วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
“แอน อลิชา” ปลื้มถ่ายบิกินี่ฟีดแบคดี โม้แหลกไม่ได้ตั้งใจถ่ายแต่ภาพก็ยังออกมาสวย
“แอน อลิชา” ปลื้มถ่ายชุดว่ายน้ำฟีดแบคดีหนังสือขายเกลี้ยง โม้แหลกว่าไม่ได้ตั้งใจถ่าย ไม่ได้ฟิตหุ่น แต่ภาพก็ยังออกมาสวย แต่คงไม่ถ่ายทุกปีเพราะไม่ใช่นางแบบ พร้อมเผยไม่เจอ “ภูริ” นานเป็นเดือนแล้ว เพราะแฟนหนุ่มติดเล่นละครเวที บอกถ้าใช่ก็ใช่เอง แต่ถ้าห่างกันแล้วต้องเลิกกันก็คงช่วยไม่ได้
จัดว่าเป็นนางเอกสาวที่ผ่านการถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำมาแล้วหลายครั้ง สำหรับนางเอกสาว “แอน อลิชา ไล่ศัตรูไกล” ซึ่งมีทั้งถ่ายเดียวและถ่ายคู่กับหวานใจอย่างดาราหนุ่ม “ภูริ หิรัญพฤกษ์” ที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดสาวแอนก็กลับมานุ่งบิกินี่รับซัมเมอร์อีกครั้ง
“ที่ถ่ายชุดว่ายน้ำไปก็ดีค่ะ แต่ไม่เซ็กซี่เท่าคราวที่แล้ว จริงๆ ถ่ายแบบไม่ได้เตรียมตัวด้วยเพราะไม่ได้คิดจะถ่ายปีนี้ก็เลยไม่ได้ลดหุ่น แต่พอดีทางหนังสือแล้วก็ทางพี่ใหญ่โทรมาชวนบอกว่าช่วยมาถ่ายให้หน่อย ไม่รู้จะเอาใครแล้ว ก็เลยโอเคในเมื่อผู้ใหญ่ขอและไว้ใจเราก็โอเคถ่ายก็ได้ แต่เอาจริงๆ ไม่พร้อมเลย เพราะว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์เพิ่งไปญี่ปุ่นมา 2-3 อาทิตย์เลย กลับมาก็อ้วนมาก ก็ไม่ได้กะว่าจะถ่ายหรอก แต่พอดีพี่เขาโทรมาชวนเองก็เลยถ่ายก็ได้ แต่บอกเขาไปแล้วนะตอนนี้ไม่ได้ผอมมากนะ เขาก็บอกไม่เป็นไรได้ๆ”
“แต่พอถ่ายออกมาก็ดีค่ะ ไว้ใจอยู่แล้ว ทีมที่ถ่ายก็เคยทำงานด้วยกันแล้ว พี่ใหญ่เองก็เป็นตากล้องเทวดาอยู่แล้วสามารถทำให้ทุกคนสวยได้ อาจจะมีเรื่องของมุมกล้องและเรื่องของการโพสต์ท่าช่วย ก็ฝากชีวิตไว้กับเขาเลยล่ะ ก็ออกมาดีค่ะ(หัวเราะ) ตอนนี้หนังสือก็หาไม่ได้แล้วนะ ฟีดแบคดีค่ะ คนชมเยอะนะ คือมันก็มีสองกระแสอยู่แล้วล่ะ แต่ส่วนใหญ่กระแสดีมากกว่า ต้องยกเครดิตให้พี่ใหญ่ค่ะ เพราะพี่ใหญ่ถ่ายเก่งมาก หลายคนก็ยังไม่คิดว่าเป็นแอนเพราะหน้าฝรั่งมาก”
“ครั้งนี้ถ่ายคนเดียวค่ะ ภูริเขาคงเบื่อมั้งคะ(หัวเราะ) เขาคงไม่อยากให้เห็นอะไรคู่กันตลอดเวลา แล้วพี่ใหญ่เขาก็ติดต่อแอนมาคนเดียวด้วย แต่ตัวเขาก็เห็นแล้วค่ะ เขาก็เฉยๆ นะ ไม่ได้อะไร เพราะแอนเป็นคนที่ใส่ชุดว่ายน้ำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คือเราเป็นเด็กฝรั่ง เวลาไปทะเลเราก็ใส่ชุดว่ายน้ำ ไม่ใช่ว่าใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดปิดไม่ใช่อย่างนั้น เราก็ทำตัวปกติเหมือนคนธรรมดา มีเวลาไปทะเลก็ใส่ชุดว่ายน้ำ เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น”
“แต่ก็คงไม่ได้คิดว่าจะต้องถ่ายต่อไปทุกปีหรอก เพราะแอนไม่ใช่แนวเซ็กซี่ ไม่ใช่นางแบบ มันก็แค่ถ้าเราเจอคนที่เราทำงานด้วยแล้วรู้สึกสบายใจและไว้ใจเขาก็อาจจะร่วมงานอีก แต่ไม่ได้แพลนว่าต้องถ่ายทุกปี 3-4 ปีซ้อนมันก็คงน่าเบื่อเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉินอย่างคราวนี้อีกถ้าหุ่นมันแย่จริงๆ ก็คงไม่ถ่าย”
เผยความรักกับหวานใจ “ภูริ” ยังไม่มีอะไรคืบหน้ากว่าเดิม แม้จะเพิ่งกลับจากไปสวีทที่ญี่ปุ่นด้วยกัน แต่ก็แทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย และตอนนี้ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเดือนแล้วด้วย
“ความรักตอนนี้ไม่มีอะไรให้อัพเดทเลย เหมือนเดิม ตอนนี้แทบไม่ได้เจอเลยเพราะเขาซ้อมละครเวทีทุกวัน เป็นเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอเลย แล้วเวลาก็ไม่ตรงกันเลยเพราะว่าแอนเพิ่งทำรายการใหม่เป็นรายการท่องเที่ยวด้วย ต้องไปถ่ายต่างจังหวัดทีก็ 6 วันเลย อย่างไปภูเก็ต 6 วัน กระบี่ 6 วันตลอด ก็แทบไม่ได้เจอกันเลย ไม่ได้กลัวว่าจะห่างอีกนะ เพราะถ้าคนเรามันจะใช่ก็ใช่ ถ้ามันอยู่ไม่รอดเพราะว่าแค่ไม่เจอกันมันก็ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ แต่มันก็ต้องมีวิธีแหละ อย่างบีบีคุยกัน โทรหากัน มันก็มีวิธีสื่อสารเยอะแยะโดยที่ไม่ต้องเจอตัว”
“ตอนไปญี่ปุ่นด้วยกันจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันหรอก(หัวเราะ) เพราะว่าแยกกันเล่น แยกกันไปตลอด เฉพาะเวลาที่กินข้าวถึงได้มาอยู่ด้วยกันในกลุ่มทุกคน เป็นแนวเพื่อนมากกว่าไม่ได้สวีทเลย คือมันก็ไม่มีโอกาสให้เขาเข้าหาเราเท่าไหร่ด้วยแหละ เพราะตั้งแต่เขาซ้อมละครเวทีมาร่วม 2 เดือน งานอื่นเขาก็เยอะมาก ก็ดีแล้วล่ะให้ทำงาน แอนเองก็งานเยอะค่ะปีนี้ แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้แพลนอะไรไว้นะ คิดว่ามีงานดีกว่าไม่มี มีงานก็รับงานทำงานให้เต็มที่ ไม่ได้มีแพลนจะทำอะไรพิเศษเลย”
“ก็ไม่ได้ปลงเรื่องความรักนะ ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข ให้อยู่กับปัจจุบันไม่ต้องไปคิดถึงอดีต ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคต แค่นี้แอนว่าทุกคนก็จะแฮปปี้อยู่ได้ ไม่ปลงหรอกทุกคนต้องมีความรักอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าเราจะอยู่ยังไงกับความรักของเราให้เรามีแล้วมีความสุขเท่านั้นเอง แอนเองก็ไม่ได้มีใครเข้ามานะ ก็อาจจะเพราะคนภายนอกเขารู้อยู่แล้วว่าเรายังคบกัน เพราะแอนก็เปิดเผยอยู่แล้วว่าเวลาคบใคร เราเองก็มีคนที่รู้จักเราและรู้จักเขา มีคนเห็นตลอดเวลา ฉะนั้นคนก็คงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
จัดว่าเป็นนางเอกสาวที่ผ่านการถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำมาแล้วหลายครั้ง สำหรับนางเอกสาว “แอน อลิชา ไล่ศัตรูไกล” ซึ่งมีทั้งถ่ายเดียวและถ่ายคู่กับหวานใจอย่างดาราหนุ่ม “ภูริ หิรัญพฤกษ์” ที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดสาวแอนก็กลับมานุ่งบิกินี่รับซัมเมอร์อีกครั้ง
“ที่ถ่ายชุดว่ายน้ำไปก็ดีค่ะ แต่ไม่เซ็กซี่เท่าคราวที่แล้ว จริงๆ ถ่ายแบบไม่ได้เตรียมตัวด้วยเพราะไม่ได้คิดจะถ่ายปีนี้ก็เลยไม่ได้ลดหุ่น แต่พอดีทางหนังสือแล้วก็ทางพี่ใหญ่โทรมาชวนบอกว่าช่วยมาถ่ายให้หน่อย ไม่รู้จะเอาใครแล้ว ก็เลยโอเคในเมื่อผู้ใหญ่ขอและไว้ใจเราก็โอเคถ่ายก็ได้ แต่เอาจริงๆ ไม่พร้อมเลย เพราะว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์เพิ่งไปญี่ปุ่นมา 2-3 อาทิตย์เลย กลับมาก็อ้วนมาก ก็ไม่ได้กะว่าจะถ่ายหรอก แต่พอดีพี่เขาโทรมาชวนเองก็เลยถ่ายก็ได้ แต่บอกเขาไปแล้วนะตอนนี้ไม่ได้ผอมมากนะ เขาก็บอกไม่เป็นไรได้ๆ”
“แต่พอถ่ายออกมาก็ดีค่ะ ไว้ใจอยู่แล้ว ทีมที่ถ่ายก็เคยทำงานด้วยกันแล้ว พี่ใหญ่เองก็เป็นตากล้องเทวดาอยู่แล้วสามารถทำให้ทุกคนสวยได้ อาจจะมีเรื่องของมุมกล้องและเรื่องของการโพสต์ท่าช่วย ก็ฝากชีวิตไว้กับเขาเลยล่ะ ก็ออกมาดีค่ะ(หัวเราะ) ตอนนี้หนังสือก็หาไม่ได้แล้วนะ ฟีดแบคดีค่ะ คนชมเยอะนะ คือมันก็มีสองกระแสอยู่แล้วล่ะ แต่ส่วนใหญ่กระแสดีมากกว่า ต้องยกเครดิตให้พี่ใหญ่ค่ะ เพราะพี่ใหญ่ถ่ายเก่งมาก หลายคนก็ยังไม่คิดว่าเป็นแอนเพราะหน้าฝรั่งมาก”
“ครั้งนี้ถ่ายคนเดียวค่ะ ภูริเขาคงเบื่อมั้งคะ(หัวเราะ) เขาคงไม่อยากให้เห็นอะไรคู่กันตลอดเวลา แล้วพี่ใหญ่เขาก็ติดต่อแอนมาคนเดียวด้วย แต่ตัวเขาก็เห็นแล้วค่ะ เขาก็เฉยๆ นะ ไม่ได้อะไร เพราะแอนเป็นคนที่ใส่ชุดว่ายน้ำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คือเราเป็นเด็กฝรั่ง เวลาไปทะเลเราก็ใส่ชุดว่ายน้ำ ไม่ใช่ว่าใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดปิดไม่ใช่อย่างนั้น เราก็ทำตัวปกติเหมือนคนธรรมดา มีเวลาไปทะเลก็ใส่ชุดว่ายน้ำ เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น”
“แต่ก็คงไม่ได้คิดว่าจะต้องถ่ายต่อไปทุกปีหรอก เพราะแอนไม่ใช่แนวเซ็กซี่ ไม่ใช่นางแบบ มันก็แค่ถ้าเราเจอคนที่เราทำงานด้วยแล้วรู้สึกสบายใจและไว้ใจเขาก็อาจจะร่วมงานอีก แต่ไม่ได้แพลนว่าต้องถ่ายทุกปี 3-4 ปีซ้อนมันก็คงน่าเบื่อเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉินอย่างคราวนี้อีกถ้าหุ่นมันแย่จริงๆ ก็คงไม่ถ่าย”
เผยความรักกับหวานใจ “ภูริ” ยังไม่มีอะไรคืบหน้ากว่าเดิม แม้จะเพิ่งกลับจากไปสวีทที่ญี่ปุ่นด้วยกัน แต่ก็แทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย และตอนนี้ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเดือนแล้วด้วย
“ความรักตอนนี้ไม่มีอะไรให้อัพเดทเลย เหมือนเดิม ตอนนี้แทบไม่ได้เจอเลยเพราะเขาซ้อมละครเวทีทุกวัน เป็นเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอเลย แล้วเวลาก็ไม่ตรงกันเลยเพราะว่าแอนเพิ่งทำรายการใหม่เป็นรายการท่องเที่ยวด้วย ต้องไปถ่ายต่างจังหวัดทีก็ 6 วันเลย อย่างไปภูเก็ต 6 วัน กระบี่ 6 วันตลอด ก็แทบไม่ได้เจอกันเลย ไม่ได้กลัวว่าจะห่างอีกนะ เพราะถ้าคนเรามันจะใช่ก็ใช่ ถ้ามันอยู่ไม่รอดเพราะว่าแค่ไม่เจอกันมันก็ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ แต่มันก็ต้องมีวิธีแหละ อย่างบีบีคุยกัน โทรหากัน มันก็มีวิธีสื่อสารเยอะแยะโดยที่ไม่ต้องเจอตัว”
“ตอนไปญี่ปุ่นด้วยกันจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันหรอก(หัวเราะ) เพราะว่าแยกกันเล่น แยกกันไปตลอด เฉพาะเวลาที่กินข้าวถึงได้มาอยู่ด้วยกันในกลุ่มทุกคน เป็นแนวเพื่อนมากกว่าไม่ได้สวีทเลย คือมันก็ไม่มีโอกาสให้เขาเข้าหาเราเท่าไหร่ด้วยแหละ เพราะตั้งแต่เขาซ้อมละครเวทีมาร่วม 2 เดือน งานอื่นเขาก็เยอะมาก ก็ดีแล้วล่ะให้ทำงาน แอนเองก็งานเยอะค่ะปีนี้ แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้แพลนอะไรไว้นะ คิดว่ามีงานดีกว่าไม่มี มีงานก็รับงานทำงานให้เต็มที่ ไม่ได้มีแพลนจะทำอะไรพิเศษเลย”
“ก็ไม่ได้ปลงเรื่องความรักนะ ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข ให้อยู่กับปัจจุบันไม่ต้องไปคิดถึงอดีต ไม่ต้องไปคิดถึงอนาคต แค่นี้แอนว่าทุกคนก็จะแฮปปี้อยู่ได้ ไม่ปลงหรอกทุกคนต้องมีความรักอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าเราจะอยู่ยังไงกับความรักของเราให้เรามีแล้วมีความสุขเท่านั้นเอง แอนเองก็ไม่ได้มีใครเข้ามานะ ก็อาจจะเพราะคนภายนอกเขารู้อยู่แล้วว่าเรายังคบกัน เพราะแอนก็เปิดเผยอยู่แล้วว่าเวลาคบใคร เราเองก็มีคนที่รู้จักเราและรู้จักเขา มีคนเห็นตลอดเวลา ฉะนั้นคนก็คงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554
[EVENT] Super Giant Asia Tour 2010 คนล้น!! ถึงขนาดงดขายบัตร!
ใครที่ชอบความหวาดเสียว อยากเล่นเครื่องเล่นมันส์ๆ ใน Super Giant Asia Tour 2010 ที่เมืองมองธานีต้องวางแผนการเดินทางและวันที่จะไปเล่นให้ดี!! ไปผิดวันเจอคนแน่นจนล้นแน่นอน!! ทางผู้จัดถึงขนาดประกาศงดจำหน่ายบัตรเล่นเครื่องเล่นกันเลย!!
ล่าสุดจากการไปเซอร์เวย์สถานที่การจัดสวนสนุกที่เมืองทองธานีมาเมื่อวันพุธที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา พบว่ารถติดมากกก แถมยังเจอกับกองทัพนักเรียน นักศึกษาที่มาเที่ยวงานอีกเพียบ!! แถมทีมงานผู้จัดยังมีการประกาศอีกว่า เปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมงาน (ทั้งๆ ที่เป็นวันธรรมดา) แต่ไม่เปิดขายบัตรเล่นเครื่องเล่นแล้ว เนื่องจากจำนวนคนที่ล้นหลามเกินโควต้า
สอบถามมาได้ความว่า วันพุธจะเป็นวันที่มีโปรโมชั่น ของนักเรียนนักศึกษา สามารถใช้บัตรซื้อบัตรเล่นเครื่องเล่นได้ในราคาพิเศษ จาก 450 บาทเหลือเพียง 199 บาทเท่านั้น!!!
ใครที่บ้านอยู่ไม่ไกลก็คงไม่เท่าไหร่ แต่คนที่อุตส่าห์เดินทางมาจากที่ไกลๆ แล้วมาเจอแบบนี้ คงไม่พอใจเท่าไหร่นะคะ ถ้ายังไงก่อนจะมาเที่ยวงาน ใคที่ไม่ชอบคนเยอะๆ หรืออยากเล่นเครื่องเล่นหลายๆ รอบ แนะนำให้มาวันที่ไม่มีโปรโมชั่นค่ะ (ใครที่ซื้อบตรล่วงหน้าไว้ สามารถมาวันไหนก็ได้ ^^ สบายไปเรย) ถ้าไงก่อนจะมาก้อรบกวนตรวจสอบวันเวลา และเส้นทางการเดินทางมาให้ดีๆ ก่อนน้า ^^ จะได้ไม่เสียอารมณ์
วันธรรมดา
วันจันทร์ - Lady Day! ผู้หญิงซื้อบัตรเครื่องเล่นได้ในราคาพิเศษ 199 บาท
วันอังคาร - ไม่มีโปรโมชั่น ซื้อบัตรราคาเต็มเท่านั้น ผู้ใหญ่ 450 บาท เด็ก 250 บาท
วันพุธ - แสดงบัตรนักเรียนนักศึกษา ซื้อบัตรเรื่องเล่นราคาพิเศษ 199 บาท
วันพฤหัสบดี - ไม่มีโปรโมชั่น
วันศุกร์ - ไม่มีโปรโมชั่น
วันเสาร์อาทิตย์ - ไม่มีโปรโมชั่น + เก็บค่าเข้า ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท
(วันอาทิตย์จะมีขบวนพาเหรดตัวการ์ตูนน่ารักๆ จากวอลส์ดิสนีย์ด้วยนะ ^^)
ใครไปลอง ไปเล่นกันมาบ้างแล้ว ก็มาแชร์กันบ้างนะคะ ^^
วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
Beastly บีสต์ลี่ย์ เทพบุตรอสูร
ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Beastly
ชื่อไทย บีสต์ลี่ย์ เทพบุตรอสูร
ประเภทหนัง Romantic/Drama
ผู้กำกับ Daniel Barnz
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 17 March 2011
ความยาวหนัง 95 minutes
นักแสดง Vanessa Hudgens, Alex Pettyfer, Mary-Kate Olsen, Neil Patrick Harris, Lisa Gay Hamilton
ตัวอย่างหนังใหม่ Beastly บีสต์ลี่ย์ เทพบุตรอสูร | เรื่องย่อ
สร้างจากนิทานสุดคลาสิค Beauty and the Beast หรือ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ที่ทุกคนรู้จักกันดี โดยดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัย โดยเล่าถึง Rob Kingson (Peter Krause) หนุ่มหล่อ พ่อรวย สุดเฟอเฟ็ค แต่นิสัยเสีย หลงตัวเอง จนถูกสาวปริศนา สาปให้กลายเป็นอสูรหน้าตาอัปลักษณ์ เพื่อทดสอบให้เขาค้นหารักแท้ที่ไม่มองที่ภายนอกให้เจอ เพื่อที่จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม จนได้มาเจอกับสาวสวย Lindy Taylor (Vanessa Hudgens) จนต้องมาลุ้นกันว่า ทั้งสองคนจะเป็นรักแท้จนคลายคำสาปได้หรือไม่!
A modern-day take on the "Beauty and the Beast" tale where a New York teen is transformed into a hideous monster in order to find true love.
