เมื่อผ่านช่วงเวลาของการสอบเอนทรานซ์มา ทุกคนคงจะจำภาพในบรรยากาศรับน้องได้ว่ามีแต่ความสนุกสนานเฮฮา และทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นแต่สำหรับบางคนคงจะไม่มีวันลืมวันนั้นได้เลย เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานที่ๆ เราไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เป็นรีสอร์ทเล็กๆ
เพราะมันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลย แต่พวกพี่น้องต่างก็บอกกันว่า เหมาะเป็นสถานที่ไว้ก๊งเหล้าตอนกลางคืน และตอนช่วงบ่ายๆ หลังจากที่คนอื่นได้พาน้องๆไปตะลุยเข้าฐานต้อนรับน้องใหม่กันแล้วก็ถึงหน้าที่ของคนที่ต้องคอยจัดขั้นตอนพิธีการ และพวกเราทั้ง 5 คน ต้องไปตัดต้นกลัวยเพิ่ม เพื่อที่จะนำใบตองมาตกแต่งบายศรีเพิ่ม เพราะที่นำมาจากกรุงเทพฯ พออยู่บนรถก็มีความเสียหายไปบ้าง
ใน 5 คนนั้นมีตัวดิฉันเองและเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเรียนรุ่นเดียวกัน 1 คน และยังมีรุ่นน้องตามไปด้วยอีก 3 คน เป็นหญิง 2 ชาย 1 พอเห็นว่าได้ที่ตัดต้นกล้วยแล้วต่างก็ยกมือขอเจ้าที่เจ้าทางว่าขอตัดใบตองไปเพื่อใช้ทำพิธีทำอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ก่อนจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ชาย 2 คนที่ต้องตัดต้นกล้วยพวกผู้หญิงจะมาช่วยกันแบกเฉยๆ แต่แล้วในที่สุดน้องผู้หญิงที่ไปด้วยคนหนึ่งกลับพูดว่า ทำไมต้นนี้ตัดยากตัดเย็นเสียจริง ยางก็เยอะ ซึ่งทุกคนก็บอกเออน่า !!! อย่าเที่ยวบ่นไปหน่อยเลย
แต่ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นความเดือดร้อน ในเวลาต่อมาเพราะอยู่ๆ เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่เคยพบเจอ และไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อกำลังจะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับน้องๆ จู่ๆ น้องคนนั้นก็มีอาการโวยวาย แล้วนั่งตัวสั่นขึ้นมา ทุกคนก็ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเธอเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร
บรรยากาศจากความเงียบสงบกลายมาเป็นความโกลาหลในทันที เพราะทุกคนนึกว่าเธอจะเป็นลมบ้าหมู หรือเป็นโรคอะไร ช่วยกันปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ จนไปยุ่งกับเขามากมีการตวาดใส่มาว่า ไม่ต้องมายุ่งกับกู พวกแกทำอะไรลงไปทำไมไม่ขออนุญาตกูก่อน
ที่เคยนั่งล้อมกันเป็นวงกลมใหญ่กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันหมดเพราะทุกคนต่างก็มากระจุกตัวเบียดเสียดอยู่ด้วยกันคราวนี้หัวหน้ารุ่นพี่ที่เหมือนเป็นคนดูแล ทุกคนพูดออกมาว่าตอนเย็นใครไปทำอะไรมาหรือเปล่า ได้ขอโทษเจ้าที่เจ้าทางหรือยัง จนดิฉันนึกถึงคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นได้ รุ่นน้องคนหนึ่งได้ถอดสร้อยพระนำมาคล้องคอให้กับน้องผู้หญิงรู้สึกว่าน้องเค้ามีอาการสงบเงียบลง แต่นั่งหน้าตาซึมตลอด จนตลอดทั้งคืนนั้นพวกรุ่นพี่เองก็นอนกันไม่ค่อยหลับทุกคน เลยตัดสินใจว่าจะพารุ่นน้องคนนั้นกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปปรึกษากับพ่อแม่แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้ปกครองของน้องคนนั้นฟัง น้องคนที่เป็นเจ้าของสายสร้อยได้ติดตามมาด้วยจากกาญจนบุรีแนะนำให้ไปหาหลวงพี่ที่เขาสนิทสนม เผื่อท่านจะช่วยอะไรได้บ้างเพราะพ่อแม่ของน้องเห็นสภาพลูกเขาที่ได้แต่นั่งตาซึม มองซ้ายมองขวาแต่ไม่มีการพูดจาสนทนา หากใครไปมองเข้านานๆจะมีอาการจ้องตาเขม็งตอบ ทุกคนจะกลัวกันมากหลังจากพาน้องไปพบกับหลวงพี่จึงได้รู้ว่า
คนที่ตามน้องมาด้วยนั้น เค้าโกรธมากที่ไปพูดดูถูกเขา หลวงพี่บอกว่าเธอเป็นนางตานี ให้รีบถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เขา และกล่าวคำขอขมาลาโทษไปด้วย พร้อมกับกรวดน้ำ จากนั้นพวกเราก็นั่งในวัด พูดคุยกับหลวงพี่ไปเรื่อยๆ
ในที่สุดน้องเขาก็หายเป็นปกติ งงว่าทำไมถึงมาทำอะไรกันที่วัดนี้ ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือ กำลังนั่งทำพิธีกันอยู่ในคืนรับน้อง พวกเราเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าตัวฟัง เธอถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาเลยและบอกว่าวันหลังจะระวังคำพูดให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่น้องคนนั้นหรอกค่ะที่กลัวทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็หวาดกลัวกันหมด จากนั้นทุกคนก็ได้แกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะทุกคนได้ตรากตรำอดตาหลับขับตานอนกันมาเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเต็มๆ ทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น