooYung,HyoYeon และ Sunny 6 สมาชิกจาก SNSD [Girl's Generation] กับ Lady Dior ในนิตยสาร COSMOPOLITAN ฉบับเดือนมีนาคม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)