ชื่ออังกฤษ Beastly
ชื่อไทย บีสต์ลี่ย์ เทพบุตรอสูร
ประเภทหนัง Romantic/Drama
ผู้กำกับ Daniel Barnz
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 17 March 2011
ความยาวหนัง 95 minutes
นักแสดง Vanessa Hudgens, Alex Pettyfer, Mary-Kate Olsen, Neil Patrick Harris, Lisa Gay Hamilton
ตัวอย่างหนังใหม่ Beastly บีสต์ลี่ย์ เทพบุตรอสูร | เรื่องย่อ
สร้างจากนิทานสุดคลาสิค Beauty and the Beast หรือ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ที่ทุกคนรู้จักกันดี โดยดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัย โดยเล่าถึง Rob Kingson (Peter Krause) หนุ่มหล่อ พ่อรวย สุดเฟอเฟ็ค แต่นิสัยเสีย หลงตัวเอง จนถูกสาวปริศนา สาปให้กลายเป็นอสูรหน้าตาอัปลักษณ์ เพื่อทดสอบให้เขาค้นหารักแท้ที่ไม่มองที่ภายนอกให้เจอ เพื่อที่จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม จนได้มาเจอกับสาวสวย Lindy Taylor (Vanessa Hudgens) จนต้องมาลุ้นกันว่า ทั้งสองคนจะเป็นรักแท้จนคลายคำสาปได้หรือไม่!
A modern-day take on the "Beauty and the Beast" tale where a New York teen is transformed into a hideous monster in order to find true love.
Ramayana รามเกียรติ์
ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Ramayana
ชื่อไทย รามเกียรติ์
ประเภทหนัง Animation
ผู้กำกับ -
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 21 April 2011
ตัวอย่างหนังใหม่ Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่ | เรื่องย่อ
รามเกียรติ์ เป็น วรรณคดีประเภทมหากาพย์แห่งชมพูทวีปที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานผู้รวบรวมครั้งแรกคือฤๅษีวาลมีกิ เรื่องและตัวละครใน รามเกียรติ์ มีความสัมพันธ์กับอารยธรรมของเอเซียอย่างลึกล้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบถิ่น อินเดียและในดินแดนสุวรรณภูมิรวมถึงไทย
รามเกียรติ์ เรื่องราวแห่งสงครามระหว่างความดีกับความชั่วตำนานการต่อสู้ระหว่างพระรามเจ้าชายแห่งอโยธยา (ผู้เป็นอวตารแห่งพระนารายณ์ที่มีหนุมานเป็นทหารเอก)กับทศกัณฑ์เจ้าแห่งกรุง ลงกา มายา ดิจิตอล มีเดีย ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์และอนิเมชั่นชั้นแนวหน้าที่มีผลงานการผลิตงาน ภาพยนตร์และโฆษณารวมทั้งเกมส์คอมพิวเตอร์ระดับอินเตอร์ ได้นำ รามเกียรติ์ จากมหากาพย์วรรณคดีมาจัดสร้างเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ โดยใช้เวลา 2 ปีในการวางแผนงานการสร้าง โปรดั๊กชั่นดีไซน์ และใช้เวลา 3 ปีด้วยทุนสร้างมหาศาลในนฤมิตกรรม 3D อนิเมชั่นที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง
พันธมิตร ให้เสียงภาษาไทย
ชื่ออังกฤษ Ramayana
ชื่อไทย รามเกียรติ์
ประเภทหนัง Animation
ผู้กำกับ -
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 21 April 2011
ตัวอย่างหนังใหม่ Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่ | เรื่องย่อ
รามเกียรติ์ เป็น วรรณคดีประเภทมหากาพย์แห่งชมพูทวีปที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานผู้รวบรวมครั้งแรกคือฤๅษีวาลมีกิ เรื่องและตัวละครใน รามเกียรติ์ มีความสัมพันธ์กับอารยธรรมของเอเซียอย่างลึกล้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบถิ่น อินเดียและในดินแดนสุวรรณภูมิรวมถึงไทย
รามเกียรติ์ เรื่องราวแห่งสงครามระหว่างความดีกับความชั่วตำนานการต่อสู้ระหว่างพระรามเจ้าชายแห่งอโยธยา (ผู้เป็นอวตารแห่งพระนารายณ์ที่มีหนุมานเป็นทหารเอก)กับทศกัณฑ์เจ้าแห่งกรุง ลงกา มายา ดิจิตอล มีเดีย ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์และอนิเมชั่นชั้นแนวหน้าที่มีผลงานการผลิตงาน ภาพยนตร์และโฆษณารวมทั้งเกมส์คอมพิวเตอร์ระดับอินเตอร์ ได้นำ รามเกียรติ์ จากมหากาพย์วรรณคดีมาจัดสร้างเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ โดยใช้เวลา 2 ปีในการวางแผนงานการสร้าง โปรดั๊กชั่นดีไซน์ และใช้เวลา 3 ปีด้วยทุนสร้างมหาศาลในนฤมิตกรรม 3D อนิเมชั่นที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง
พันธมิตร ให้เสียงภาษาไทย
Ironclad ทัพเหล็กโค่นอำนาจ
ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Ironclad
ชื่อไทย ทัพเหล็กโค่นอำนาจ
ประเภทหนัง Epic/History
ผู้กำกับ Jonathan English
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 21 April 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง James Purefoy, Brian Cox, Derek Jacobi, Kate Mara, Paul Giamatti
ตัวอย่างหนังใหม่ Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่ | เรื่องย่อ
เรื่องราวที่สร้างมาจากเหตุการณ์จริงในยุคศตวรรษที่ 13 เมื่อกษัตริย์ผู้โหดเหี้ยม อย่าง คิงจอห์น (พอล จิอาแม็ตติ) ทำลายข้อตกลงในสัญญาแมคนาคาร์ตา ที่จะทำให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน โดยการสร้างกองทัพขึ้นมาเพื่อยึดอำนาจกลับมาเป็นของตน มีเพียงฐานที่มั่นสุดท้าย และกลุ่มนักรบกลุ่มสุดท้าย ที่ปราสาทโรเชสเตอร์ ซึ่ง บารอน อัลบานี่ย์ (ไบรอัน ค็อก) รวบรวมขึ้นมา นำโดย มาร์แชลล์ (เจมส์ เพียวฟอย) หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมที่มีปมเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต, เลดี้ อิซาเบล (เคท มาร่า) แห่งปราสาทโรเชสเตอร์ ,เรดินัล เดอ คอร์นฮิลล์ (เดเร็ค จาโคบี้), บัคเก็ตส์ (เจสัน เฟลมมิ่ง) นักรบผู้กระหายเลือดและความสนุกเท่านั้น และ กาย (อนูริน เบอร์นาร์ด) นักรบวัยรุ่นที่ออกสู่สงครามครั้งแรก ซึ่งพวกเขาต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและอิสรภาพของประชาชน
It is the year 1215 and the rebel barons of England have forced their despised King John to put his royal seal to the Magna Carta, a noble, seminal document that upheld the rights of free-men. Yet within months of pledging himself to the great charter, the King reneged on his word and assembled a mercenary army on the south coast of England with the intention of bringing the barons and the country back under his tyrannical rule. Barring his way stood the mighty Rochester castle, a place that would become the symbol of the rebel\\\\\\\'s momentous struggle for justice and freedom.
ชื่ออังกฤษ Ironclad
ชื่อไทย ทัพเหล็กโค่นอำนาจ
ประเภทหนัง Epic/History
ผู้กำกับ Jonathan English
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 21 April 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง James Purefoy, Brian Cox, Derek Jacobi, Kate Mara, Paul Giamatti
ตัวอย่างหนังใหม่ Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่ | เรื่องย่อ
เรื่องราวที่สร้างมาจากเหตุการณ์จริงในยุคศตวรรษที่ 13 เมื่อกษัตริย์ผู้โหดเหี้ยม อย่าง คิงจอห์น (พอล จิอาแม็ตติ) ทำลายข้อตกลงในสัญญาแมคนาคาร์ตา ที่จะทำให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน โดยการสร้างกองทัพขึ้นมาเพื่อยึดอำนาจกลับมาเป็นของตน มีเพียงฐานที่มั่นสุดท้าย และกลุ่มนักรบกลุ่มสุดท้าย ที่ปราสาทโรเชสเตอร์ ซึ่ง บารอน อัลบานี่ย์ (ไบรอัน ค็อก) รวบรวมขึ้นมา นำโดย มาร์แชลล์ (เจมส์ เพียวฟอย) หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมที่มีปมเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต, เลดี้ อิซาเบล (เคท มาร่า) แห่งปราสาทโรเชสเตอร์ ,เรดินัล เดอ คอร์นฮิลล์ (เดเร็ค จาโคบี้), บัคเก็ตส์ (เจสัน เฟลมมิ่ง) นักรบผู้กระหายเลือดและความสนุกเท่านั้น และ กาย (อนูริน เบอร์นาร์ด) นักรบวัยรุ่นที่ออกสู่สงครามครั้งแรก ซึ่งพวกเขาต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและอิสรภาพของประชาชน
It is the year 1215 and the rebel barons of England have forced their despised King John to put his royal seal to the Magna Carta, a noble, seminal document that upheld the rights of free-men. Yet within months of pledging himself to the great charter, the King reneged on his word and assembled a mercenary army on the south coast of England with the intention of bringing the barons and the country back under his tyrannical rule. Barring his way stood the mighty Rochester castle, a place that would become the symbol of the rebel\\\\\\\'s momentous struggle for justice and freedom.
ผีในป่าช้า
สมัยผมเป็นเด็กเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมไปเรียนหนังสือต่อชั้น ม.ศ.1-3 อีกอำเภอหนึ่ง ได้เช่าอยู่รวมกับเพื่อน เดือนหนึ่งหรือมีวันหยุดติดต่อกันถึงจะกลับบ้าน เพราะระยะทางจากอำเภอไปบ้านของผมมันไกลกันมาก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 6-7 ชั่วโมง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เทอมสุดท้ายของการเรียนหนังสือระดับชั้น ม.ศ.3 (สมัยนั้น) ของผม ทางโรงเรียนให้นักเรียนหยุดดูหนังสือ เพื่อเตรียมตัวสอบเทอมปลายเป็นเวลา 7 วัน ผมจึงถือโอกาสกลับไปดูหนังสือที่บ้าน
สมัยก่อนนานๆ ทีจะมีรถบรรทุกสิบล้อเข้าไปซื้อผลิตผลพืชไร่ของชาวบ้าน เฉพาะช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนเท่านั้น หากเป็นฤดูฝนถนนจะใช้การไม่ได้
ผมอยู่บ้านดูหนังสือครบ 7 วันตามกำหนด วันสุดท้ายเป็นวันอาทิตย์ ผมจะต้องเดินทางกลับโรงเรียนเพื่อไปสอบ วันนั้นได้มีรถบรรทุกสิบล้อวิ่งผ่านเข้ามาแวะจอดรับซื้อพืชผลในหมู่บ้าน พ่อของผมถือโอกาสเข้าไปถามคนขับรถว่า...เย็นนี้จะผ่านมาทางนี้อีกหรือเปล่า? คนขับบอกว่าจะผ่านมา พ่อบอกว่าจะให้ลูกชายอาศัยรถเข้าเมืองด้วย
เวลาผ่านไปถึงเย็น รถสิบล้อคันนั้นยังไม่มา แต่รอไปเรื่อยๆ จนเวลา 4-5 ทุ่ม รถก็ยังไม่โผล่มา ใจคอชักจะไม่ดีเสียแล้ว ผมชักใจคอสับสนว้าวุ่น เพราะวันพรุ่งนี้จะหยุดเรียนไม่ได้ มันมีความสำคัญกับอนาคตของผมมาก
ประมาณสองยาม ผมตัดสินใจว่าจะต้องไปคืนนี้ให้ได้ แม้จะไปคนเดียวก็ต้องไป ผมขอร้องให้พ่อเดินไปส่งห่างจากหมู่บ้านราว 10 ก.ม. จากนั้นผมก็เดินทางต่อตามลำพังคนเดียว ไม่มีไฟฉายส่องทาง อาศัยแสงสลัวจากดวงจันทร์ส่องลงมาพอให้เห็นทางเดิน สัมภาระมีห่อหนังสือที่นำมาอ่าน และมีข้าวสารเหนียวใส่ถุงจำนวนหนึ่งสะพายบนบ่า
ถนนสมัยก่อนเป็นทางเกวียนอ้อมวกวน ผมจึงต้องใช้เส้นทางลัดที่ชาวบ้านใช้กันอยู่เดินผ่านทุ่งนา ข้ามลำห้วยและป่าละเมาะ ป่าทึบมีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมไปตลอดทาง แม้ว่าทางลัดจะน่ากลัว เคยมีชาวบ้านโดนผีหลอกมาหลายรายก็ตาม
ผมจะต้องไปให้ถึงตอนเช้าทันเข้าห้องเรียนสอบ...
ยอมรับว่ายามที่เดินกลางคืนคนเดียว มันวิเวกวังเวงน่าหวาดกลัว มองไปรอบๆ ตัวมีแต่ความเงียบและมืดห้อมล้อมไปทั่ว...ตลอดทางที่เดินไม่มีอะไรผิดปกติให้เห็น
ผมเดินผ่านหมู่บ้านโพธิ์ชัย อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เลยไปประมาณ 15 กิโลเมตร และผมรู้ดีว่าต้องเดินผ่านป่าช้า ใจเริ่มเต้นตุ้บตั้บ เกิดความกลัวผีขึ้นมาเสียกลางคัน ผมตัดสินใจสลัดความกลัวผีที่ผุดขึ้นมาในสมอง เร่งฝีเท้าเดินมุ่งหน้าต่อไป
ผมคาดว่าช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณตี 4 เศษ ขณะที่เดินไปตามถนนผ่านป่าช้ามาถึงครึ่งทาง ผมเหลือบเข้าไปในป่าช้า เห็นกองไฟกองหนึ่งลุกแดงโชติยามที่มีลมพัดมา ห่างจากถนนราว 10 กว่าเมตร คิดว่าคงจะมีการเผาศพกันแน่ แล้วผมก็ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนและนั่งล้อมรอบกองไฟ เกิดความอุ่นใจขึ้นมาว่าจะได้เพื่อนบ้าง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ขอความช่วยเหลือ หูผมแว่วเสียงพวกเขาคุยกัน แต่จับใจความไม่ได้ว่าพูดคุยอะไรกันบ้าง
ใจคอผมไม่ค่อยจะดี ทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนั้น กลัวว่าสิ่งที่เห็นจะไม่ใช่คน กลัวว่าจะเป็นผี! ขาแข้งมันสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้อยากจะมองเข้าไปในป่าช้า ผมคอยแต่จ้องมองดูคนกลุ่มนั้นนานหลายนาที
ก่อนที่ภาพของคนกลุ่มนั้นที่ยืนๆ นั่งๆ อยู่รอบกองไฟเผาศพ ค่อยๆ ทยอยเดินผละ...เลือนหายไปทีละคนไปต่อหน้าต่อตาผม
เกิดมาไม่เคยเห็นผีมาก่อนเลย! ไม่รู้ว่าผีมีตัวตนอย่างไร เพียงแต่ได้ยินเขาเล่าถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของผีให้ฟัง เพิ่งจะเห็นผีในป่าช้าเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่แหละ
ผมยืนขาแขนสั่น ตัวเย็นอยู่นานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน ผมสลัดอาการมึนงงและความสับสนที่ผุดขึ้นมาภาพที่เห็นในป่าช้าทิ้ง ขณะเดียวกัน ชาวบ้านกลุ่มที่คุยกันมามีด้วยกันหลายคนทั้งชายและหญิง ล้วนวัยกลางคนต่างหาบสัมภาระเดินผ่านไป ครั้นผมตั้งสติได้รีบเดินตามหลังชาวบ้านกลุ่มนั้นไป...ผมมีเพื่อนเดินไปด้วยกันแล้ว
ทราบว่าชาวบ้านกลุ่มนี้นำพืชผลไปขายในอำเภอที่ผมเรียนอยู่ และชาวบ้านยังบอกว่า ใครก็ตามที่เดินผ่านป่าช้าตอนกลางคืนมักจะโดนผีหลอก พวกเขายังเจอผีหลอนหลอกมาแล้วหลายครั้งจนชาชิน ทุกวันนี้ไม่กลัวผีในป่าช้าหลอกอีกแล้ว!
ผมไปถึงบ้านเช่าราว 7 โมงเช้า อาบน้ำแต่งตัว ไม่ต้องกินข้าวเพราะกลัวจะสาย แล้วเข้าห้องเรียนไม่ทัน รีบรุดเดินทางไปโรงเรียนทันทีและทันเวลาสอบตามกำหนด
นั่นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม และผมจดจำคืนวันนั้นได้ดี ทั้งเชื่อว่า "ผีมีจริง" จนตราบถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 30 ปีแล้วก็ตามครับ
Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่
ตัวอย่างหนังใหม่จาก www.youtube.com
ชื่ออังกฤษ Let the Bullet Fly
ชื่อไทย คนท้าใหญ่
ประเภทหนัง Action
ผู้กำกับ เจียงเหวิน
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 17 February 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง เจียงเหวิน, โจวเหวินฟะ
ตัวอย่างหนังใหม่ Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่ | เรื่องย่อ
อาจาง (เจียงเหวิน) หัวหน้ากลุ่มกองโจรชื่อดัง หลบหนีออกจากเมืองใหญ่ไปชุบตัวในหมู่บ้าน ด้วยการปลอมตัวเป็นนายกเทศมนตรี แต่การเสวยสุขของเขาต้องพบกับอุปสรรคชิ้นโต เมื่อเขาเผชิญหน้ากับ อาหวง (โจวเหวินฟะ) ขาใหญ่ประจำหมู่บ้านที่มีลูกบ้าไม่ด้อยไปกว่ากัน ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง สองต้องใช้ทั้งไหวพริบและความโหดเต็มพิกัด ในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่
ชื่ออังกฤษ Let the Bullet Fly
ชื่อไทย คนท้าใหญ่
ประเภทหนัง Action
ผู้กำกับ เจียงเหวิน
ผู้แต่ง -
วันที่เข้าฉาย 17 February 2011
ความยาวหนัง -
นักแสดง เจียงเหวิน, โจวเหวินฟะ
ตัวอย่างหนังใหม่ Let the Bullet Fly คนท้าใหญ่ | เรื่องย่อ
อาจาง (เจียงเหวิน) หัวหน้ากลุ่มกองโจรชื่อดัง หลบหนีออกจากเมืองใหญ่ไปชุบตัวในหมู่บ้าน ด้วยการปลอมตัวเป็นนายกเทศมนตรี แต่การเสวยสุขของเขาต้องพบกับอุปสรรคชิ้นโต เมื่อเขาเผชิญหน้ากับ อาหวง (โจวเหวินฟะ) ขาใหญ่ประจำหมู่บ้านที่มีลูกบ้าไม่ด้อยไปกว่ากัน ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง สองต้องใช้ทั้งไหวพริบและความโหดเต็มพิกัด ในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่
กระแส T-Pop ฮอต!! สุดๆ ในแดนมังกร นักร้องไทยโกยทรัพย์เพียบ!!
