วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เธออยู่ที่ห้องสมุด

หนูเรียนอยู่ปี 2 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง รู้สึกรักและผูกพันกับสถานที่และเพื่อนๆมาก ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่หนูคนเดียว เชื่อว่าคนที่ผูกพันมากกว่าหนูคงมีอีกไม่น้อย เช่น "พี่อ้อ" คนหนึ่งละค่ะ

เธออยู่ปี 3 คณะบริหารธุรกิจ คนละคณะกับหนู แต่เราเจอกันบ่อย ถึงจะคนละคณะแต่ก็มานั่งเป็นเพื่อนคุยกัน นั่งกินขนมด้วยกันได้

พี่อ้อบอบบางราวกับต้นอ้อจริงๆ เรียนเก่งมาก เรียบร้อยนุ่มนวล ยังไม่มีแฟน แต่ดูเศร้าๆพิกล คนอื่นๆนินทาว่าพี่อ้อน่าสงสาร คุณพ่อเป็นทหารดุมาก เคี่ยวเข็ญอยากให้ลูกได้ดี มีการศึกษาสูงๆ ลูกต้องเรียนเก่ง คะแนนเป็นเลิศ ซึ่งพี่อ้อก็ทำได้มาตั้งแต่ต้น...เธอได้ที่หนึ่งของชั้นมาตลอด หากเป็นที่สองขึ้นมาละก็โดนพ่อตีน่วมเลย

เธอเป็นลูกคนโต รับกรรมเช่นนี้คนเดียว น้องอีกสองคนเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่พ่อไม่เคี่ยวเข็ญ...เรียนเก่งเลิศอย่างเธอน่าจะเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาล แต่คุณพ่อเธอบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้ดีเด่นด้านธุรกิจ จึงส่งลูกมาเรียนเอาวิชา

พี่อ้อเป็นที่รักของเพื่อนฝูงและอาจารย์ พ่อค้าแม่ค้าก็รักเธอทุกคน แต่แล้วเมื่อกลางเทอมสุดท้ายปีก่อน เธอป่วยค่ะ...ไม่ใช่ป่วยทางกาย แต่ป่วยทางจิตอย่างรุนแรง!

เริ่มจากที่เธอร้องไห้ตาแดงทุกครั้งเมื่อถึงวิชาเรียนชั่วโมงสุดท้าย ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไรก็ปลอบถามกัน เธอสะอื้นเลย...บอกว่าไม่อยากออกจากมหาวิทยาลัยกลับไปบ้านค่ะ...เธอบอกว่า เวลา 5-6 โมงเย็น ตะวันตกดิน เป็นเวลาที่เธอเศร้ามาก

พวกเราปรึกษาอาจารย์ ทุกคนเป็นห่วง อยากคุยกับทางบ้านเพื่อช่วยแก้ปัญหาแต่สายเกินไปค่ะ...เราทราบว่าเธอพยายามฆ่าตัวตาย เธอแขวนคอแต่น้องชายมาเห็นช่วยไว้ได้ ไม่ช้าเธอก็กรีดข้อมือเป็นแผลเหวอะหวะ ตอนนี้เธออยู่โรงพยาบาล

เช้าวันหนึ่ง หนูแทบช็อกเมื่อเห็นประกาศติดบอร์ด... เชิญชวนไปงานศพพี่อ้อ

สาเหตุที่บอกไว้ในบอร์ดคืออุบัติเหตุ แต่เรื่องจริงคือเธอทุบบานเกล็ดหน้าต่างโรงพยาบาลมาเชือดคอ เชือดข้อมือตายอย่างน่าสงสารที่สุด

พี่อ้อตายไม่ถึง 24 ชั่วโมงเธอก็มามหาวิทยาลัยแล้วค่ะ!

มีหลายๆคนเห็นใครคล้ายเธอไปหมด พวกเราหัวเราะสนุกว่าตาฝาด

แต่ตอนเย็นวันนั้น ภารโรงอายุราว 50 แกร้องโวยวายออกมาจากห้องสมุด หน้าตาท่าทางขวัญเสียมากๆ เล่นเอาเด็กที่อยู่เกือบทุ่มวันนั้นตกใจแตกตื่นกันใหญ่

แกเล่าว่า ขณะกำลังจะปิดห้องสมุด แกเข้าไปสำรวจดู เห็นเด็กนักศึกษาหญิงนั่งอยู่คนเดียว แกเลยว่าให้กลับบ้านเถอะ แกจะล็อกห้อง เด็กคนนั้นหันมา แกมองหน้าไม่ชัด...แต่หัวเด็กผู้หญิงนักศึกษาค่อยๆโตขึ้นๆ ขยายใหญ่จนแกรู้ว่าถูกผีหลอก

พวกเราที่ไปใช้ห้องสมุดจะเจอกับพี่อ้อบ่อยมาก ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ และคนก็ไปใช้ห้องสมุดกันเนืองแน่น

บางคนจะพบเธอนั่งกับพื้น ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ตามซอกชั้นต่างๆ บางทีก็หลบมุมหันหลังนั่งคนเดียวปะปนกับคนเป็นๆ

วิญญาณพี่อ้อวนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ราวกับเธอยังมีชีวิตอยู่กระนั้น!

ต่อให้รักขนาดไหนเราก็ขยาดนะคะ เวลาเดินๆอยู่หากเจอใครเดินอยู่ข้างหน้าคล้ายๆพี่อ้อละก็เราจะผวากันเป็นแถว...กลัวเธอหันมายิ้มให้ละเป็นวิ่งเปิดเปิงแน่

เรื่องที่ร้ายที่สุดเกิดขึ้นวันสุดท้ายที่สอบเสร็จ

วันนั้นพวกเราหลายคนอยู่เย็นเพราะนัดจะไปเที่ยวกันเกือบทุ่มแล้ว นักศึกษาภาคค่ำหยุดเรียน ทำให้บรรยากาศวังเวง ตอนนั้นไม่ยักมีใครนึกถึงพี่อ้อ...ลืมด้วยซ้ำค่ะ

แต่แล้วเจ้าแซม เพื่อนที่ทะลึ่งกว่าเพื่อนเกิดเงยมองบนห้องสมุดซึ่งอยู่ชั้น 5 โน่น มันมองแล้วตาค้าง...ค้างอยู่อย่างนั้น ทำให้พวกเราพลอยมองตามสายตามันไปมั่ง...พวกเราเกือบ 10 คนมองภาพนั้นแล้วตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน

พี่อ้อยืนหน้าห้องสมุด แม้จะมืดเราก็จำเธอได้ เธอยิ้มฟันขาว แต่งชุดนักศึกษา ท่าทางเหมือนยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด เธอยิ้มและโบกมือให้พวกเราอย่างร่าเริง สดใส

เจ้าแซมถามเสียงสั่นว่า...เห็นมั้ย?

เราพูดไม่ออก แล้วพี่อ้อก็หายไปในความมืด เชื่อเลยค่ะว่าผีมีจริง พี่อ้อมีความสุข และคงจะสิงสู่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่เธอรักไปตราบนานเท่านาน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น