วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผีเล่นซ่อนหา

เรื่องเกี่ยวกับภูตผี ปีศาจ ที่ผมได้พบนั้น มันเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่มักจะเตือนเด็กเสมอว่า “อย่าเล่นซ่อนหาเวลากลางคืน เดี๋ยวผีมันจะบังตาเอาไปซ่อน” ซึ่งผมกับเพื่อนๆไม่เคยเชื่อ

“อย่าไปเชื่อ พวกผู้ใหญ่เขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เขาแค่ไม่อยากให้เราไปเล่นซ่อนหากันในป่าเท่านั้น เพราะกลัวว่างูมันจะกัดเอา” ผมมักกล่อมเพื่อนด้วยคำพูดแนวนี้อยู่บ่อยๆ เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดกับตัวเองจริงๆ

จำได้ว่าเป็นคืนวันศุกร์ ผมไปงานวัดกับแม่ โดยที่แม่เข้าไปช่วยงานที่วัด ส่วนผมก็ไปเล่นกับเด็กรุ่นเดียวกันที่ตามพ่อแม่มาเหมือนผม 

เมื่อผมวิ่งไปสมทบกับเด็กกลุ่มนั้น พวกเขากำลังตกลงกันว่าจะเล่นซ่อนหากันดีหรือเปล่า ผมรีบสนับสนุนทันที “เล่นกันเถอะ พวกนายไม่ต้องกลัวที่พวกผู้ใหญ่ขู่หรอก ว่าผีจะเอาไปซ่อน ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เขาแค่ไม่อยากให้เราเล่นซนกันตอนกลางคืนเท่านั้นเอง” ในที่สุดทั้งกลุ่มก็ยอมเล่นซ่อนหาตามคำชวนของผม

เราเล่นซ่อนหากันอยู่หลายเที่ยวก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนตาหนึ่งที่ผมเป็นคนหา เมื่อผมเริ่มหา ผมเห็นเงารางๆวิ่งเข้าไปทางชายป่าหลังวัด ผมก็เลยวิ่งตามเข้าไป ผมพยายามวิ่งไม่ให้มีเสียงฝีเท้า ผมค่อยๆวิ่งเข้าไปในป่าโดยไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยว่า...
ป่ารกขนาดนี้แถมมืดออกขนาดนี้ใครจะกล้าเข้ามาซ่อน แล้วผมก็มาเจอเงาตะคุ่มๆที่ตามมา ถึงรู้ว่าไม่ใช่กลุ่มเพื่อนผม แต่เป็นลุงสูงอายุคนหนึ่ง

ผมร้องถามออกไป “ลุง มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่ครับ”
“มาตัดฟืนไปช่วยงานที่วัดนะ”

ผมจึงกลับออกมาเพราะไม่อยากกวนแก แต่เดินเท่าไรก็ไม่พ้นป่าสักที ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง จนผมเริ่มกลัวส่งเสียงเรียกคนโน้นคนนี้มั่วไปหมด น้ำตาเริ่มไหล อยู่ๆลุงคนที่บอกว่ามาตัดฟืนก็โผล่ออกมา ทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง แกบอกว่าไม่ต้องร้องไห้ เดินตามแกไปเดี๋ยวก็ถึงทางออกเอง ผมจึงเดินตามแกไป แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเดินมันก็ยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนผมรู้สึกเมื่อย เดินไม่ไหวจึงขอหยุดพัก แต่ลุงแกบอกว่าไม่ได้ ด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว ผมตกใจมากจึงหันหลังกลับวิ่งหนีแกอย่างไม่คิดชีวิต ผมวิ่งมาได้ซักพักเมื่อหันกลับไปมอง ลุงแกวิ่งตามมาจนในที่สุดแกวิ่งมาทันและคว้าข้อมือผมไว้ ทันทีที่แกจับมือผม จิตใต้สำนึกก็บอกว่านี่ไม่ใช่คน เพราะทั้งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งบวกกับเล็บมือยาวเฟื้อย ผมพยายามดิ้นขัดขืน ทั้งเตะทั้งถีบแต่ก็ไม่หลุด ในที่สุดผมล้มลงกับพื้นโดยมีลุงแก่นั่งคร่อมอยู่ที่หน้าอก ด้วยความกลัวผมใช้มืออีกข้างที่ไม่ถูกจับจิ้มไปที่ใบหน้าของลุงถูกนัยน์ตาพอดี ผมจึงดิ้นหลุดมาได้

ผมลุกขึ้นวิ่งหลับตาออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ในที่สุดก็ทะลุออกมายังชายป่าฝั่งตรงข้ามกับที่เข้าไปในตอนแรก ผู้ใหญ่ที่เห็นผมคนแรกตะโกนเรียกแม่ว่าเจอแล้ว พอแม่เข้ามาหาผมก็สวมกอดแม่แล้วก็หมอสติไปในอ้อมกอดแม่ 

รุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่บอกกับผมว่า เขาคงมาสั่งสอนที่ผมไปพูดจาลบหลู่ เพราะถ้าเขาจะเอาถึงตาย กะอีแค่ถูกจิ้มตา เขาคงไม่ปล่อยมาหรอก เขาเพียงแค่จะตักเตือนไม่ให้ดูถูกลบหลู่ภูตผีวิญญาณหรือสิ่งที่เราไม่รู้แน่ว่ามีจริงหรือไม่เท่านั้น

ครับ ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยพูดจาอะไรพล่อยๆอีก รวมทั้งเชื่อฟังคำของผู้หลักผู้ใหญ่อย่างเคร่งครัด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น