หากกล่าวถึงกระแส J-Pop (Japanese pop culture) คนส่วนใหญ่ย่อมทราบว่าหมายถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นอันเป็นที่นิยมไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์เพลง เป็นต้น ซึ่งยุคหนึ่งได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศไทย ต่อมาจึงถูกแทนที่ด้วยกระแส K-Pop (Korean pop culture) ซึ่งก็คือวัฒนธรรมเกาหลี ในรูปแบบที่คล้ายๆกับ J-Pop นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยปัจจุบัน ทั้ง J-Pop และ K-Pop อาจจะต้องหลีกทางให้กับ กระแสความนิยมวัฒนธรรมไทย ซึ่งอาจเรียกได้ว่ากระแส T-Pop (Thai pop culture) ที่กำลังมาแรงอย่างยิ่งในตลาดบันเทิงขนาดใหญ่ระดับโลก อย่างประเทศจีน
หากกล่าวถึงธุรกิจบันเทิงจีนในประเทศไทย ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกต่อไป เพราะดารา ละคร ภาพยนตร์ นักร้อง ตลอดจนเพลงจีนได้เข้ามาผลิดอกออกผลในตลาดบันเทิงของไทยมาเนิ่นนานหลายทศวรรษ แต่สำหรับ พ.ศ. นี้กลับเกิดปรากฏการณ์ตรงกันข้าม เพราะธุรกิจบันเทิงไทยหลายแขนง โดยเฉพาะละครไทย รวมทั้งดารา-นักร้องหลายคน กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดบันเทิงแดนมังกรที่มีขนาดและเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ผลโหวตของผู้ชมจากสื่อจีนหลายสำนักระบุว่า ความนิยมละครไทยนั้นถึงกับแซงหน้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าตลาดบังเทิงเอเชียไปเรียบร้อยแล้ว
จากข้อมูลการสำรวจความนิยมละครโทรทัศน์ จากรายการแห่งหนึ่งในประเทศจีนพบว่ามีผู้โหวตให้ละครโทรทัศน์เกาหลีและละครโทรทัศน์ญี่ปุ่นพอๆกันคือ จำนวน 2,000 กว่าคะแนน แต่ละครโทรทัศน์ไทยกลับมีผลโหวตมากถึง 8,000 กว่าคะแนน และแน่นอนว่าสำหรับประเทศที่มีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน ตลาดธุรกิจบันเทิงจีนจึงย่อมมีขนาดใหญ่โตมโหฬารตามไปด้วย
รายงานจากเว็บไซต์ โซหู ของประเทศจีน ได้กล่าวถึงละครไทยว่า ละครไทยดำเนินเรื่องอย่างแหลมคมแต่ไม่หยาบกระด้าง เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอบอุ่น โรแมนติกแต่ไม่ลามก มีอารมณ์ขันแต่ไม่ไร้รสนิยม และที่สำคัญมีเนื้อหาสอดคล้องกับรสนิยมชาวจีน ทั้งยังมีดาราที่เป็นลูกครึ่งเยอะกว่า หากเทียบกับละครเกาหลี ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งฮ่องกง ซึ่งที่เคยเป็นที่นิยมมากในยุคก่อนหน้านี้
ปัจจุบันละครไทยในเมืองจีนส่วนใหญ่ถูกฉายผ่านทางสถานีโทรทัศน์อานฮุย และ สถานีโทรทัศน์กลางแห่งชาติจีน ช่อง 8 (CCTV8) โดยเมื่อปีพ.ศ.2547 ได้มีการนำละครไทยเรื่อง "เลือดขัตติยา"《出逃的公主》 เข้ามาชิมลางตลาดในประเทศจีน แต่ไม่ถือว่าโด่งดังมากนัก เนื่องจากผู้ชมยังคงชื่นชอบละครเกาหลีอยู่มาก แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของละครไทยที่มีที่ยืนในตลาดเมืองจีน ส่วนละครไทยที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในจีนจริงๆ คือละครเรื่อง "สงครามนางฟ้า"《天使之争》 ซึ่งออกฉายในประเทศจีนในปี พ.ศ.2552 จากนั้นจึงตามมาด้วย รอยอดีตแห่งรัก 《伤痕我心》 "พรุ่งนี้ก็รักเธอ"《明天依然爱你》 "บ่วงรักกามเทพ"《丘比特的圈套》 "แก้วล้อมเพชร"《玻钻之争》 "ดอกรักริมทาง"《爱在旅途》 "แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา" 《我家的天使与恶魔》 เป็นต้น ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นละครจากค่ายเอ็กแซ็กท์
เมื่อละครไทยเป็นที่นิยม สิ่งที่ตามมาคือดาราแสดงนำย่อมได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทั้งนี้ในช่วงแรกที่ละครไทยเป็นที่นิยมในจีน ดาราดังรุ่นแรกที่มีรายชื่อติดอันดับยอดนิยมในแดนมังกรก็คือ "ติ๊ก" เจษฎาภรณ์ ผลดี เนื่องจากชาวจีนเห็นว่าเป็นดาราชายที่หุ่นดีมีเสน่ห์ดึงดูด หน้าตาหล่อไร้ที่ติ, "เคน" ธีรเดช วงค์พัวพันธ์ เพราะเป็นสุภาพบุรุษ รักครอบครัว และ "อั้ม" อธิชาติ ชุมนานนท์ ซึ่งมีดีที่หุ่น กล้ามใหญ่ ส่วนดาราหญิงที่ชาวจีนรู้จักดี อาทิ "อ้อม" พิยดา จุฑารัตนกุล, "อั้ม" พัชราภา ไชยเชื้อ, "นุ่น" วรนุช วงสวรรค์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ณ ชั่วโมงนี้ ดาราไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนมังกร จนเรียกได้ว่าแฟนคลับตี๋หมวยล้นหลามไม่แพ้ในประเทศตนเองก็ต้องเป็น "ป้อง" ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ รวมทั้ง "บี้" สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจย์ โจว (โจว เจี๋ยหลุน) เมืองไทยเลยทีเดียว
ไม่เพียงแต่ละครไทยเท่านั้นที่โกอินเตอร์ แต่ภาพยนตร์ไทย และเพลงไทยก็เริ่มเข้าไปสร้างความนิยมให้กับหนุ่มสาวแดนมังกรด้วยเช่นกัน เช่นภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม"《暹罗之恋》 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งในประเทศจีน ส่งผลให้นักแสดงนำในเรื่องและวงดนตรี AUGUST BAND โด่งดังเป็นที่รู้จักตามไปด้วย
เว็บไซต์ โซหู ยังรายงานอีกด้วยว่า กระแสความนิยมของแฟนคลับชาวจีนนั้น ไม่ได้มีแค่เพียงการตั้งกลุ่มรักดารา หรือสร้างเว็บไซต์เพื่อติดตามผลงานเท่านั้น เพราะเมื่อกระแสความนิยมถึงจุดๆหนึ่ง การรอติดตามละครที่นำมาฉายทางโทรทัศน์ช่องปกติเริ่มไม่พออีกต่อไป แฟนคลับจึงต้องสรรหาละครใหม่ หรือข่าวสารเกี่ยวกับศิลปินที่ตนชื่นชอบจากทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาจีน ดังนั้นแฟนคลับหลายคนถึงขนาดลงเรียนภาษาไทยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งยังมีการตั้งกลุ่มแปลบทบรรยายเป็นภาษาไทยแลกเปลี่ยนกันอีกด้วย ในทางหนึ่งจึงอาจถือได้ว่าเป็นการเผยแพร่ภาษาไทยและดึงดูดให้ชาวจีนสนใจภาษาไทยมากยิ่งขึ้นด้วย
ในทางกลับกัน ในฟากของนักแสดงไทยเอง ก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มโอกาสในการไปเติบโตยังประเทศซึ่งมีผู้ชมนับพันล้านคน นักแสดงไทยบางคน อย่างเช่น"ป้อง" ณวัฒน์ ได้รับเชิญให้ไปเล่นละครในเมืองจีน แต่ยังคงติดปัญหาที่ภาษา ศิลปินหลายคนเริ่มต้นเรียนภาษาจีน ฝึกพูดภาษาจีน ร้องเพลงจีนสำหรับไปโชว์ตัว หรือดังเช่นที่ วง AUGUST BAND ต้องออกเพลงภาษาจีน ที่มีชื่อว่า 《爱情不是一切》 (ความรักไม่ใช่ทุกอย่าง) มาเอาใจแฟนๆชาวจีนโดยเฉพาะ เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคสมัยนี้ใครที่สามารถสื่อสารภาษาจีนย่อมได้เปรียบและมีโอกาสมากกว่า ในตลาดบันเทิงอันมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลบนแดนมังกรแห่งนี้
จองวูซอง (Jung Woo Sung) ยังคงรู้สึกดีๆ กับลีจิอา (Lee Ji Ah)
วงการต่างช็อคเกี่ยวกับข่าวฟ้องหย่าระหว่างซอแทจิ (Seo Tai Ji) และลีจิอา (Lee Ji Ah) และเมื่อเร็วๆ นี้ลีจิอาขอโทษเพื่อนชายคนปัจจุบันของเธอจองวูซอง (Jung Woo Sung)
ตัวแทนของเธอกล่าวว่า “พวกเราได้รับทราบว่า ลีจิอาได้ติดต่อกับจองวูซอง เพื่อที่จะขอโทษเขาไม่ให้รู้สึกแย่กับอดีตของเธอ และเธอเองก็รู้สึกเสียใจในเรื่องข่าวแย่ๆ ที่เธอเป็นเหตุก่อให้เกิดเรื่องกับจองวูซอง เนื่องจากอดีตของเธอ”
จองวูซองที่ยกเลิกปาร์ตี้วันเกิดของเขา และกล่าวผ่านทางตัวแทนของเขาว่า “จองวูซองยังคงรักลีจิอา เขายังคงเชื่อในตัวเธอ และกำลังรอสำหรับการกลับมาของเธอ แต่เขายังคงต้องฟันฝ่าอุปสรรคของเขาเองในเวลานี้ ข่าวลือที่ว่าพวกเขาทั้ง 2 คนต้องหย่าเนื่องจากเรื่องนี้นั้นไม่เป็นความจริง”
จองวูซองจะฉลองวันเกิดของเขาด้วยโซจูกับ CEO เอเจนซี่ของเขา
ชุดปาร์คบอม (Park Bom) ในเพลงใหม่มีราคากว่า 20,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ!!
ปาร์คบอม (Park Bom) จากวง 2NE1 เปิดตัว MV เพลง Don’t Cry ออกไปแล้ว และแฟนๆ คงได้สังเกตเห็นเคื่องแต่งกายของเธอที่ดีไซน์โดย Alexander McQueen
เครื่องแต่งกายของเธอนั้นราคาประมาณ 20,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ แต่คนในวงการแฟชั่นกล่าวว่า เครื่องแต่งกายชุดนี้น่าจะราคาสูงกว่านั้น เนื่องจากเป็นผลงานชุดสุดท้ายของ McQueen ก่อนที่จะเขาจากโลกนี้ไป
เครื่องแต่งกายนี้เป็นของครอบครัว McQueen แต่หลังจากที่ทราบว่า McQueen เคยร่วมงานกับวง Big Bang และวง 2NE1 ดังนั้นครอบครัวจึงยอมรับคำขอของยางฮยอนซอค (Yang Hyun Suk) เพื่อให้นำชุดนี้มาใช้ใน MV นี้
ป้ายกำกับ:
2NE1,
ข่าวเกาหลี,
Kpop News,
McQueen,
Park Bom
วงการเกาหลีช็อค!! ซอแทจี (Seo Tai Ji) และลีจิอา (Lee Ji Ah) แต่งงานกันแล้ว 14 ปี!!
วงการเกาหลีต่างช็อคและงงกับข่าวการแต่งงานระหว่างซอแทจี (Seo Tai Ji) อายุ 39 ปีที่มีชื่อจริงว่าจองฮยอนชอล (Jung Hyun Chul) ที่เป็นเหมือนตำนานบิดาของวงการ K-Pop และนักแสดงหญิงลีจิอา (Lee Ji Ah) อายุ 33 ปีที่มีชื่อจริงว่าคิมจิอา (Kim Ji Ah)
ข่าวนี้สร้างความช็อคให้กับทุกๆ คนหลังจากที่ข่าวนี้เปิดเผยออกมาอีกว่า ตอนนี้ทั้ง 2 คนกำลังอยู่ระหว่างการหย่า และเป็นมีลูกแล้วอีก 2 คน
ทั้ง 2 คนปิดบังเรื่องการแต่งจากทุกคนในโลกถึง 14 ปี และนึ่คือสิ่งที่ทุกคนประหลาดใจอย่างมาก ลีจิอามักเก็บเรื่องส่วนตัวของเธอเป็นความลับอย่างจริงจังจากประวัติการเป็นซีลิบิตี้ของเธอ เพื่อที่จะไม่ให้ตัวแทนในวงการและแฟนๆ ทราบเรื่องนี้
ลีจิอาเป็นนักแสดงในปี 2007 หลังจากที่มานำแสดงในละครเรื่อง The Legend และละครเรื่องนี้มีนักแสดงนำชายยอดนิยมเบยองจุน (Bae Yong Joon) แล้วยังเป็นละครที่ได้รับความสนใจอย่างมาก
ความสัมพันธ์ของลีจิอากับนักแสดงชายจองวูซอง (Jung Woo Sung) จากละครเรื่อง Athena ที่ทุกคนจับตามอง น่าจะเป็นเหตุผลเบื้องหลังในการหย่ากระทันหันเช่นนี้ สื่อยังรายงานว่าพวกเขาเริ่มเกิดเป็นข่าวเมื่อครั้งที่ไปปรากฎตัวที่ศาลเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 18 เมษายน
ถึงแม้ว่าลีจิอาจะขอหย่าแบบขอความยินยอม แต่ต้องส่งเรื่องถึงศาล เนื่องจากซอแทจีไม่ยอมตามคำประนีประนอมของเธอ ตอนนี้ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีทนายในคดีนี้คนละ 4 คนทำเรื่องฟ้องร้องครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคดีของครอบครัว
ตัวแทนของจองวูซองประกาศว่า “พวกเราได้เช็คเกี่ยวกับข่าวของซอแทจีและลีจิอา แต่พวกเราไม่ทราบอะไรมาก่อนเลย”
ทาง Key East ที่เป็นเอเจนซี่ของลีจิอากล่าวว่า “ไม่เพียงที่พวกเราไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องฟ้องศาลเท่านั้น แต่พวกเรายังไม่ทราบถึงเรื่องแต่งงานของเธอกับซอแทจี และตอนนี้พวกเราไม่สามารถติดต่อเธอได้”
ยูนโฮ (Yunho) ใจบุญ! บริจาคเงินเป็นทุนการศึกษาเด็กนักเรียนหลายคนตลอด 7 ปี!
ยูนโฮ (Yunho) จากวงดงบังชินกิ (TVXQ) ส่งเงินทุนการศึกษาให้กับนักเรียนหลายๆ คนในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา
ในรายการ Dalgona ของทางสถานี SBS ที่ยูนโฮเป็นแขกรับเชิญคนแรกของรายการ โดยที่มีการสัมภาษณ์ครูไฮสคูลปีที่ 3 ของเขาที่ยูนโฮกลับไปเยี่ยมในช่วงวันหยุด และเขาได้ให้ทุนการศึกษา 3 ล้านวอนให้กับนักเรียน 5 คนที่ไฮสคูลควางอิล และมีนักเรียนมัธยมอีก 5 คน ครูของเขายังเปิดเผยว่า ยูนโฮเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักเรียนรุ่นน้องตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
ในรายการครูของเขายังขอบคุณยูนโฮในนามของโรงเรียน และสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นในรายการ
L (แอล) จาก Death Note สละโสดแล้ว!! สาวๆ เตรียมซับน้ำตาให้ดี!!
มีหลายแหล่งข่าวรายงานตรงกันว่าตอนนี้ "โคยูกิ" (Koyuki) นักแสดงสาวชื่อดังแดนปลาดิบได้สละโสดกับนักแสดงหนุ่มรุ่นน้อง "มัตสึยามะ เคนอิจิ" (Matsuyama Kenichi) นักแสดงจากเรื่อง Death Note ที่เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มีรายงานระบุว่า โคยูกิ นักแสดงสาววัย 34 ปี ได้สละโสดแล้วกับ มัตสึยามะ เคนอิจิ นักแสดงหนุ่มรุ่นน้องวัย 26 ปีแล้ว โดยแหล่งข่าวเป็นคนจากต้นสังกัดของทั้งคู่ได้ออกมาเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ทั้งคู่ได้แต่งงานกันตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นวันฤกษ์ดีตามปฏิทินโบราณของญี่ปุ่น แต่พวกเขาเลือกที่จะเลื่อนการประกาศต่อสาธารณะให้ได้ทราบเนื่องจากยังอยู่ในช่วงของผลกระทบที่เกิดจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมา
โคยูกิและมัตสึยามะ คบหาดูใจกันมานานเกือบ 3 ปีแล้ว โดยทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 2008 ขณะได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง Kamui Gaiden โดยตอนนั้นโคยูกิต้องเข้ามารับบทแทน คิกุชิ รินโกะ ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ โดยสัมพันธ์รักของทั้งคู่ได้เป็นข่าวให้แฟนๆได้รับรู้ในเดือน เม.ย. ปี 2009 เป็นต้นมา โดยฝ่ายนักแสดงหนุ่มออกมายอมรับเรื่องสัมพันธ์ดังกล่าวต่อสื่อในเดือน ม.ค. ปี 2010
มีรายงานว่าทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาสักพักหนึ่งแล้ว โดยตอนนี้แม้จะสละโสดแล้ว ทางตัวแทนของโคยูกิยืนยันว่า นักแสดงสาวไม่ได้ตั้งครรภ์แต่อย่างใดและยังวางแผนเตรียมรับงานแสดงของเธอต่อไปแล้วเช่นกัน
เจ้าหน้าที่เชื่อ นางแบบกิมจิ “คิมยูริ” (Kim Yuri) ไม่ได้ฆ่าตัวตาย!!
การเสียชีวิตของนางแบบชาวเกาหลีใต้ “คิมยูริ” อาจจะไม่ใช่การฆ่าตัวตายอย่างที่มีรายงานในเบื้องต้น หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาแถลงว่านางแบบวัย 22 ปี อาจจะเสียชีวิตจากเหตุผลเรื่องสุขภาพ เพราะไม่พบสารพิษใด ๆ ในร่างกาย
เมื่อวันพุธที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แถลงข่าวจากผลของการชันสูตรศพนางแบบสาว คิมยูริ ว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่สามารถยืนยันว่าเธอได้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอย่างที่เจ้าหน้าได้สันนิษฐานไว้ในเบื้องต้น ภายหลังเธอเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา
สมาชิกในครอบครัวเป็นผู้พบร่างของนางแบบสาวนอนอยู่ในห้องพักของเธอ แต่หลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียดกลับไม่พบร่องรอยของอาการบาดเจ็บใด ๆ ที่สามารถเป็นเหตุที่จะทำให้เธอเสียชีวิตได้ … “เราไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่จะพิสูจน์ว่าเธอเสพยาเกินขนาด หรือใช้พิษใด ๆ ในการฆ่าตัวตาย โดยในลำใส้ไม่มีสารพิษหรือยาเสพติดใด ๆ เลย” เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งโรงพักกังนัมกล่าว พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “แต่ร่างกายของเธอดูจะผ่ายผอมมาก จนเหมือนหนังหุ้มกระดูก”
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้เวลาอีกซักระยะ โดยเฉพาะการตรวจสอบเรื่อง ยากล่อมประสาทที่เธอใช้ หรืออาการป่วยอื่น ๆ จึงจะสามารถชี้ชัดถึงเหตุผลการเสียชีวิตที่แท้จริงได้
อะไรกันแน่ที่ฆ่า “คิมยูริ” ? ความเครียด, ปัญหาสุขภาพ, วงการแฟชั่น
มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดของข้อความในบล็อคส่วนตัวของนางแบบสาว กับข้อความที่แสดงถึงปัญหาต่าง ๆ จากการประกอบอาชีพนางแบบ ที่เธอต้องเผชิญหน้ากับทั้งความว้าเหว่ และความกังวลเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งการสอบสวนเจ้าหน้าที่ยังได้พบยาแก้ปวด และยาแก้หวัด ในบริเวณที่พบศพของเธอด้วย
คิมยูริ มีส่วนสูง 177 ซม. และน้ำหนัก 47 กก. แม้จะมีน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานถึง 18 กก. แต่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นก็ถือว่าเธอ “เป็นปกติดี” และเจ้าหน้าก็เชื่อว่าเธอไม่น่าจะถึงขั้นป่วยเป็นโรคมีอาการกินผิดปกติ (Anorexia)
“เวลากินข้าวซักถ้วย ฉันจะกินได้ครึ่งเดียวเท่านั้น แล้วก็หลังจาก 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ก็จะไม่กินอะไรเลยนอกจากดื่มน้ำเปล่า” หนึ่งในข้อความที่นางแบบสาวเขียนแสดงความอัดอั้นในเว็บไซต์ส่วนตัว “ฉันต้องออกกำลังกายวันละ 3 ถึง 4 ชั่วโมง ต้องอยู่ภายใต้กฏระเบียบทุกวัน”
คนวงในผู้หนึ่งให้ข้อมูลกับ Chosun Ilbo ว่า นางแบบนับเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความอดทนมากที่สุด ในหมู่อาชีพต่าง ๆ ของวงการบันเทิง ตามข้อมูลของปี 2010 นักแสดงจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 33 ล้านวอนต่อปี (ประมาณ 910,000 บาท), นักร้องมีรายได้ 22 ล้านวอนต่อปี (690,000 บาท) ขณะที่นางแบบอาชีพจะมีรายได้เพียง 10 ล้านวอนต่อปี (270,000 บาท) เท่านั้น
สำหรับกรณีของ คิมยูริ แล้วคนในวงการแฟชั่นเชื่อว่า “เธออาจจะได้เงินเพียง 5 แสน ถึง 1 ล้านวอน (ประมาณ 13,800 – 27,000 บาท) ต่อการเดินแบบครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่แฟชั่นโชว์ไม่ได้จัดกันตลอดเวลา คุณจึงไม่ได้มีงานอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะมีชื่อเสียงจริง ๆ”
นอกจากนั้นอาชีพนางแบบยังเป็นสายงานที่มีอายุสั้นมาก คนที่ทำงานในวงการแฟชั่นรายหนึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “นักแสดงสามารถพัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับนักร้องที่ความสามารถทางการร้องเพลงจะช่วยให้มีอาชีพที่ยาวนานได้ แต่สำหรับนางแบบคุณจะถูกปฏิเสธทันทีที่มีอายุ 20 ปีปลาย ๆ”
คิมยูริ เข้าวงการแฟชั่นมา 4 ปีเต็มแล้ว และถูกเรียกว่าเป็น “นางแบบดาวรุ่งพุ่งแรง” ในวงการคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเธอกลับต้องพบกับเรื่องหนักหนาสาหัสในชีวิตตั้งแต่สองปีก่อนกับการสูญเสียมารดาด้วยอาการหัวใจวาย ขณะที่ 3 เดือนก่อนพ่อของเธอก็มาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปอีกคน โดยมีข้อมูลว่าระยะหลังเธอต้องใช้ยาระงับประสาทเพื่อแก้ไขปัญหาการนอนไม่หลับ รวมถึงใน 1 วันก่อนหน้าจะเสียชีวิตด้วย
[Photo] นิชคุณ (Nichkhun) ถ่ายภาพใน Arena Hoome Plus!
นิชคุณ (Nichkhun) จากวง 2PM ถ่ายภาพที่ดูเป็นแมนของเขาล่าสุดใน Arena Hoome Plus
โดยเขาสวมชุดชั้นในของแบรนด์ Giorgio Armani และภาพเหล่านี้จะลงในฉบับปักษ์เดือนพฤษภาคม
นิชคุณ (Nichkhun) จากวง 2PM ถ่ายภาพที่ดูเป็นแมนของเขาล่าสุดใน Arena Hoome Plus
โดยเขาสวมชุดชั้นในของแบรนด์ Giorgio Armani และภาพเหล่านี้จะลงในฉบับปักษ์เดือนพฤษภาคม
วง Brown Eyed Girls เตรียมกลับสู่เวทีอีกครั้ง พร้อมผลงานใหม่!
เกือบ 2 ปีแล้วที่วง Brown Eyed Girls เปิดตัวผลงานเพลงยอดนิยมของพวกเธอเพลง Abracadabra และ Sign ซึ่งแฟนๆ ต่างเฝ้ารอผลงานการกลับมาของพวกเธอ
ทาง Nega Network กล่าวว่า “พวกเธอกำลังตั้งใจทำงานอย่างหนักสำหรับการเตรียมตัวอัลบั้มใหม่ในเวลานี้ อย่างเร็วที่สุดที่พวกเธอจะมีผลงานกลับมาน่าจะเป็นเดือนมิถุนายนนี้”
ถึงแม้ว่าจะห่างหายกันไปนานก็จริงอยู่ แต่สมาชิกทุกคนต่างมีกิจกรรมเดี่ยวของตน เช่น กาอิน (Ga In) มีผลงานเดี่ยวและยังร่วมในรายการ We Got Married แล้วตอนนี้ก็มีผลงานละครเรื่อง All My Love ส่วน Narsha ก็มีผลงานเดี่ยวออกมา และ Jea และมิเรียว (Miryo) นั้นยุ่งกับงานถ่ายภาพและงานโปรดักชั่นอื่นๆ
Nega Network กล่าวเพิ่มว่า “มันใช้ระยะเวลานานกว่าที่พวกเราคิดไว้ พวกเราบันทึกเพลงทั้งหมด 15 เพลง แต่ไม่มีเพลงไหนออกมาในรูปแบบที่พวกเธอต้องการ ดังนั้นจึงเสียเวลาเปล่าทั้งหมด แม้กระทั่งอัลบั้มใหม่ของพวกเธอก็เลื่อนออกไปเล็กน้อย พวกเราอยากให้มีเพลงที่พวกเธอต้องการในอัลบั้มมากกว่า”
พวกเขากล่าวเพิ่มว่า “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าเพลง Abracadabra แต่สมาชิกต่างอยากให้มันออกมาดีกว่า พวกเราไม่มีทางเลือก และต้องยอมทิ้งทุกเพลงที่พวกเธอได้บันทึกกันมาก่อนหน้านี้”
จองยองฮวา (Jung Yong Hwa) นอกใจ? เผยข่าวลือกับคูฮาร่า (Goo Hara)
จองยองฮวา (Jung Yong Hwa) จากวง C.N.Blue ที่เป็นแขกรับเชิญรายการ Happy Together 3 ของทางสถานี KBS เมื่อเร็วๆ นี้อธิบายเกี่ยวกับข่าวลือกับคูฮาร่า (Goo Hara) ของวง Kara
เมื่อเร็วๆ นี้มีภาพของพวกเขาทั้ง 2 คนได้รับความสนใจจากชาวอินเทอร์เน็ทอย่างมาก และทำให้เกิดข่าวลือที่ว่าพวกเขากำลังเดทกัน เมื่อถามเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือนี้จองยองฮวากล่าวเน้นพวกเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนกันว่า “ผมสนิทกับเธอจากรายการวาไรตี้ ภาพที่ถูกถ่ายนั้นคือเมื่อตอนที่พวกเราไม่ได้พบกันนานแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงดีใจที่ได้พบกันอีกและก็แหย่เล่นกันครับ”
เขากล่าวเพิ่มว่า “ฮาร่าตีไปที่หน้าอกของผม และมีคนถ่ายภาพนี้ไว้จึงกลายเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา”
และที่ตลกมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับข่าวลือของเขาคือ เซอรรี่ (Serri) จากวง Dal Shabet กล่าวว่า “ฉันเคยเห็นว่ายองฮวาไม่ได้จีบแค่ฮาร่า แต่ซอลลี่ (Sulli) จากวง f(x) ด้วยค่ะ”
ตอนนี้จะออกอากาศในวันที่ 21 เมษายน เวลา 23.05 น.
ป้ายกำกับ:
ข่าวเกาหลี,
CNBlue,
Goo Hara,
Jung Yong Hwa,
KARA,
Kpop News
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554
รายชื่อเซเลปคนไหนที่มีหุ่นร้อนแรงบาดใจมากที่สุด
ป้ายกำกับ:
2AM,
2PM,
ข่าวเกาหลี,
after school,
BigBang,
DBSK,
f(x),
G.NA,
KARA,
Lee Hyo Ri,
Lee Seung Gi,
MBLAQ,
miss A,
Rain,
Rainbow,
Secret,
SNSD,
Super Junior
ผีแลบลิ้น
ธรรมเนียมของคนไทยตั้งแต่โบร่ำโบราณ หากชายชาตรีไม่มีสองสิ่ง ถือว่าไม่ใช่ชายชาตรี
หนึ่ง คือ การออกรบ
สอง คือ การบวช
ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และธรรมเนียมการบวชผู้ชายที่ครบสามสิบสอง จะต้องบวชทดแทนพระคุณแม่พ่อ ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กตั้งแต่น้อย การบวชนิยมบวชสิบห้าวัน หนึ่งเดือน หรือตลอดพรรษาสามเดือนแล้วแต่ว่าใครจะสะดวกอย่างไร
และมันก็นำมาซึ่งความน่าสะพรึงกลัว ขนหัวลุก
หลวงพี่เต๊ะ เพื่อนร่วมรุ่นของพระบอล(เพื่อนผม) ที่ปลีกวิเวกไปบวช ณ วัดแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน ได้เล่าเรื่องของความเฮี้ยนแห่งตึกพระใหม่ให้ฟัง ตำนานแห่งความน่าสะพรึงกลัว คุณพร้อมแล้วใช่มั้ยที่จะติดตาม
พระบอล หนึ่งในก๊วนพระใหม่ห้าสิบกว่ารูปที่บวชด้วยกัน มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะละได้ตั้งแต่สมัยก่อนบวช นั่นคือ นิสัยสูบบุหรี่ นอกจากนี้เพราะความที่เป็นลูกคนเล็ก เลยถูกเอาใจมาจนชิน จึงทำให้ขี้เกียจทำวัตรบ้าง ขี้เกียจรับไทยทานบ้าง ตามประสาของคนที่ยังละนิสัยเก่าไม่ได้ พระบอลบวชมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่คิดจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นมา หลวงพี่ที่ดูแลก็ว่ากล่าวตักเตือน แต่ก็ไม่ทำให้พระบอลสำนึกไปได้
จนกระทั่งเจ้าของตึกตัวจริงต้องมาเตือน
และเป็นการเตือนที่พระบอลจะจดจำไปทั้งชีวิต
ดึกคืนหนึ่ง พระบอลจำวัดอยู่ในห้องเพียงลำพัง เวลาผ่านไป เที่ยงคืน นาฬิกาตีบอกเวลาดังเป๊งๆ เที่ยงคืน ทั่วทั้งตึกเงียบงัน ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ หมาก็หลับกันหมดแล้ว พระบอลนอนหลับสนิท และก็ได้ฝันไป
ในฝัน พระบอลนอนอยู่กับเตียง และลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผลักประตูมุ้งลวดเข้ามา จึงกุลีกุจอลุกขึ้น ผู้เข้ามาเยือนเป็นพระสองรูป ดูท่าทางจะบวชมานาน แต่ยังหนุ่มแน่นทั้งสองรูป พระบอลจึงเอาอาสนะในห้องปูถวายและปูนั่งด้วยตัวเองผืนหนึ่ง พระทั้งสองนั่งลง จ้องพระบอลเขม็งไม่กระพริบตา พระบอลอึดอัด ถามว่า "ท่านมีธุระอะไรกับผมหรือ"
พระที่อยู่ทางขวา กล่าวว่า "ท่านน่ะมีโอกาสที่หาได้ยากในชีวิต เวลาท่านมีแค่เดือนเดียว ท่านควรตั้งใจปฏิบัติให้ดี ไม่ใช่มาแอบสูบบุหรี่ ที่หลับที่นอนก็ไม่เก็บ ขี้เกียจทำวัตรทำวา ถ้าท่านต้องการแบบนั้น ท่านควรบอกโยมของท่านว่าไม่ต้องการบวช อยู่บ้านเฉยๆจะดีกว่า"
พระบอลมึนตึงเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าว่าตรงๆ แบบนี้มาก่อน ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ เดือดปุดๆ แต่ไม่รู้ว่าพระสององค์นี่เป็นใคร ไฉนถึงกล้ามาว่ากล่าวตนถึงในห้อง
สักครู่หนึ่งก็มีอุบาสกใส่ชุดขาว ยกน้ำมาเสิร์ฟสามแก้ว พระบอลรับน้ำ อุบาสกยกไปวางหน้าพระทั้งสองรูปแล้วถอยออกนอกห้องไป พระบอลรู้สึกระหายน้ำ จึงยกขึ้นดื่ม แต่พระทั้งสองรูปไม่แตะน้ำเลย จึงถามว่า "ท่านไม่ดื่มน้ำหรือ"
"ดื่มสิ" ไม่ทันขาดคำ พระทั้งสองรูปก็แลบลิ้นออกมา ลิ้นของท่านทั้งสองยืดออกราวสองศอก พระบอลตะลึง ลิ้นของพระทั้งสองแตะน้ำ ตวัดแผลบขึ้นมาในปาก แล้วก็แผลบๆๆๆ
งานเข้าแล้ว นั่นคือสิ่งที่พระบอลคิดในใจ ตะโกนลั่นห้องว่า
ผีหลอกโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แฮ่กๆๆๆๆๆๆ
พระบอลสะดุ้งตื่น ขยี้ตางัวเงีย แล้วก็ต้องตกใจรอบสอง
เพราะบัดนี้ท่านไม่ได้นอนบนเตียง แต่มานั่งอยู่บนอาสนะ ริมผนังห้อง อาสนะสองใบที่ปูไว้ยังคงมีอยู่ทั้งสองใบ เพียงแต่ว่าไม่มีแขกแปลกหน้าสององค์นั้นอยู่ ประตูยังปิดสนิทอยู่ ไม่มีใครเข้ามาเลย
ฮ เฮ้ยๆๆๆๆๆ ง งี้มันของจริงนี่หว่า ท่านเต๊ะโว้ย ช่วยด้วยยยยยยยย ผีหลอกกกกกกกกก
พระบอลเปิดประตู วิ่งออกไปแหกปากดังลั่นทั้งตึก เคราะห์ดีที่เช้ามืดแล้ว พระส่วนมากเลยตื่นกัน หลังจากนั้นพระบอลก็กระจายความลี้ลับน่าสะพรึงกลัวไปทั่วทุกหัวระแหงตึก หลวงพี่ที่คุมตึกยิ้มๆ กล่าวว่า
สององค์นั้นเป็นพระที่เคยบวชที่นี่ และตายในห้องนั้นองค์หนึ่ง ส่วนอีกองค์รถคว่ำตาย ท่านมักจะมาปรากฏตัวสั่งสอนพระใหม่ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยให้สำนึกแบบท่านนี่แหละ
หลังจากนั้นพระบอลก็ลดดีกรีความซ่าลงไประดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่พอนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้นก็หายซ่าไปเลย
แต่มันยังมีตำนานประจำตึกอีกมากมายที่ลี้ลับและรอวันเปิดเผย หึๆๆๆๆ
“มาริโอ้” เฝ้าไข้ “กุ๊บกิ๊บ” ถึงขอบเตียง อยากให้ใจอ่อน
“มาริโอ้” เร่งทำคะแนน ตามเฝ้าไข้ “กุ๊บกิ๊บ” ถึงขอบเตียง ทำให้เห็นใจกันมากขึ้น ลุ้นกุ๊บกิ๊บใจอ่อน พร้อมมั่นใจสัมพันธ์จะกลับมาเป็นเหมือน เหตุเชื่อเต็มร้อยต่างคนต่างยังรู้สึกดีต่อกัน
กำลังตามง้อ "กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย" ให้ความสัมพันธ์กลับมาเป็นเหมือนเดิม ช่วงนี้หนุ่มหล่อ "มาริโอ้ เมาเร่อ" ก็เลยต้องเร่งทำทุกวิถีทางให้ฝ่ายหญิงใจอ่อน อย่างล่าสุดกุ๊บกิ๊บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล งานนี้หนุ่มมาริโอ้ก็เลยถือโอกาสไปดูแลถึงขอบเตียง แถมได้ผลซะด้วย เพราะเจ้าตัวบอกว่าทำให้ต่างคนต่างเห็นใจกันมากขึ้น
“ก็ไปไปคอยเทคแคร์เขาที่โรงพยาบาลบ่อยเหมือนกันครับ กิ๊บเขาพักผ่อนน้อย ทำงานหนัก ก็เลยไปเยี่ยม ไปคอยเทคแคร์ครับ โอ้ว่าเขาคงทำงานหนัก เวลาพักผ่อนน้อย พอเขาเป็นอย่างนี้มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ก็อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมคิดว่ามันเป็นไปได้อยู่แล้ว ก็อยากให้เป็นในสิ่งที่เราต้องการที่เราอยากให้มันเป็นครับ กิ๊บเขาก็โอเค คือตอนนี้ยังไม่ได้ตกลงอะไร แต่มีคุยว่าถ้าจะออกมาก็ให้มันชัดเจนเลย เราไม่มีอะไรจะปิดอยู่แล้ว ถ้าเรามั่นใจ เราก็ตัดสินใจเลย”
“คือตัวโอ้อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ ส่วนกิ๊บจะรู้สึกยังไงคงต้องไปถามเขาดู ถ้าเขาใจอ่อนแล้ว ก็คงจะดีครับ ก็ขอบคุณเขามากๆ ที่ยังรู้สึกดีกับโอ้ ระยะที่ห่างกันไปต่างคนต่างไปทำงาน ก็ดูกันไปยาวๆ ครับ ยังไงโอ้ก็...เราก็มั่นใจอยู่แล้ว เรามีความรู้สึกดีๆ ให้กันอยู่แล้ว ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่เราก็ให้เวลาพิสูจน์ ถ้าวันนึงเราจะตัดสินใจ เราก็คงบอกทุกคน หลังจากที่เราห่างกันก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ มันมีเรื่องของเวลาเพราะกิ๊บต้องถ่ายละคร โอ้ต้องถ่ายละครด้วย เพื่อนๆ ของเราก็เชียร์ แฟนคลับของเราก็พยายามเชียร์เราให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาก็พยายามให้กำลังใจเราทั้งคู่”
ลั่น ไม่ทราบ “ชิ อนุชา ลังประเสริฐ” ติดต่อให้เล่นหนัง “นาธาน” เผย หากติดต่อมาจริงคงต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนตัดสินใจ
“เรื่องนี้ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่เท่าที่ทราบก็ไม่มีติดต่อมา ถามว่าตัวโอ้อยากเล่นไหม ผมยังไม่เห็นบท แล้วยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย เพราะว่าถ้าเราตัดสินใจ เราต้องถามผู้ใหญ่ด้วยครับ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
กำลังตามง้อ "กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย" ให้ความสัมพันธ์กลับมาเป็นเหมือนเดิม ช่วงนี้หนุ่มหล่อ "มาริโอ้ เมาเร่อ" ก็เลยต้องเร่งทำทุกวิถีทางให้ฝ่ายหญิงใจอ่อน อย่างล่าสุดกุ๊บกิ๊บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล งานนี้หนุ่มมาริโอ้ก็เลยถือโอกาสไปดูแลถึงขอบเตียง แถมได้ผลซะด้วย เพราะเจ้าตัวบอกว่าทำให้ต่างคนต่างเห็นใจกันมากขึ้น
“ก็ไปไปคอยเทคแคร์เขาที่โรงพยาบาลบ่อยเหมือนกันครับ กิ๊บเขาพักผ่อนน้อย ทำงานหนัก ก็เลยไปเยี่ยม ไปคอยเทคแคร์ครับ โอ้ว่าเขาคงทำงานหนัก เวลาพักผ่อนน้อย พอเขาเป็นอย่างนี้มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ก็อยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมคิดว่ามันเป็นไปได้อยู่แล้ว ก็อยากให้เป็นในสิ่งที่เราต้องการที่เราอยากให้มันเป็นครับ กิ๊บเขาก็โอเค คือตอนนี้ยังไม่ได้ตกลงอะไร แต่มีคุยว่าถ้าจะออกมาก็ให้มันชัดเจนเลย เราไม่มีอะไรจะปิดอยู่แล้ว ถ้าเรามั่นใจ เราก็ตัดสินใจเลย”
“คือตัวโอ้อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ ส่วนกิ๊บจะรู้สึกยังไงคงต้องไปถามเขาดู ถ้าเขาใจอ่อนแล้ว ก็คงจะดีครับ ก็ขอบคุณเขามากๆ ที่ยังรู้สึกดีกับโอ้ ระยะที่ห่างกันไปต่างคนต่างไปทำงาน ก็ดูกันไปยาวๆ ครับ ยังไงโอ้ก็...เราก็มั่นใจอยู่แล้ว เรามีความรู้สึกดีๆ ให้กันอยู่แล้ว ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่เราก็ให้เวลาพิสูจน์ ถ้าวันนึงเราจะตัดสินใจ เราก็คงบอกทุกคน หลังจากที่เราห่างกันก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ มันมีเรื่องของเวลาเพราะกิ๊บต้องถ่ายละคร โอ้ต้องถ่ายละครด้วย เพื่อนๆ ของเราก็เชียร์ แฟนคลับของเราก็พยายามเชียร์เราให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาก็พยายามให้กำลังใจเราทั้งคู่”
ลั่น ไม่ทราบ “ชิ อนุชา ลังประเสริฐ” ติดต่อให้เล่นหนัง “นาธาน” เผย หากติดต่อมาจริงคงต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนตัดสินใจ
“เรื่องนี้ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่เท่าที่ทราบก็ไม่มีติดต่อมา ถามว่าตัวโอ้อยากเล่นไหม ผมยังไม่เห็นบท แล้วยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย เพราะว่าถ้าเราตัดสินใจ เราต้องถามผู้ใหญ่ด้วยครับ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
“น้ำฝน” เผย “สเตฟาน” ปรึกษาเรื่องขึ้นคอนโด “เอม” ป้องเป็นสุภาพบุรุษ
“น้ำฝน” เผย “สเตฟาน” ร้อนใจโร่ปรึกษาเรื่องข่าวขึ้นคอนโด “เอม” แต่ไม่อยากยุ่งให้แก้ไขเอาเอง เชื่ออดีตแฟนเป็นสุภาพบุรุษพอ ปัด ไม่เข้าข้างใครว่าถูกหรือผิดเพราะตอนตามกันขึ้นห้องไม่ได้อยู่ด้วย เจ้าตัวรับ กำลังดูใจหนุ่มนอกวงการได้ 4 เดือน ยังไม่พร้อมเปิดตัว
ตั้งแต่เลิกรากันไปก็เห็นจะมีแต่ฟากพระเอกหนุ่ม “สเตฟาน ฐสิษฐ์ สิงคณาวิวัฒน์” ที่มีข่าวกับสาวๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่หนักสุดคงหนีไม่พ้นกรณีที่มีภาพหลุดขึ้นคอนโดกับดาราสาว “เอม เจษยา เวียงเกตุ” เพื่อนนักแสดงในละครเรื่อง “สุดหัวใจเจ้าชายเทวดา” และกลายเป็นสงครามน้ำลายกันอีกคู่ เพราะฝ่ายชายตอนแรกก็ยืนยันว่าส่งแค่ข้างล่าง แต่ไปๆ มาๆ พอดาราสาวโต้กลับก็ยอมรับว่าขึ้นห้องจริง แถมทิ้งท้ายว่าคิดกันเอาเองว่ามีอะไรกันหรือเปล่า ซึ่งประโยคนี้ทำให้ “เอม” ถึงกับให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าทำให้ตนเสื่อมเสียมาก
ล่าสุดได้เจอ “น้ำฝน กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์” อดีตแฟนของสเตฟาน จึงสอบถามในฐานะคนที่เคยรู้จักสเตฟานดีที่สุดคนนึง แต่สาวฝนออกตัวว่าเรื่องนี้ไม่อยากออกความเห็นอะไรมาก เพราะตอนเกิดเรื่องไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
“เรื่องนี้ใครเรียนผูกก็ควรจะเรียนแก้ด้วยตัวเองนะคะ(หัวเราะ) แต่ถามว่าฟานมีมาปรึกษาไหมก็มี และฝนก็มีให้บ้างเล็กน้อย แต่ว่าเราก็ไม่สามารถที่จะไปบังคับว่าต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่จะห่วงเขาก็คือเขาเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายคือผู้หญิง ฝนก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าเรื่องราวแท้จริงคืออะไร ใครผิดใครถูก ฝนก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ แต่สิ่งนึงที่เป็นห่วงก็คือฟานความเป็นผู้ชายพูดอะไรแรงไปก็จะส่งผลกับตัวเองได้ค่อนข้างเยอะ ก็จะบอกให้เขาเงียบๆ ซะมากกว่า”
“แต่โดยส่วนตัวที่ฝนรู้จักฟาน ฝนรู้ว่าเขาเป็นคนดี จิตใจดี แล้วเขาก็เป็นสุภาพบุรุษนะ ฝนเชื่ออย่างนั้น เพราะฝนคงไม่สามารถอยู่กับคนๆ นึงที่เขาเป็นคนเลว แล้วฝนอยู่กับเขามาได้อีก 5 ปีหรอก ฝนก็ว่าเขาเป็นคนดี แต่โดยภาพหรือโดยสื่อที่ออกไปมันก็หลายแง่หลายมุม ต่างคนต่างคิด มันก็ไม่สามารถที่เราจะไปควบคุมตรงนั้นได้ แต่สิ่งนึงถ้าเรามั่นใจในความเป็นตัวเรา เราก็พยายามที่จะแก้ปัญหาตรงนั้นไปเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ หายไปเอง”
“ฝนว่าฟานเขาก็ยังไม่ได้เจ้าชู้นะ ถึง ณ วันนี้ที่เราคุยกับเขาก็ยังไม่รู้สึกว่าเขาเจ้าชู้ เหมือนเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างมากกว่า ก็เข้าใจเขานะ เพราะตอนที่เริ่มเป็นแฟนกับฟาน ตอนนั้นฟานน่าจะเพิ่ง 23 เองมั้ง เขายังเด็กมาก แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะมาหยุดกับผู้หญิงอีกคนนึง ตอนที่เขาอายุแค่นั้น ฝนว่าเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนกับผู้ชายคนนึงทั่วๆ ไป เพียงแต่ข้อเสียมันเกิดจากว่าความที่เขาเป็นดาราเวลาทำอะไรมันก็เป็นที่สว่าง และคาแรคเตอร์ของฟานก็คือเขาไม่ค่อยระวังตัวเหมือนคนอื่น ฉะนั้นก็ค่อนข้างจะมีอะไรออกมาเยอะ แต่ว่าจริงๆ ฝนว่าเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างจากผู้ชายทั่วๆ ไป”
“แต่ด้วยคำพูดของเขาเวลาที่เขาพูดภาษาไทย มันอาจจะเพราะเขาแปลภาษาอังกฤษเป็นไทยมากกว่า มันก็เลยทำให้ออกมาดูตรงๆ บางทีเวลาเขาพูดอะไรกับฝนก็ทำให้ฝนสะอึกเหมือนกันนะ บางทีก็คิดว่าเฮ้ยตรงไปหรือเปล่าวะ แต่ที่สองคนเขาพูดไม่ตรงกันก็อย่างที่ฝนบอก ว่าเราไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ฉะนั้นฝนจะไม่มานั่งตัดสินใครทั้งสองฝ่ายทั้งนั้น และอีกอย่างสิ่งที่ฝนรู้ก็เหมือนกับที่ฝนรู้จากสื่อและทางฟานด้วย ฝนจะมานั่งบอกได้ยังไงว่าคนนั้นถูก คนนี้ถูก ทั้งๆ ที่ตอนเกิดเรื่องเขาอยู่กันสองคนถูกไหมคะ ฝนขอไม่ตัดสินเรื่องตรงนี้ดีกว่า ก็ปล่อยให้มันเป็นไป เดี๋ยวมันก็จบค่ะ มันคงไม่ลงยาวไปถึงปีนึงหรอกมั้ง”
ไม่ขอพูดว่าจะมีโอกาสรีเทิร์นได้หรือเปล่า ปล่อยเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ความเป็นเพื่อนที่ดียังมีอยู่เสมอ และที่สำคัญตอนนี้ตนก็มีหนุ่มนอกวงการคนหนึ่งที่คุยอยู่แล้วด้วย
“เรื่องกระแสรีเทิร์น จริงๆ ฝนกับฟานก็คุยกันเรื่อยๆ นะคะ แต่ว่าไม่ได้เป็นการพูดคุยกันทุกวัน มันเหมือนกับถ้าฝนตอบว่าจะกลับ ก็จะมานั่งตอบทำไมก็กลับไปเลยซิ เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเหมือนเป็นเพื่อนมากกว่า แล้วอารมณ์เวลาตอนที่เป็นแฟนกับเป็นเพื่อน เคยรู้สึกไหมว่าพอเวลาเป็นแฟนทำไมงี่เง่าอย่างนี้ แต่พอเป็นเพื่อนทำไมแสนดี พูดตรง เข้าใจง่าย แต่พอเป็นแฟนก็งี่เง่าอีกแล้ว ขี้งอน แล้วพอเราถอยกันออกมา แล้วเรามาคุยกันแบบเพื่อน ฝนเชื่อว่าเราสองคนยังมีความรู้สึกดีด้วยกันอยู่ มันก็เลยอาจจะทำให้คนอื่นมองตรงนั้นว่าอาจจะกลับมารีเทิร์น แต่ฝนก็ไม่ตอบนะคะว่าไม่รีเทิร์นหรือจะรีเทิร์น เพราะมันก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ว่า ณ ปัจจุบันนี้คือยังค่ะ”
“แต่ถ้าเพื่อนที่สนิทที่สุด ฝนก็ว่าฝนสนิทกับฟานที่สุด เพราะที่สุดแล้วฝนกับเขาก็เหมือนกับเขาพูดอะไรมาเราก็พอจะเดาได้ว่าอีกแล้ว เขาก็คงพอจะเดาอาการฝนได้เหมือนกัน คือเราอยู่กันมานาน ฝนก็เลยไม่อยากจะทิ้งความรู้สึกดีๆ ตรงนี้ไป เหมือนกับไม่อยากที่วันนึงคนเราเคยรักกันมากๆ แต่พอวันนึงที่เราเลิกกันทำไมเราต้องเกลียดกัน ฝนว่าเรามัวแต่มานั่งเสียดายเวลา ทำไมเราไม่มานั่งเสียดายความรักที่มันเคยผ่านมาแล้วเราก็เก็บตรงนั้นไว้ วันนึงเราเป็นเพื่อน เราก็รักเพื่อน มันก็คือรักเหมือนกัน เพียงแต่มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความสัมพันธ์ที่มันแตกต่างกันออกไป แต่ว่าความรู้สึกดีๆ มันก็ยังคงอยู่”
“ตอนนี้ก็มีคนที่เข้ามาคุยๆ อยู่บ้างค่ะ แต่ว่าเราก็ไม่อยากไปตู่ว่าเขาจีบ เอาเป็นว่าก็ได้มีคุยๆ ดูๆ อยู่ เป็นคนนอกวงการค่ะ ก็ไม่ได้เข็ดคนในวงการนะ เพียงแต่ว่าในวงการมันหายากมากเลยกับใครสักคนนึงที่เขาไม่เคยเป็นแฟนกับใครเลย ฝนก็เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นอะไรที่นอกวงการมันจะสบายใจกว่า แต่คนนี้ก็คุยนานแล้วนะ ประมาณ 3-4 เดือนแล้ว เขาก็โอเคที่สุด แต่จะพัฒนาไหม เอาไว้ประกาศอีกทีแต่งเลยดีกว่า(หัวเราะ) ไม่เสียเวลาแล้ว ยังไงก็เสี่ยงเหมือนกัน(หัวเราะ)”
“ตอนนี้คนใกล้ชิดทุกคนก็รู้จักเขาหมดแล้วค่ะ แต่จะพาโชว์ตัวไหมเหรอ ฝนเป็นคนขี้อายนะ เปิดทีไรเป็นเรื่องทุกที(หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ ดูๆ ไปเรื่อยๆ แฟนไหมเหรอ ทำไมคนไทยต้องมีคำว่าแฟนหรือคำว่าเพื่อนด้วย ฝนงง แต่ถ้าบอกว่าการเปิดตัวคือการบอกว่าเป็นแฟนแล้ว ก็ยังค่ะ แต่ว่าถ้าคนที่สนิทกับฝนก็คือรู้จักเขากันหมดแล้วค่ะ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
ตั้งแต่เลิกรากันไปก็เห็นจะมีแต่ฟากพระเอกหนุ่ม “สเตฟาน ฐสิษฐ์ สิงคณาวิวัฒน์” ที่มีข่าวกับสาวๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่หนักสุดคงหนีไม่พ้นกรณีที่มีภาพหลุดขึ้นคอนโดกับดาราสาว “เอม เจษยา เวียงเกตุ” เพื่อนนักแสดงในละครเรื่อง “สุดหัวใจเจ้าชายเทวดา” และกลายเป็นสงครามน้ำลายกันอีกคู่ เพราะฝ่ายชายตอนแรกก็ยืนยันว่าส่งแค่ข้างล่าง แต่ไปๆ มาๆ พอดาราสาวโต้กลับก็ยอมรับว่าขึ้นห้องจริง แถมทิ้งท้ายว่าคิดกันเอาเองว่ามีอะไรกันหรือเปล่า ซึ่งประโยคนี้ทำให้ “เอม” ถึงกับให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าทำให้ตนเสื่อมเสียมาก
ล่าสุดได้เจอ “น้ำฝน กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์” อดีตแฟนของสเตฟาน จึงสอบถามในฐานะคนที่เคยรู้จักสเตฟานดีที่สุดคนนึง แต่สาวฝนออกตัวว่าเรื่องนี้ไม่อยากออกความเห็นอะไรมาก เพราะตอนเกิดเรื่องไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
“เรื่องนี้ใครเรียนผูกก็ควรจะเรียนแก้ด้วยตัวเองนะคะ(หัวเราะ) แต่ถามว่าฟานมีมาปรึกษาไหมก็มี และฝนก็มีให้บ้างเล็กน้อย แต่ว่าเราก็ไม่สามารถที่จะไปบังคับว่าต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่จะห่วงเขาก็คือเขาเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายคือผู้หญิง ฝนก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าเรื่องราวแท้จริงคืออะไร ใครผิดใครถูก ฝนก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ แต่สิ่งนึงที่เป็นห่วงก็คือฟานความเป็นผู้ชายพูดอะไรแรงไปก็จะส่งผลกับตัวเองได้ค่อนข้างเยอะ ก็จะบอกให้เขาเงียบๆ ซะมากกว่า”
“แต่โดยส่วนตัวที่ฝนรู้จักฟาน ฝนรู้ว่าเขาเป็นคนดี จิตใจดี แล้วเขาก็เป็นสุภาพบุรุษนะ ฝนเชื่ออย่างนั้น เพราะฝนคงไม่สามารถอยู่กับคนๆ นึงที่เขาเป็นคนเลว แล้วฝนอยู่กับเขามาได้อีก 5 ปีหรอก ฝนก็ว่าเขาเป็นคนดี แต่โดยภาพหรือโดยสื่อที่ออกไปมันก็หลายแง่หลายมุม ต่างคนต่างคิด มันก็ไม่สามารถที่เราจะไปควบคุมตรงนั้นได้ แต่สิ่งนึงถ้าเรามั่นใจในความเป็นตัวเรา เราก็พยายามที่จะแก้ปัญหาตรงนั้นไปเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ หายไปเอง”
“ฝนว่าฟานเขาก็ยังไม่ได้เจ้าชู้นะ ถึง ณ วันนี้ที่เราคุยกับเขาก็ยังไม่รู้สึกว่าเขาเจ้าชู้ เหมือนเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่างมากกว่า ก็เข้าใจเขานะ เพราะตอนที่เริ่มเป็นแฟนกับฟาน ตอนนั้นฟานน่าจะเพิ่ง 23 เองมั้ง เขายังเด็กมาก แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะมาหยุดกับผู้หญิงอีกคนนึง ตอนที่เขาอายุแค่นั้น ฝนว่าเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนกับผู้ชายคนนึงทั่วๆ ไป เพียงแต่ข้อเสียมันเกิดจากว่าความที่เขาเป็นดาราเวลาทำอะไรมันก็เป็นที่สว่าง และคาแรคเตอร์ของฟานก็คือเขาไม่ค่อยระวังตัวเหมือนคนอื่น ฉะนั้นก็ค่อนข้างจะมีอะไรออกมาเยอะ แต่ว่าจริงๆ ฝนว่าเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างจากผู้ชายทั่วๆ ไป”
“แต่ด้วยคำพูดของเขาเวลาที่เขาพูดภาษาไทย มันอาจจะเพราะเขาแปลภาษาอังกฤษเป็นไทยมากกว่า มันก็เลยทำให้ออกมาดูตรงๆ บางทีเวลาเขาพูดอะไรกับฝนก็ทำให้ฝนสะอึกเหมือนกันนะ บางทีก็คิดว่าเฮ้ยตรงไปหรือเปล่าวะ แต่ที่สองคนเขาพูดไม่ตรงกันก็อย่างที่ฝนบอก ว่าเราไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ฉะนั้นฝนจะไม่มานั่งตัดสินใครทั้งสองฝ่ายทั้งนั้น และอีกอย่างสิ่งที่ฝนรู้ก็เหมือนกับที่ฝนรู้จากสื่อและทางฟานด้วย ฝนจะมานั่งบอกได้ยังไงว่าคนนั้นถูก คนนี้ถูก ทั้งๆ ที่ตอนเกิดเรื่องเขาอยู่กันสองคนถูกไหมคะ ฝนขอไม่ตัดสินเรื่องตรงนี้ดีกว่า ก็ปล่อยให้มันเป็นไป เดี๋ยวมันก็จบค่ะ มันคงไม่ลงยาวไปถึงปีนึงหรอกมั้ง”
ไม่ขอพูดว่าจะมีโอกาสรีเทิร์นได้หรือเปล่า ปล่อยเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ความเป็นเพื่อนที่ดียังมีอยู่เสมอ และที่สำคัญตอนนี้ตนก็มีหนุ่มนอกวงการคนหนึ่งที่คุยอยู่แล้วด้วย
“เรื่องกระแสรีเทิร์น จริงๆ ฝนกับฟานก็คุยกันเรื่อยๆ นะคะ แต่ว่าไม่ได้เป็นการพูดคุยกันทุกวัน มันเหมือนกับถ้าฝนตอบว่าจะกลับ ก็จะมานั่งตอบทำไมก็กลับไปเลยซิ เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเหมือนเป็นเพื่อนมากกว่า แล้วอารมณ์เวลาตอนที่เป็นแฟนกับเป็นเพื่อน เคยรู้สึกไหมว่าพอเวลาเป็นแฟนทำไมงี่เง่าอย่างนี้ แต่พอเป็นเพื่อนทำไมแสนดี พูดตรง เข้าใจง่าย แต่พอเป็นแฟนก็งี่เง่าอีกแล้ว ขี้งอน แล้วพอเราถอยกันออกมา แล้วเรามาคุยกันแบบเพื่อน ฝนเชื่อว่าเราสองคนยังมีความรู้สึกดีด้วยกันอยู่ มันก็เลยอาจจะทำให้คนอื่นมองตรงนั้นว่าอาจจะกลับมารีเทิร์น แต่ฝนก็ไม่ตอบนะคะว่าไม่รีเทิร์นหรือจะรีเทิร์น เพราะมันก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ว่า ณ ปัจจุบันนี้คือยังค่ะ”
“แต่ถ้าเพื่อนที่สนิทที่สุด ฝนก็ว่าฝนสนิทกับฟานที่สุด เพราะที่สุดแล้วฝนกับเขาก็เหมือนกับเขาพูดอะไรมาเราก็พอจะเดาได้ว่าอีกแล้ว เขาก็คงพอจะเดาอาการฝนได้เหมือนกัน คือเราอยู่กันมานาน ฝนก็เลยไม่อยากจะทิ้งความรู้สึกดีๆ ตรงนี้ไป เหมือนกับไม่อยากที่วันนึงคนเราเคยรักกันมากๆ แต่พอวันนึงที่เราเลิกกันทำไมเราต้องเกลียดกัน ฝนว่าเรามัวแต่มานั่งเสียดายเวลา ทำไมเราไม่มานั่งเสียดายความรักที่มันเคยผ่านมาแล้วเราก็เก็บตรงนั้นไว้ วันนึงเราเป็นเพื่อน เราก็รักเพื่อน มันก็คือรักเหมือนกัน เพียงแต่มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความสัมพันธ์ที่มันแตกต่างกันออกไป แต่ว่าความรู้สึกดีๆ มันก็ยังคงอยู่”
“ตอนนี้ก็มีคนที่เข้ามาคุยๆ อยู่บ้างค่ะ แต่ว่าเราก็ไม่อยากไปตู่ว่าเขาจีบ เอาเป็นว่าก็ได้มีคุยๆ ดูๆ อยู่ เป็นคนนอกวงการค่ะ ก็ไม่ได้เข็ดคนในวงการนะ เพียงแต่ว่าในวงการมันหายากมากเลยกับใครสักคนนึงที่เขาไม่เคยเป็นแฟนกับใครเลย ฝนก็เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นอะไรที่นอกวงการมันจะสบายใจกว่า แต่คนนี้ก็คุยนานแล้วนะ ประมาณ 3-4 เดือนแล้ว เขาก็โอเคที่สุด แต่จะพัฒนาไหม เอาไว้ประกาศอีกทีแต่งเลยดีกว่า(หัวเราะ) ไม่เสียเวลาแล้ว ยังไงก็เสี่ยงเหมือนกัน(หัวเราะ)”
“ตอนนี้คนใกล้ชิดทุกคนก็รู้จักเขาหมดแล้วค่ะ แต่จะพาโชว์ตัวไหมเหรอ ฝนเป็นคนขี้อายนะ เปิดทีไรเป็นเรื่องทุกที(หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ ดูๆ ไปเรื่อยๆ แฟนไหมเหรอ ทำไมคนไทยต้องมีคำว่าแฟนหรือคำว่าเพื่อนด้วย ฝนงง แต่ถ้าบอกว่าการเปิดตัวคือการบอกว่าเป็นแฟนแล้ว ก็ยังค่ะ แต่ว่าถ้าคนที่สนิทกับฝนก็คือรู้จักเขากันหมดแล้วค่ะ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554
“ปั้นจั่น” ถูก “ยิปซี” บอกเลิก เหตุติดเพื่อนจนลืมใส่ใจแฟน
“ปั้นจั่น” ถูก “ยิปซี” บอกเลิก เหตุติดเพื่อนมากจนไม่ใส่ใจแฟน ยืนยันไม่เปลี่ยนนิสัย ลั่น ไม่เฮิร์ตเพราะเป็นผู้ชายลั้นลา อีกทั้งค้นพบว่าเป็นเพื่อนกันสบายใจกว่า เจ้าตัวไม่ชัวร์จะกลับไปง้อฝ่ายหญิงหรือเปล่า
ออกมาเปิดตัวว่ากำลังดูใจกันอยู่ สำหรับ “ปั้นจั่น กวิน อิ่มอโนทัย” อดีตนักร้องหนุ่มบอยแบนด์วง "ไนซ์ทูมีทยู" ค่ายอาร์เอส กับนางเอกสาว “ยิปซี คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์” แต่ยังไม่ทันไรก็มีข่าวว่าทั้งคู่ได้สวมคอนเวิร์สทางใรทางมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจอตัวปั้นจั่นในงานบวงสรวงละครเรื่อง "เขยรสข่า พ่อตารสขิง" ที่ บริษัทอาร์เอส วันก่อน เจ้าตัวก็ยอมรับว่าเลิกกันแล้วจริงๆ โดยฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายบอกเลิก เหตุเพราะตนติดเพื่อนมากเกินไป
“ก็คุยกันอยู่ ยังไม่ได้เลิกกินข้าวดูหนังกันปกติ จริงๆ เราก็เป็นเพื่อนสนิท ถามว่าห่างกันก็ห่างกันจริงๆ ที่บอกไปก็คือห่าง แต่ด้วยความเป็นเพื่อนก็ยังคุยไปกินข้าว แต่สถานะก็ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว สาเหตุก็คงเป็นเพราะผมยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ คือผมติดเพื่อน แล้วอีกอย่างเพราะว่าเวลาไม่ตรงกัน ผมก็ยังชอบอยู่กับเพื่อนมากกว่า ก็เลยทำให้เขาน้อยใจหรือเปล่า อันนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถามว่าจะปรับเปลี่ยนมั้ย ก็ยังคงไม่เปลี่ยน อย่างเดิมมันก็โอเคอยู่แล้ว แต่ว่าให้มันถึงจังหวะที่โอเคแล้วกัน น้องเขาเป็นฝ่ายขอลดสถานะเองครับ(หัวเราะ) แต่ผมก็ไม่เฮิร์ทหรอก ผมเป็นผู้ชายลั้นล้า(หัวเราะ) แต่ไม่ใช่สาเหตุนี้นะ คือผมไม่ได้ลั้นล้าแบบนั้นหรอก ผมไม่ได้ลั้นล้ากับผู้หญิง ผมลั้นล้ากับเพื่อนในแก๊งค์ ตอนนี้เป็นเพื่อนสบายใจมากกว่าครับ (จะตามง้อให้ถึงที่สุดมั้ย?) ให้มันไปเรื่อยๆ ดีกว่า ถ้าเกิดใช้มันก็ใช่ครับ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
ออกมาเปิดตัวว่ากำลังดูใจกันอยู่ สำหรับ “ปั้นจั่น กวิน อิ่มอโนทัย” อดีตนักร้องหนุ่มบอยแบนด์วง "ไนซ์ทูมีทยู" ค่ายอาร์เอส กับนางเอกสาว “ยิปซี คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์” แต่ยังไม่ทันไรก็มีข่าวว่าทั้งคู่ได้สวมคอนเวิร์สทางใรทางมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจอตัวปั้นจั่นในงานบวงสรวงละครเรื่อง "เขยรสข่า พ่อตารสขิง" ที่ บริษัทอาร์เอส วันก่อน เจ้าตัวก็ยอมรับว่าเลิกกันแล้วจริงๆ โดยฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายบอกเลิก เหตุเพราะตนติดเพื่อนมากเกินไป
“ก็คุยกันอยู่ ยังไม่ได้เลิกกินข้าวดูหนังกันปกติ จริงๆ เราก็เป็นเพื่อนสนิท ถามว่าห่างกันก็ห่างกันจริงๆ ที่บอกไปก็คือห่าง แต่ด้วยความเป็นเพื่อนก็ยังคุยไปกินข้าว แต่สถานะก็ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว สาเหตุก็คงเป็นเพราะผมยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ คือผมติดเพื่อน แล้วอีกอย่างเพราะว่าเวลาไม่ตรงกัน ผมก็ยังชอบอยู่กับเพื่อนมากกว่า ก็เลยทำให้เขาน้อยใจหรือเปล่า อันนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถามว่าจะปรับเปลี่ยนมั้ย ก็ยังคงไม่เปลี่ยน อย่างเดิมมันก็โอเคอยู่แล้ว แต่ว่าให้มันถึงจังหวะที่โอเคแล้วกัน น้องเขาเป็นฝ่ายขอลดสถานะเองครับ(หัวเราะ) แต่ผมก็ไม่เฮิร์ทหรอก ผมเป็นผู้ชายลั้นล้า(หัวเราะ) แต่ไม่ใช่สาเหตุนี้นะ คือผมไม่ได้ลั้นล้าแบบนั้นหรอก ผมไม่ได้ลั้นล้ากับผู้หญิง ผมลั้นล้ากับเพื่อนในแก๊งค์ ตอนนี้เป็นเพื่อนสบายใจมากกว่าครับ (จะตามง้อให้ถึงที่สุดมั้ย?) ให้มันไปเรื่อยๆ ดีกว่า ถ้าเกิดใช้มันก็ใช่ครับ”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
สองนางจอมแรด ซ้อ7
ผ่านพ้นเทศกาลแห่งความสุขด้วยความอุบาทว์กันถ้วนหน้า เพราะความคึกคะนองของชะนีไม่มียางอาย อยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปเปิดนมให้ชาวบ้านดู ช่างไม่นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ที่อุตส่าห์เบ่งออกมา แทนที่จะกลับบ้านกลับช่องรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ แต่กลับมายืนโยกส่ายนม เห็นลีลาแล้วต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เรียนไม่จบใจแตกไม่ต้องกลัวอดตาย ขายหอยเลยค่ะคุณน้องขา
ความจริงความอุบาทว์มันทำท่าตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอน “ไอ้อึ่งอ่าง” มันออกมาเห่าตั้งแต่ก่อนเริ่มเทศกาลแล้วล่ะ คนอะไรชั่วไม่บันยะบันยัง กล้าเอาตนเองไปเปรียบกับของสูง คิดอยากจะตีตนเสมอ ช่างไม่ดูหนังหน้าของตัวเองซะเลย อีแบบนี้เค้าเรียกว่าไม่เจียม อย่าว่าแต่ขี้กลากจะขึ้นหัวเลย สังคังก็จะแด๊กหำเมิงด้วย 555
ส่วน “พ่อรูปหล่อ” พอเห็นไอ้อึ่งอ่างพลาดท่าปากหมา ก็ส่งสัญญาณให้อีห้อยอีโหนออกมาถล่มทันที ตามด้วยการเล่นบทเข้มของระดับบิ๊กที่ประกาศจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เห็นแล้วก็ขำขี้แตก ไม่ทราบว่า ไปนอนกกอีหนูที่รูไหนมา ถึงได้ไม่รู้ว่าไอ้อึ่งอ่างแอนด์เดอะแก๊งควาย มันมีพฤติกรรมชวนประหารชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมพึ่งมาคึกฮึกเหิมเอาเมื่อตอนใกล้จะเลือกตั้ง มันก็แค่ตีปี๊บหาเสียงล่ะว้า อย่ามาทำเป็นกระแดะว่าคนอื่น ก็เพราะเอ็งไม่ใช่หรอที่ปล่อยมันออกมาป่วน แล้วจะมาเห่าหาตะกวดหรอจ๊ะ
ไอ้พวกปากว่าตาขยิบนี่มีทุกวงการซะจริงๆ ดูอย่าง “น้องกระทะเหล็ก” ผู้มีภาพลักษณ์เลิศเลอ ใครๆ ก็ชื่นชมว่า เป็นนางฟ้านางสวรรค์เพราะแอ๊บเก่งความแรดไม่มีหลุด ทั้งที่น้องกระทะเหล็กก็มีประวัติโชกโชนไม่แพ้ดาวยั่วคนอื่น ก่อนจะดังก็เคยเป็นเด็กของเสี่ยเจ้าของห้าง พอเป็นนางเอกมี “ผัวพระเอก” คู่บารมีจับคู่กันโกยเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่วายไปรับจ็อบขายตัวให้รัฐมนตรีที่ชอบท่องเที่ยว ได้เงินค่าแอ่นกระทะไปเป็นหลักล้านเลยทีเดียว
ปัจจุบันคั่วกับ “พระเอกลิ้นสั้น” น้องกระทะเหล็ก ก็ยังติดนิสัยแอ๊บ ปากก็บอกว่าไม่มีอะไร แต่ความจริงใครๆ ก็รู้ว่า น้องกระทะเหล็กคลั่งพระเอกลิ้นสั้นยังกับอะไรดี เพราะติดใจในรสจูบของพระเอกลิ้นสั้น เมื่อคราวที่เล่นละครด้วยกัน ว่ากันว่า เลิฟซีนครั้งนั้นนอกจากจะฮือฮาไปทั้งประเทศ ก็ยังสั่นสะเทือนไปยังจิ๊ของน้องกระทะเหล็ก เป็นเหตุให้ระริกระรี้ไปแฮปปี้ๆ กันหลังเลิกกองจนต้องเลิกกับผัวพระเอก
ปัจจุบันนี้ถึงน้องกระทะเหล็ก จะยังท่องคาถาเป็นพี่น้องกันค่ะ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก้าวหน้าไปมากเลยทีเดียว ถึงขั้นพาพระเอกลิ้นสั้นไปนอนกกในบ้านเรียบร้อยแล้ว โดยมีคุณแม่มาดผู้ดีของน้องกระทะเหล็ก ทำเป็นหลับหูหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คุณลูกกับผัวใหม่สำรอกความสุขไม่รู้กี่ดอกต่อกี่ดอก อีหรอบเดียวกับพระเอกคู่ขวัญเป๊ะ
แต่พอออกหน้ากล้องก็สร้างภาพเป็นคุณหนูไฮโซ ไปไหนก็มีแม่คอยสะกดรอยตามไปด้วย จะทำอะไรยังไงก็ต้องขออนุญาตคุณแม่ ดูเป็นไข่ในหินแอ๊บแบ๊วสุดๆ ที่ไหนได้ผัวนอนโด่อยู่ที่บ้าน...เอิ๊กๆ
นี่แหละมั้งที่เค้าว่า เลี้ยงลูกให้อยู่ในสายตา จะไปไหนก็ไปด้วย จะมีผัวก็ให้เอาผัวมาอยู่ด้วยในบ้าน เผื่อผิดท่าเอ๊ย! ผิดพลาดประการใดจะได้หายาคุมให้ทัน ที่สำคัญ เผื่อเลิกกันไปคุณแม่จะได้จัดการฮุบทรัพย์สินได้อย่างไม่อายปาก คงไม่ต้องยกตัวอย่างให้ดู เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่า พระเอกคู่ขวัญ อดีตผัวเก่าน้องกระทะเหล็ก เหลือแต่ไข่กับรอยยิ้ม
ส่วนพระเอกลิ้นสั้น ผัวเบอร์ใหม่จะถูกสะกดจิตให้ซื้ออะไรบ้างต้องจับตาดูให้ดี แต่ขอบอกว่างานนี้สองแม่ลูกอาจเจอของแข็ง เพราะหมอนี่ไม่ธรรมดางกได้โล่เลยทีเดียว อย่างว่ามีผัวก็เหมือนแทงหวย ถ้าโชคดีก็รวย แต่ถ้าโชคซวย ก็โดน “แทงฟรี” อิอิ
ด้านพระเอกคู่ขวัญ พอโดนน้องกระทะเหล็ก ดูดทรัพย์ไปแทบจะหมดตัว ล่าสุด พระเอกคู่ขวัญ ก็พบรักใหม่กับสาวอีสานบ้านเดียวกันเรียบร้อยแล้ว พอว่างเว้นจากการถ่ายละครเมื่อไหร่ก็มักจะบินไปหาสาวอีสานรอรักเมื่อนั้น โดยมีคุณแม่ของพระเอกคู่ขวัญคอยมองตาขวางอยู่เป็นระยะๆ
ก็แหม....ประสบการณ์ครั้งที่แล้วคงฝังใจ งวดนี้ถ้าลูกจะมีเมียทั้งทีคงต้องเช็กให้มั่นใจว่า “คน” ไม่ใช่ “ปลิง”
ปิดท้ายด้วยเรื่องของ “นางเอกหน้าหวาน” กับ “เมียน้อยนางแบบนู้ด” หลังจากที่จดๆ จ้องๆ กันอยู่นาน ล่าสุด นางเอกหน้าหวาน ก็เปิดศึกกับเมียน้อยนางแบบนู้ดแล้วจ้า เหตุเพราะนางแบบนู้ดเอา “ผัวฟันเหยิน” ของนางเอกหน้าหวาน ไปครองแต่เพียงผู้เดียว พึ่งจะปล่อยให้ได้ไปทำลูกกันเมื่อวันหยุดที่ผ่านมานี่เอง
แต่กว่าจะได้ผัวไปทัวร์วันหยุด นางเอกหน้าหวานก็แทบอ้วก เพราะต้องบุกไปเคลียร์กับเมียน้อยนางแบบนู้ด ถึงที่เลยทีเดียว งานนี้ถึงกับยื่นคำขาดว่า ให้เลิกยุ่งกับพี่ฟันเหยิน ต้องการเงินเท่าไหร่ว่ามา เล่นเอาเมียน้อยนางแบบนู้ด ถึงกับพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่านางเอกหน้าหวาน ที่มีภาพลักษณ์เรียบร้อยจะมาขู่ถึงที่ อยากจะเถียงก็ไม่กล้า เพราะคุณนางเอกหน้าหวาน เค้าไม่ได้มาคนเดียว หากแต่ขนนางน้อยๆ มารอรุมตบอีกหลายคน ขืนฤทธิ์มากมีหวังโดนยำตีนซิลิโคนย้อยแน่ ว่าแล้วเมียน้อยนางแบบนู้ด ก็เลยหุบปากซะสนิท ปล่อยให้นางเอกหน้าหวาน เล่นงานจนหนำใจก่อนจะถอนทัพกลับไปด้วยความสะใจ
พอลับหลังนางเอกหน้าหวาน เมียน้อยนางแบบนู้ดก็เปิดหวอสู้แล้วรวยต่อไป ไม่สนคำขู่ ไม่สนเศษเงินที่นางเอกหน้าหวานจะซื้อผัวคืน เพราะถือคติกินน้อย กินนาน กินทน กินแบบหน้าด้านๆ ว่างั้นเถอะ ด้าน พี่ฟันเหยิน ก็ยังมาปฏิบัติภารกิจเป็นชู้ด้วยอยู่บ่อยๆ ก็เลยไม่มีอะไรต้องแคร์ เดินหน้าแบๆๆๆๆ ต่อปายยย
เล่นเอา นางเอกหน้าหวาน แทบจะอกแตกตาย ก็ได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ ตั้งหน้าตั้งตาจะทำลูกท่าเดียว เพื่อเป็นหลักประกันชีวิต แหม...ทำยังกับตัวเองมีมดลูกอยู่คนเดียว ระวังให้ดีเหอะ ถ้าเมียน้อยนางแบบนู้ด ท้องใส่เมื่อไหร่แล้วจะหนาว
ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า นางเอกหน้าหวาน จะมีทีเด็ดอะไรมาปราบเมียน้อย แต่คาดว่า คงจะไม่ธรรมดา เพราะนางเอกหน้าหวานคนนี้นี่แหละ ที่เคยสร้างวีรกรรมควง “เพื่อนสาวหน้าศัลยกรรม” ไปตบแหลกแล้วเอาเงินฟาดหัวเมียน้อยมานักต่อนักเมื่อสมัยที่ยังคั่วกับ “พระเอกหน้าเด็ก”
นางแบบนู้ดโปรดทราบ ถ้าไม่อยากนมบิดดั้งเบี้ยว ถอนตัวยังทันนะจ๊ะ...
ขอบคุณบทความซ้อ7 จากผู้จัดการออนไลน์
ความจริงความอุบาทว์มันทำท่าตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอน “ไอ้อึ่งอ่าง” มันออกมาเห่าตั้งแต่ก่อนเริ่มเทศกาลแล้วล่ะ คนอะไรชั่วไม่บันยะบันยัง กล้าเอาตนเองไปเปรียบกับของสูง คิดอยากจะตีตนเสมอ ช่างไม่ดูหนังหน้าของตัวเองซะเลย อีแบบนี้เค้าเรียกว่าไม่เจียม อย่าว่าแต่ขี้กลากจะขึ้นหัวเลย สังคังก็จะแด๊กหำเมิงด้วย 555
ส่วน “พ่อรูปหล่อ” พอเห็นไอ้อึ่งอ่างพลาดท่าปากหมา ก็ส่งสัญญาณให้อีห้อยอีโหนออกมาถล่มทันที ตามด้วยการเล่นบทเข้มของระดับบิ๊กที่ประกาศจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เห็นแล้วก็ขำขี้แตก ไม่ทราบว่า ไปนอนกกอีหนูที่รูไหนมา ถึงได้ไม่รู้ว่าไอ้อึ่งอ่างแอนด์เดอะแก๊งควาย มันมีพฤติกรรมชวนประหารชีวิตมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมพึ่งมาคึกฮึกเหิมเอาเมื่อตอนใกล้จะเลือกตั้ง มันก็แค่ตีปี๊บหาเสียงล่ะว้า อย่ามาทำเป็นกระแดะว่าคนอื่น ก็เพราะเอ็งไม่ใช่หรอที่ปล่อยมันออกมาป่วน แล้วจะมาเห่าหาตะกวดหรอจ๊ะ
ไอ้พวกปากว่าตาขยิบนี่มีทุกวงการซะจริงๆ ดูอย่าง “น้องกระทะเหล็ก” ผู้มีภาพลักษณ์เลิศเลอ ใครๆ ก็ชื่นชมว่า เป็นนางฟ้านางสวรรค์เพราะแอ๊บเก่งความแรดไม่มีหลุด ทั้งที่น้องกระทะเหล็กก็มีประวัติโชกโชนไม่แพ้ดาวยั่วคนอื่น ก่อนจะดังก็เคยเป็นเด็กของเสี่ยเจ้าของห้าง พอเป็นนางเอกมี “ผัวพระเอก” คู่บารมีจับคู่กันโกยเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่วายไปรับจ็อบขายตัวให้รัฐมนตรีที่ชอบท่องเที่ยว ได้เงินค่าแอ่นกระทะไปเป็นหลักล้านเลยทีเดียว
ปัจจุบันคั่วกับ “พระเอกลิ้นสั้น” น้องกระทะเหล็ก ก็ยังติดนิสัยแอ๊บ ปากก็บอกว่าไม่มีอะไร แต่ความจริงใครๆ ก็รู้ว่า น้องกระทะเหล็กคลั่งพระเอกลิ้นสั้นยังกับอะไรดี เพราะติดใจในรสจูบของพระเอกลิ้นสั้น เมื่อคราวที่เล่นละครด้วยกัน ว่ากันว่า เลิฟซีนครั้งนั้นนอกจากจะฮือฮาไปทั้งประเทศ ก็ยังสั่นสะเทือนไปยังจิ๊ของน้องกระทะเหล็ก เป็นเหตุให้ระริกระรี้ไปแฮปปี้ๆ กันหลังเลิกกองจนต้องเลิกกับผัวพระเอก
ปัจจุบันนี้ถึงน้องกระทะเหล็ก จะยังท่องคาถาเป็นพี่น้องกันค่ะ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก้าวหน้าไปมากเลยทีเดียว ถึงขั้นพาพระเอกลิ้นสั้นไปนอนกกในบ้านเรียบร้อยแล้ว โดยมีคุณแม่มาดผู้ดีของน้องกระทะเหล็ก ทำเป็นหลับหูหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คุณลูกกับผัวใหม่สำรอกความสุขไม่รู้กี่ดอกต่อกี่ดอก อีหรอบเดียวกับพระเอกคู่ขวัญเป๊ะ
แต่พอออกหน้ากล้องก็สร้างภาพเป็นคุณหนูไฮโซ ไปไหนก็มีแม่คอยสะกดรอยตามไปด้วย จะทำอะไรยังไงก็ต้องขออนุญาตคุณแม่ ดูเป็นไข่ในหินแอ๊บแบ๊วสุดๆ ที่ไหนได้ผัวนอนโด่อยู่ที่บ้าน...เอิ๊กๆ
นี่แหละมั้งที่เค้าว่า เลี้ยงลูกให้อยู่ในสายตา จะไปไหนก็ไปด้วย จะมีผัวก็ให้เอาผัวมาอยู่ด้วยในบ้าน เผื่อผิดท่าเอ๊ย! ผิดพลาดประการใดจะได้หายาคุมให้ทัน ที่สำคัญ เผื่อเลิกกันไปคุณแม่จะได้จัดการฮุบทรัพย์สินได้อย่างไม่อายปาก คงไม่ต้องยกตัวอย่างให้ดู เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่า พระเอกคู่ขวัญ อดีตผัวเก่าน้องกระทะเหล็ก เหลือแต่ไข่กับรอยยิ้ม
ส่วนพระเอกลิ้นสั้น ผัวเบอร์ใหม่จะถูกสะกดจิตให้ซื้ออะไรบ้างต้องจับตาดูให้ดี แต่ขอบอกว่างานนี้สองแม่ลูกอาจเจอของแข็ง เพราะหมอนี่ไม่ธรรมดางกได้โล่เลยทีเดียว อย่างว่ามีผัวก็เหมือนแทงหวย ถ้าโชคดีก็รวย แต่ถ้าโชคซวย ก็โดน “แทงฟรี” อิอิ
ด้านพระเอกคู่ขวัญ พอโดนน้องกระทะเหล็ก ดูดทรัพย์ไปแทบจะหมดตัว ล่าสุด พระเอกคู่ขวัญ ก็พบรักใหม่กับสาวอีสานบ้านเดียวกันเรียบร้อยแล้ว พอว่างเว้นจากการถ่ายละครเมื่อไหร่ก็มักจะบินไปหาสาวอีสานรอรักเมื่อนั้น โดยมีคุณแม่ของพระเอกคู่ขวัญคอยมองตาขวางอยู่เป็นระยะๆ
ก็แหม....ประสบการณ์ครั้งที่แล้วคงฝังใจ งวดนี้ถ้าลูกจะมีเมียทั้งทีคงต้องเช็กให้มั่นใจว่า “คน” ไม่ใช่ “ปลิง”
ปิดท้ายด้วยเรื่องของ “นางเอกหน้าหวาน” กับ “เมียน้อยนางแบบนู้ด” หลังจากที่จดๆ จ้องๆ กันอยู่นาน ล่าสุด นางเอกหน้าหวาน ก็เปิดศึกกับเมียน้อยนางแบบนู้ดแล้วจ้า เหตุเพราะนางแบบนู้ดเอา “ผัวฟันเหยิน” ของนางเอกหน้าหวาน ไปครองแต่เพียงผู้เดียว พึ่งจะปล่อยให้ได้ไปทำลูกกันเมื่อวันหยุดที่ผ่านมานี่เอง
แต่กว่าจะได้ผัวไปทัวร์วันหยุด นางเอกหน้าหวานก็แทบอ้วก เพราะต้องบุกไปเคลียร์กับเมียน้อยนางแบบนู้ด ถึงที่เลยทีเดียว งานนี้ถึงกับยื่นคำขาดว่า ให้เลิกยุ่งกับพี่ฟันเหยิน ต้องการเงินเท่าไหร่ว่ามา เล่นเอาเมียน้อยนางแบบนู้ด ถึงกับพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่านางเอกหน้าหวาน ที่มีภาพลักษณ์เรียบร้อยจะมาขู่ถึงที่ อยากจะเถียงก็ไม่กล้า เพราะคุณนางเอกหน้าหวาน เค้าไม่ได้มาคนเดียว หากแต่ขนนางน้อยๆ มารอรุมตบอีกหลายคน ขืนฤทธิ์มากมีหวังโดนยำตีนซิลิโคนย้อยแน่ ว่าแล้วเมียน้อยนางแบบนู้ด ก็เลยหุบปากซะสนิท ปล่อยให้นางเอกหน้าหวาน เล่นงานจนหนำใจก่อนจะถอนทัพกลับไปด้วยความสะใจ
พอลับหลังนางเอกหน้าหวาน เมียน้อยนางแบบนู้ดก็เปิดหวอสู้แล้วรวยต่อไป ไม่สนคำขู่ ไม่สนเศษเงินที่นางเอกหน้าหวานจะซื้อผัวคืน เพราะถือคติกินน้อย กินนาน กินทน กินแบบหน้าด้านๆ ว่างั้นเถอะ ด้าน พี่ฟันเหยิน ก็ยังมาปฏิบัติภารกิจเป็นชู้ด้วยอยู่บ่อยๆ ก็เลยไม่มีอะไรต้องแคร์ เดินหน้าแบๆๆๆๆ ต่อปายยย
เล่นเอา นางเอกหน้าหวาน แทบจะอกแตกตาย ก็ได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ ตั้งหน้าตั้งตาจะทำลูกท่าเดียว เพื่อเป็นหลักประกันชีวิต แหม...ทำยังกับตัวเองมีมดลูกอยู่คนเดียว ระวังให้ดีเหอะ ถ้าเมียน้อยนางแบบนู้ด ท้องใส่เมื่อไหร่แล้วจะหนาว
ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า นางเอกหน้าหวาน จะมีทีเด็ดอะไรมาปราบเมียน้อย แต่คาดว่า คงจะไม่ธรรมดา เพราะนางเอกหน้าหวานคนนี้นี่แหละ ที่เคยสร้างวีรกรรมควง “เพื่อนสาวหน้าศัลยกรรม” ไปตบแหลกแล้วเอาเงินฟาดหัวเมียน้อยมานักต่อนักเมื่อสมัยที่ยังคั่วกับ “พระเอกหน้าเด็ก”
นางแบบนู้ดโปรดทราบ ถ้าไม่อยากนมบิดดั้งเบี้ยว ถอนตัวยังทันนะจ๊ะ...
ขอบคุณบทความซ้อ7 จากผู้จัดการออนไลน์
วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554
เจอดีที่โรงเรมกลางใจเมือง
เริ่มเรื่องกันเลยนะคะ.....เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ5ปีมาแล้ว ช่างนั้นเราและเพื่อนในห้อง4คน ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการทัศนศึกษาซึ่งจัดโดยรัฐบาล เราได้เดินทางไปทัศนศึกษาหลายที่ในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งก็ราบรื่นและผ่านไปด้วยดี แต่คืนวันสุดท้ายเราต้องกลับมาประชุมที่สนามหลวง และนอนพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านนั้น
ขอไม่บอกชื่อแล้วกัน... ทันทีที่รถบัสหยุดอยู่หน้าโรงแรมเรารู้สึกได้ถึงความวังเวง ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ทุกคนที่นั่งอยู่ในรถก็พากันพูดคุยถึงความน่ากลัวของโรงแรมแห่งนี้ มันมีขนาดกะทัดรัด แต่สูงโปร่งขึ้นไป ปริเวณรอบนอกดูอึมครึม เงียบสงัด
หลังจากที่เราเข้าไปในโรงแรมและได้ห้องที่เค้าจัดไว้ให้แล้ว เรากับเพื่อนก็แยกกันเป็น 2 กลุ่ม โดยนอนห้องติดกัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชั้น 6 เมื่อเราขึ้นไปห้องพัก สิ่งที่เราเห็นก็คือห้องที่เราอยู่ตรงกับทางสามแพร่งพอดีและอยู่ตรงบันไดทางขึ้นด้วย
ในทางไศยศาสตร์แล้วเค้าเชื่อกันว่ามันเป็นทางผ่านเข้าออกของดวงวิญญาณ นั่นยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้เราขึ้นไปอีก ช่วงที่จะไขกุญแจเราได้เหลือบไปเห็นป้ายที่คล้องอยู่ตรงลูกบิด เขียนว่า "ห้ามรบกวน" ด้วยความที่ไม่ทันคิดบวกกับความปากพร่อยเลยแซวเพื่อนไปว่า
เดี๋ยวเราจะแขวนป้ายนี้ไว้หน้าห้อง เวลาผีมาจะได้เกรงใจไม่กล้ารบกวน ไปหาห้องข้างๆแทน เมื่อเราเก็บข้าวของแล้วเราเดินสำรวจไปรอบๆห้อง มีรูปคล้ายพระแม่มารีติดอยู่บนหัวเตียง แต่ที่หน้าแปลกก็คือ มีเส้นสีขาวคล้ายสายสิญจ์โยงจากรูปไปยังริมประตู
เพื่อนเราต่างก็มองหน้ากันแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เราเป็นคนแรกที่เข้าไปอาบน้ำก่อน ตลอดเวลาที่เราอาบน้ำเรารู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ตลอดเวลา ช่วงที่เรากำลังจะออกจากห้องน้ำ เรามองไปที่กระจกมันเป็นฝ้าขึ้นมา
แต่เราจำได้ว่าตอนอาบน้ำเราก็ปิดม่านแล้ว และกระจกกับอ่างก็อยู่ห่างกันมาก ไม่น่าจะเกิดไอไปเกาะที่กระจกได้ แต่เราก็ไม่อยากเล่าให้เพื่อนๆฟัง เพราะกลัวเค้าจะกลัว เสร็จภารกิจทุกอย่างแล้ว พวกเราก็นั่งดูหนังกัน
ซึ่งวันนั้นมีรายการมิติลี้ลับพอดี ทุกๆอย่างดูเป็นใจทำให้เรารู้สึกว่าคืนนี้เราต้องเจออะไรแน่ๆ เกือบเที่ยงคืนอยู่ดีๆ แอร์ห้องเราก็ไม่ทำงาน เราจึงโทรไปบอกเพื่อนที่อยู่อีกห้องติดกันว่าขอย้ายห้อง พวกนั้นเป็นผู้ชายก็เลยเสียสละห้องให้เรา ก่อนออกมาก็ยังแซวว่าไม่เอาป้ายไปด้วยหรอ
เดี๋ยวผีก็แวะมาเยี่ยมหรอก ห้องที่เราไปอยู่ใหม่นั้นแอร์เย็นมาก เราเลยลงมานอนข้างล่างกับเพื่อน อยู่ใต้แอร์ติดกับห้องน้ำพอดี ให้เพื่อนอีกคนนอนบนเตียง ด้วยความเมื่อยล้ามาทั้งวัน เราก็เผลอหลับไป นานเท่าไหร่ไม่รู้ เราสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่ไม่เห็นเพื่อนที่นอนข้างเราแล้ว
เราก็นึกว่าเค้าไปเข้าห้องน้ำ นอนเล่นอยู่ประมาณ 10 นาที เพื่อนคนนั้นก็ยังไม่ออกมา เราเลยเดินไปดู แต่ห้องน้ำก็ไม่มีใคร ก็เลยสงสัยว่าเค้าไปไหน แล้วสายตาเราก็มองไปเห็นประตูห้องเปิดอยู่ เราก็ตกใจมาก
นึกโกรธเพื่อนคนนั้นอยู่ในใจว่าออกไปข้างนอกทำไมไม่ปิดประตู ถ้ามีคนคิดไม่ดีแอบเข้ามาจะเป็นยังไง เรารีบเดินไปปิดประตู ขอบอกก่อนว่าประตูที่นี่แม้คนข้างในไม่ได้กดล็อคที่ลูกบิดคนข้างนอกก็เปิดมาไม่ได้ ต้องให้คนข้างในเปิด
เรากลับมาที่เตียงเพื่อเรียกเพื่อนอีกคนแต่เรียกเท่าไหร่เค้าก็ไม่ตื่น เราเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆแล้ว อยู่ๆก็เหมือนมีอะไรดลใจให้เราหันกลับไปมองที่ประตูอีกครั้ง มันเปิดออกอีกแล้ว!!!! เราแปลกใจมากแต่ก็คิดว่าเมื่อกี้คงปิดไม่สนิทเรากดล็อคที่ลูกบิดอย่างเดียว ไม่ได้ลงกลอน ถ้าดึงไม่สนิทมันอาจเด้งก็ได้.. เลยลุกขึ้นไปปิดอีกครั้ง
ช่วงที่เรากำลังจะปิดประตูเรามองออกไปข้างนอก เห็นผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างสูง ลักษณะเหมือนพวกแขกขาว แต่งตัวเหมือนพนักงานเก็บกระเป๋าของโรงแรม ยืนมองเราตรงบันได ด้วยสีหน้าที่โกรธมากๆ เรารีบถอยหลังเข้ามาในห้อง คราวนี้กดล็อคและลงกลอนด้วย ในใจก็กลัวว่าพี่เค้าจะมาว่าที่ดึกๆดื่นๆเปิดประตูออกมา คิดว่าเค้ามาดูแลนักเรียนที่มาพัก เรากลับไปปลุกเพื่อนที่นอนอยู่บนเตียง
คราวนี้เค้าลุกขึ้นมา เราเล่าให้เค้าฟังว่าเพื่อนอีกคนหายไป เค้าเลยลองโทรไปถามอีกห้องหนึ่ง ปรากฏว่าเพื่อนเราอยู่ที่ห้องนั้น เราก็ถามเค้าว่ามีอะไร เค้าตอบเราด้วยเสียงเหมือนคนกำลังร้องไห้ ว่าค่อยคุยกันพรุ่งนี้ เรารู้เลยว่าเค้าต้องเจออะไรแน่ๆ แต่ก็โล่งใจที่เค้าไม่เป็นไร
ขณะที่เรากับเพื่อนกำลังเตรียมจะนอน เพื่อนเราก็พูดขึ้นมาว่า ทำไม่ไม่ปิดประตู คราวนี้เราอึ้งไปเลย เพราะเราพึ่งล็อคและลงกลอนไปกับมือ เราอยากร้องให้มากแต่ก็กลัวเพื่อนจะกลัวไปด้วย เลยฝืนใจเดินไปปิดประตูอีกครั้ง
คืนนั้นเราไม่หลับเลย นอนสวดมนต์จนถึงเช้า พอเราลงไปที่ล็อบบี้ตอนเช้า ก็ถามเพื่อนคนนั้นว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เค้าเล่าว่าได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังกินข้าวดังอยู่ในห้อง
เค้าเรียกเรากับเพื่อนอีกคนแล้วแต่ไม่มีใครตื่น เค้ากลัวมากเลยไปนั่งกับเพื่อนอีกห้อง แต่เค้าไม่กล้าบอกเรา และเค้าก็บอกอีกว่าก่อนไปเค้าปิดประตูแล้ว และเรายังค้างคาใจกับผู้ชายที่เห็นเมื่อคืนอยู่ ก็เลยไปถามแม่บ้านว่าที่นี่มีพนักงานเป็นชาวต่างชาติหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าไม่มี เรากับเพื่อนมานั่งประมวลเหตุการณ์กันแล้ว ก็คิดว่าคงเจอดีแล้วล่ะ ก็อยากเตือนทุกคนที่ต้องไปค้างตามโรงแรมให้ระวังไว้!!!
“ไข่มุก” ไม่สน “ปุ๊กลุก” โพสต์ว่าแบ่งชนชั้น เบื่อข่าวเกาเหลาประกาศเลิกเทรนนางงาม
“ไข่มุก” ไม่อยากพูดเรื่อง “ปุ๊กลุก” โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊คหาว่า ไข่มุกกับ “ฟ้า” มิสไทยยูนิเวิร์สปีล่าสุดแบ่งชนชั้น หลัง บอกอยากให้ข่าวจบๆเสียที ยอมรับเข็ดกับข่าวเกาเหลานางงามรุ่นน้อง ปีหน้าเลยไม่ขอเป็นยุ่งเกี่ยวในการเทรนนางงามน้องใหม่แล้ว แต่จะทำเป็นหนังสือแนวฮาวทูให้ศึกษา
กลายเป็นประเด็นนางงามฟัดกันเอง หลังจากที่ “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชระตระกูล” อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2553 จู่ๆ ก็โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คว่า ภาษาไทยเป็นภาษาแม่กรุณาพูดให้ชัด และงดดัจด้วยค่ะ ไม่ต้องถึงกับ ร ล เอาแค่พูดแล้วไม่ต้องมาลิ้นพันกัน เป็น เอิ่ม เอิ่ม แบบว่า เสมือนตนอยู่ตปท.มาเป็น 10 ปี!! และตบท้ายด้วยการเฉลยว่าพูดถึงใครว่า นกบินตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ
ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวเพราะใครๆ ก็คิดว่าคนที่ปุ๊กลุกกระทบกระเทียบน่าจะเป็น “ฟ้า ชัญษร สาครจันทร์” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สคนล่าสุด อย่างไรก็ตามปุ๊กลุกก็ได้ออกมาปฏิเสธเรียบร้อยอ้างว่าพูดถึงเพื่อนที่เป็นกะเทย ด้านฟ้าเองก็ออกปากชื่นชม “ไข่มุก ชุติมา ดุรงค์เดช” อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2552 เป็นไอดอลของตัวเอง แทนที่จะเป็นสาวปุ๊กลุกอดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2553 ที่ปีใกล้เคียงกัน
และล่าสุดก็มีข่าวว่าปุ๊กลุกได้โพสต์ข้อความอีกรอบในทำนองที่ว่า ไข่มุกกับฟ้านั้นสนิทกันเพราะมีฐานะเหมือนกัน ส่วนตนมีฐานะที่ต่ำต้อยกว่าก็เลยต้องอยู่คนเดียว กลายเป็นประเด็นแบ่งชนชั้นไป งานนี้ได้เจอสาวไข่มุกในงาน “Vistra collagen Peptide4000” ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เลยชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวว่า
“คือมุกเป็นไอดอลของฟ้าก็เลยโดนโยงไปด้วย แต่ยังไงก็ไม่ได้เกาเหลากับใคร มันเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดกันเอาเองมากกว่า บางคนค่อนข้างอ่อนไหว สำหรับคนที่ตามข่าวปุ๊กลุกตลอดบางคนอาจจะคิดเผื่อเราสองคน (หัวเราะ)แต่มุกไม่คิดอยากพาดพิงถึงน้องๆแล้วล่ะ อยากให้ขาวนี้จบๆ ไป อยากให้ทุกคนติดตามเชียร์น้องฟ้า ความจริงปีนี้ไม่อยากเทรนรุ่นน้องเลยด้วยซ้ำเพราะมาจากกระแสปีที่แล้วมันไม่ค่อยดีเลยท้อแท้ แต่นี่น้องเดินเข้ามาหาเราหลังการประกวดว่า ฟ้ามีพี่มุกเป็นไอดอล เราก็ยินดีที่เขาหยิบยื่นความรักและเคารพให้ เขาก็บอกเราว่ามีอะไรก็แนะนำฟ้าด้วยนะค่ะ”
“ที่ปุ๊กลุกโพสต์ข้อความประมาณว่า มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเหมือนสังคมชั้นเดียวกัน เราแบ่งชนชั้นกันเหรอ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ทราบนะ ตอนนี้มุกกับปุ๊กลุกเจอกันน้อยลง น้องเขาถ่ายละครด้วย คือความจริงที่มุกสอนปุ๊กลุกกับสอนฟ้าก็เหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่าง มุกยังไม่เห็นข้อความนะเลยไม่อยากตีความไป แต่มุกคบคนคบที่จิตใจที่ความจริงใจ รวยแล้วไม่จริงใจก็ไม่รู้จะคบกันไปทำไมสุดท้ายมันจะเหลือแต่ความดี ข่าววันนี้พรุ่งนี้ก็หายไปแล้ว มุกไม่มีอะไรที่จะต้องได้หรือเสียเวลาคบใคร เราคบคนพื้นฐานด้านจิตใจไม่ใช่พื้นฐานการเงิน”
“เราไม่อยากไปตีความกับข้อความนั้น และก็ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องโทรไปเคลียร์กับปุ๊กลุกเจอน้องทีไรก็คุยกันเหมือนเดิมไม่มีปัญหาอะไรกัน เลยคิดว่าไม่น่าจะเอาประเด็นนี้มาพูดกัน เราเองก็กลัวคนมองว่าเวทีเราทำไมต้องแข่งกันเอง ยิ่งมีข่าวแรงๆออกมาตลอดเลย คนจะมองว่าเวทีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สต้องแรงเสมอไป มันก็กระทบต่อจิตใจเราเหมือนกัน คือตอนนี้น้องปุ๊กลุกเขาไปสายการแสดงแล้วเขาก็ไม่ต้องมาขอคำปรึกษาอะไรมุกอีกแล้ว เพราะมุกเองก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการแสดง ก็เหลือแต่น้องฟ้าที่ต้องแนะนำ เราทำตามหน้าที่ถ้ามันโดนกระแสที่บั่นทอนเราก็ท้อ”
“ต่อไปนี้มุกคิดว่าจะไม่สอนไม่อะไรให้รุ่นน้องแล้ว แต่จะเขียนเป็นหนังสือแทนวิธีการประกวดนางงามต้องทำอะไรยังไงบ้างลิสต์เป็นข้อๆเลย จะออกเป็นแบบฮาวทูเลยคงไม่ทำเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คหรอกอยากทำเองเขียนเอง จะเขียนเป็นอนุสรณ์เป็นแนวทางให้รุ่นน้องมากกว่า เพราะก่อนที่เราจะประกวดนั้นหาแนวทางจะถามใครก็ไม่ได้เลยเราต้องไปซื้อดีวีดีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปีที่ 1 ถึง 10 มาดูว่าทำไมคนนี้ถึงเข้ารอบลึกๆ ตอบคำถามยังไง เดินยังไง ยิ้มยังไงก็เลยอยากทำตรงนี้”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
กลายเป็นประเด็นนางงามฟัดกันเอง หลังจากที่ “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชระตระกูล” อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2553 จู่ๆ ก็โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คว่า ภาษาไทยเป็นภาษาแม่กรุณาพูดให้ชัด และงดดัจด้วยค่ะ ไม่ต้องถึงกับ ร ล เอาแค่พูดแล้วไม่ต้องมาลิ้นพันกัน เป็น เอิ่ม เอิ่ม แบบว่า เสมือนตนอยู่ตปท.มาเป็น 10 ปี!! และตบท้ายด้วยการเฉลยว่าพูดถึงใครว่า นกบินตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ
ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวเพราะใครๆ ก็คิดว่าคนที่ปุ๊กลุกกระทบกระเทียบน่าจะเป็น “ฟ้า ชัญษร สาครจันทร์” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สคนล่าสุด อย่างไรก็ตามปุ๊กลุกก็ได้ออกมาปฏิเสธเรียบร้อยอ้างว่าพูดถึงเพื่อนที่เป็นกะเทย ด้านฟ้าเองก็ออกปากชื่นชม “ไข่มุก ชุติมา ดุรงค์เดช” อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2552 เป็นไอดอลของตัวเอง แทนที่จะเป็นสาวปุ๊กลุกอดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2553 ที่ปีใกล้เคียงกัน
และล่าสุดก็มีข่าวว่าปุ๊กลุกได้โพสต์ข้อความอีกรอบในทำนองที่ว่า ไข่มุกกับฟ้านั้นสนิทกันเพราะมีฐานะเหมือนกัน ส่วนตนมีฐานะที่ต่ำต้อยกว่าก็เลยต้องอยู่คนเดียว กลายเป็นประเด็นแบ่งชนชั้นไป งานนี้ได้เจอสาวไข่มุกในงาน “Vistra collagen Peptide4000” ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เลยชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวว่า
“คือมุกเป็นไอดอลของฟ้าก็เลยโดนโยงไปด้วย แต่ยังไงก็ไม่ได้เกาเหลากับใคร มันเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดกันเอาเองมากกว่า บางคนค่อนข้างอ่อนไหว สำหรับคนที่ตามข่าวปุ๊กลุกตลอดบางคนอาจจะคิดเผื่อเราสองคน (หัวเราะ)แต่มุกไม่คิดอยากพาดพิงถึงน้องๆแล้วล่ะ อยากให้ขาวนี้จบๆ ไป อยากให้ทุกคนติดตามเชียร์น้องฟ้า ความจริงปีนี้ไม่อยากเทรนรุ่นน้องเลยด้วยซ้ำเพราะมาจากกระแสปีที่แล้วมันไม่ค่อยดีเลยท้อแท้ แต่นี่น้องเดินเข้ามาหาเราหลังการประกวดว่า ฟ้ามีพี่มุกเป็นไอดอล เราก็ยินดีที่เขาหยิบยื่นความรักและเคารพให้ เขาก็บอกเราว่ามีอะไรก็แนะนำฟ้าด้วยนะค่ะ”
“ที่ปุ๊กลุกโพสต์ข้อความประมาณว่า มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเหมือนสังคมชั้นเดียวกัน เราแบ่งชนชั้นกันเหรอ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ทราบนะ ตอนนี้มุกกับปุ๊กลุกเจอกันน้อยลง น้องเขาถ่ายละครด้วย คือความจริงที่มุกสอนปุ๊กลุกกับสอนฟ้าก็เหมือนกันไม่มีอะไรแตกต่าง มุกยังไม่เห็นข้อความนะเลยไม่อยากตีความไป แต่มุกคบคนคบที่จิตใจที่ความจริงใจ รวยแล้วไม่จริงใจก็ไม่รู้จะคบกันไปทำไมสุดท้ายมันจะเหลือแต่ความดี ข่าววันนี้พรุ่งนี้ก็หายไปแล้ว มุกไม่มีอะไรที่จะต้องได้หรือเสียเวลาคบใคร เราคบคนพื้นฐานด้านจิตใจไม่ใช่พื้นฐานการเงิน”
“เราไม่อยากไปตีความกับข้อความนั้น และก็ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องโทรไปเคลียร์กับปุ๊กลุกเจอน้องทีไรก็คุยกันเหมือนเดิมไม่มีปัญหาอะไรกัน เลยคิดว่าไม่น่าจะเอาประเด็นนี้มาพูดกัน เราเองก็กลัวคนมองว่าเวทีเราทำไมต้องแข่งกันเอง ยิ่งมีข่าวแรงๆออกมาตลอดเลย คนจะมองว่าเวทีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สต้องแรงเสมอไป มันก็กระทบต่อจิตใจเราเหมือนกัน คือตอนนี้น้องปุ๊กลุกเขาไปสายการแสดงแล้วเขาก็ไม่ต้องมาขอคำปรึกษาอะไรมุกอีกแล้ว เพราะมุกเองก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการแสดง ก็เหลือแต่น้องฟ้าที่ต้องแนะนำ เราทำตามหน้าที่ถ้ามันโดนกระแสที่บั่นทอนเราก็ท้อ”
“ต่อไปนี้มุกคิดว่าจะไม่สอนไม่อะไรให้รุ่นน้องแล้ว แต่จะเขียนเป็นหนังสือแทนวิธีการประกวดนางงามต้องทำอะไรยังไงบ้างลิสต์เป็นข้อๆเลย จะออกเป็นแบบฮาวทูเลยคงไม่ทำเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คหรอกอยากทำเองเขียนเอง จะเขียนเป็นอนุสรณ์เป็นแนวทางให้รุ่นน้องมากกว่า เพราะก่อนที่เราจะประกวดนั้นหาแนวทางจะถามใครก็ไม่ได้เลยเราต้องไปซื้อดีวีดีมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปีที่ 1 ถึง 10 มาดูว่าทำไมคนนี้ถึงเข้ารอบลึกๆ ตอบคำถามยังไง เดินยังไง ยิ้มยังไงก็เลยอยากทำตรงนี้”
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
นับถอยหลัง “เต๋า” พ้นโทษ ผอ.สถานกักขังโต้เจ้าตัวบริจาค 5 หมื่นสร้างแท่นพระ
นับถอยหลังวัน “เต๋า” พ้นโทษ เจ้าตัวไม่เหงาแฟนคลับลำปางหิ้วถั่วอบไปเยี่ยมถึงที่ ด้าน ผอ.สถานกักขังโต้ เต๋าบริจาค 5 หมื่นสร้างแท่นพระบูชาให้เพื่อเป็นที่ระลึก พร้อมเผย เต๋าจะได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 26 เม.ย. ที่จะถึงนี้
หลังจากที่ “เต๋า สมชาย เข็มกลัด” ถูกควบคุมตัวไปอยู่ในสถานกักขังกลาง จังหวัดลำปาง หลังตกเป็นจำเลยในคดีทำร้ายร่างกาย “นายวีระชาติ เด่นศิริกุล” หรือ “โกตา” และศาลมีคำสั่งให้กักขัง 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-25 เมษายน 2554 ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า เจ้าตัวยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้มีอาการเครียดหรือวิตกกังวลใดๆ อีกทั้งยังปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางเจ้าหน้าที่ด้วยดีไม่มีปัญหา แถมยังปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมกักขังได้เป็นอย่างดี และร่วมกิจกรรมของทางสถานกักขังโดยไม่มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
โดยที่ผ่านมา นอกจากจะมี “ยุ้ย อัฐมาศ” ภรรยาและญาติสนิทในครอบครัวเดินทางไปเยี่ยมแล้ว ยังมีแฟนคลับชาวไทยลื้อใน ต.กล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง แห่ไปให้กำลังใจพร้อมทั้งนำถั่วอบซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือของคนในชุมชนมาเยี่ยมอีกถุงใหญ่ด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลานับตั้งแต่โดนกักขัง เจ้าตัวได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงได้มีการกำชับกับทางเจ้าหน้าที่สถานกักขังว่า ไม่อนุญาตให้ใครเยี่ยมหากตนไม่ยินยอม
ล่าสุดมีข่าวว่าเต๋าจะบริจาคเงิน 5 หมื่น ให้กับสถานกักขัง เพื่อเอาไปจัดสร้างแท่นพระบูชาให้เป็นที่ระลึก ทีมข่าว “บันเทิงASTVผู้จัดการออนไลน์” จึงได้สอบถามไปยัง “เรือโทวสันต์ คำนวน” ผอ.สถานกักขังกลาง จังหวัดลำปาง แต่ปรากฏว่าข่าวดังกล่าวกลับเป็นเพียงข่าวลือ โดย ผอ.วสันต์ ยืนยันว่า เต๋ายังไม่ได้แจ้งความประสงค์ว่าจะบริจาคอะไรทิ้งสิ้น พร้อมชี้แจงว่าหากมีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นต้องมีการแจ้งเรื่องมาก่อนอยู่แล้ว แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่ได้รับรายงาน ส่วนความคืบหน้าต่างๆ ของเต๋านั้น ผอ.วสันต์ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล โดยอ้างว่าผู้บังคับบัญชาให้งดสัมภาษณ์ เนื่องจากได้พูดไปหมดแล้ว อีกทั้งเต๋าก็กำลังจะพ้นโทษในวันที่ 26 เมษายน ที่จะถึงนี้ จึงไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
หลังจากที่ “เต๋า สมชาย เข็มกลัด” ถูกควบคุมตัวไปอยู่ในสถานกักขังกลาง จังหวัดลำปาง หลังตกเป็นจำเลยในคดีทำร้ายร่างกาย “นายวีระชาติ เด่นศิริกุล” หรือ “โกตา” และศาลมีคำสั่งให้กักขัง 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-25 เมษายน 2554 ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า เจ้าตัวยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้มีอาการเครียดหรือวิตกกังวลใดๆ อีกทั้งยังปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางเจ้าหน้าที่ด้วยดีไม่มีปัญหา แถมยังปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมกักขังได้เป็นอย่างดี และร่วมกิจกรรมของทางสถานกักขังโดยไม่มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น
โดยที่ผ่านมา นอกจากจะมี “ยุ้ย อัฐมาศ” ภรรยาและญาติสนิทในครอบครัวเดินทางไปเยี่ยมแล้ว ยังมีแฟนคลับชาวไทยลื้อใน ต.กล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง แห่ไปให้กำลังใจพร้อมทั้งนำถั่วอบซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือของคนในชุมชนมาเยี่ยมอีกถุงใหญ่ด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลานับตั้งแต่โดนกักขัง เจ้าตัวได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงได้มีการกำชับกับทางเจ้าหน้าที่สถานกักขังว่า ไม่อนุญาตให้ใครเยี่ยมหากตนไม่ยินยอม
ล่าสุดมีข่าวว่าเต๋าจะบริจาคเงิน 5 หมื่น ให้กับสถานกักขัง เพื่อเอาไปจัดสร้างแท่นพระบูชาให้เป็นที่ระลึก ทีมข่าว “บันเทิงASTVผู้จัดการออนไลน์” จึงได้สอบถามไปยัง “เรือโทวสันต์ คำนวน” ผอ.สถานกักขังกลาง จังหวัดลำปาง แต่ปรากฏว่าข่าวดังกล่าวกลับเป็นเพียงข่าวลือ โดย ผอ.วสันต์ ยืนยันว่า เต๋ายังไม่ได้แจ้งความประสงค์ว่าจะบริจาคอะไรทิ้งสิ้น พร้อมชี้แจงว่าหากมีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นต้องมีการแจ้งเรื่องมาก่อนอยู่แล้ว แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่ได้รับรายงาน ส่วนความคืบหน้าต่างๆ ของเต๋านั้น ผอ.วสันต์ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล โดยอ้างว่าผู้บังคับบัญชาให้งดสัมภาษณ์ เนื่องจากได้พูดไปหมดแล้ว อีกทั้งเต๋าก็กำลังจะพ้นโทษในวันที่ 26 เมษายน ที่จะถึงนี้ จึงไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม
ขอบคุณข่าวแซ่บจากผู้จัดการออนไลน์
“เจ๊ชอบจิก” เปิดตัวผัวใหม่ป้ายแดง ซ้อ7
เห็นพวกตัวเงินตัวทองนัดหมายกันมาฉลองครบรอบวันตายแล้วแอบสะใจลึกๆ แทนที่จะทำไร่ไถนา หรือไม่ก็อยู่ในคอกดีๆ ไม่ชอบ แส่จนเอาชีวิตมาทิ้ง ถ้าจะโทษใครซักคน ก็คงต้องด่า “พ่อ” เมิงที่อยู่เมืองนอกโน่นแหละ ที่เป็นต้นเหตุความชิหายทั้งหมด แล้วเป็นไงล่ะ ต้องมานอนกลางดินกินหญ้าข้างถนน ในขณะที่มันเสวยสุขบนกองไข่เน่าสบายใจเฉิบ ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลย แต่อย่างว่า คนชิงหมาเกิดแบบนั้น ด่าไปก็เปลืองขี้ฟัน เอาไว้ให้บ้านมันโดน “เผา” จนชิหายมั่ง คนเค้าคงปิดถนนฉลองกันทั้งประเทศ เย้!!!
แค่นี้ประเทศชาติก็บอบช้ำจะแย่อยู่แล้ว ยังจะปลุกระดมกันมาซ้ำเติมอีก สงสัยกะจะเลวจนวันตาย แต่อย่างว่าถ้าไอ้ซินาอ้ามันคิดเรื่องดีๆ เป็น แผ่นดินที่ฝังวันที่มันตายคงเป็นแผ่นดินไทยบ้านที่มันเกิด ไม่ใช่เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอย่างที่เป็นอยู่
ขยันออกมาเห่าหอนเป็นวรรคเป็นเวร ปากก็บอกอยากทวงความยุติธรรม แต่ตูว่า โผล่มาตอนนี้เพราะอยากหาเงินเที่ยวสงกรานต์มากกว่าม้าง
อ้อ เกือบลืมเตือนไปเลย ใครที่จะไปเที่ยวสาดน้ำสงกรานต์ต่างจังหวัดหลายๆ วัน ถ้าเป็นไปได้โบกปูนรอบบ้านไว้ได้ก็ดี เผื่อวันดีคืนดีเกิดพวกควายแดงมันบ้าแล้วอาละวาดขึ้นมาอีก บ้านทั้งหลังมันจะเหลือแต่ตอ เดี๋ยวจะหาว่าซ้อไม่เตือน ก๊ากๆๆๆๆๆ
ก่อนจะไปขี้โม้เรื่องใต้สะดือ ซ้อขอปรบมือให้กับน้ำใจคนไทยทู้กคนที่ส่งไปช่วยพี่น้องชาวใต้ของเรา เห็นแล้วก็ปลื้มสุดใจที่ไทยแลนด์ไม่เคยทิ้งกัน ยังไงก็ขอเอาใจช่วยให้ผ่านเรื่องเลวร้ายไปให้ได้เร็วที่สุด เชื่อเถอะว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใจเสมอ ซ้อล่ะคนนึงที่จะเป็นกำลังใจให้ สู้ว้อย!!
ในขณะที่ภาคใต้ของบ้านเรากำลังทุกข์แสนสาหัสกับปัญหาน้ำท่วม วิกฤตที่อยู่เหนือการควบคุม ทางฝั่งดาวดังในวงการบันเทิงทั้งหลายก็ยังคงมั่วกับปัญหา “น้ำแตก” ไม่หยุดหย่อน แถมนับวันจะอุบาทว์ขึ้นทุกวัน เปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียยังกะอยู่ในซ่อง ยิ่งยุคนี้แล้ว หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ถ้า “เป้าตึง” มันถึงเส้นชัยตั้งกะเริ่มสตาร์ทเลยแหละ
นอกจากจะเป็นเครื่องมือทำมาหากินแล้ว ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการระเบิด “ถ้ำ” ได้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้น “พ่อเทพบุตรสุดหล่อ” กับ “พระเอกเล็บดำ” ผู้พิสมัยรูเยี่ยวและรูขี้ ที่เพิ่งสร้างวีรกามขย่มกะเทยกลางซอย คงไม่ยอมเสียเงินเป็นแสนไปฉีดขยาย “ขนาด” หัวปลาชะโดหรอก นี่ถ้าเพิ่มทางยาวได้คงทำไปแล้ว ดีที่วิวัฒนาการทางการแพทย์ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น ไม่งั้นเราคงได้เห็นสองคนนี้แบกปืนลูกซองมาทำงาน 5555
ใครที่เข้าใจว่า พ่อเทพบุตรสุดหล่อ ทำบุญด้วยห่อหมกมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ขอบอกว่า ผิดถนัดย่ะ อย่างอื่นอาจจะต้องพึ่งบุญพึ่งวาสนา แต่ของอย่างว่ามันขึ้นอยู่กับเทคนิคเท่านั้น กว่าจะตุงเป็นงูกินควายแบบนี้รู้ไว้ซะว่าพ่อเทพบุตรเค้าต้องทนเจ็บเป็นเดือนๆ กว่าจะเยี่ยว จะ YES ได้ปกติ แต่ก็นับว่าคุ้มแสนคุ้ม เพราะนอกจากหน้าตาแล้ว ตานี่ก็มี “ลำ(เอ็น)” นี่แหละ ที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้โคตรเหง้าได้ภูมิใจ เรียกว่า โด่ทุกที่ที่ไป
แหม ก็เล่นชูคอทะลุเป้ากางเกงออกมาซะขนาดนั้น ต่อให้หล่อขั้นเทพก็คงไม่มีใครอยากมองหน้าหรอกว่ะ เอิ๊กๆๆ
ไม่อย่างนั้น “เมียหน้าหัก” จะหวงจนต้องเกาะเป็นเห็บหมาขนาดนี้หรอ นมก็เล็กขาก็สั้น ดั้งยังหักอีกต่างหาก พ่อเทพบุตรทนได้เป็นปีๆ ก็อะเมซิ่งชีวิตมากแล้วย่ะ ซ้อว่าคงมีชะนีไทยมากกว่าล้านคนแช่งให้น้องดั้งหักไปให้พ้นๆ ขนาดคนมีผัวแล้วอย่างซ้อ เห็นแล้วยังคันคะเยอ แล้วถ้าชะนีทั่วฟ้าเมืองไทยมันไม่รู้สึกอะไร ก็ไปเย็บปิดตายมันซะเลยดีกว่า
แต่อย่างว่าของปลอมมันจะสู้ของจริงได้ยังไง วันนึงก็ต้องหมดอายุ แถมยังเสี่ยงกับการเน่าอีกต่างหาก บางคนวิกฤตถึงขั้นต้องตัดเลยตัดเลยชับๆๆ ทิ้งเป็นขันทีไปเลยก็มี ก็เลือกเอาว่าระหว่างเหี่ยวเป็นมะเขือเผา กับจู๋เน่าอันไหนมันตกนรกน้อยกว่ากัน
นี่แหละน้าที่เค้าบอกว่าเกิดเป็นคนมันไม่รู้จักพอ อีกคนที่อยากดังอยากโด่ก็ “พระเอกหน้าลาวกามใหญ่” วิกน้อยสี ผู้แจ้งเกิดจากเวทีนายแบบ ตานี่เป็นรายล่าสุดที่เพิ่งไปนอนให้หมอระเบิดขนาด อัปเกรดจากปลาไหลเป็นงูหลามสดๆ ร้อนๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวเหมือนผู้ชายหลายๆ คนที่เค้าอ้างกัน หรือเป็นเพราะอยากลบปมด้อยของตัวเองก็ไม่ทราบ แต่จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ช่าง ตอนนี้รู้แค่ว่าพระเอกหน้าลาวได้กลายเป็นขวัญใจ เก้ง กวาง แอนด์ ชะนี ไปเรียบร้อยโรงเรียนน้ำเชื้อ หนึ่งในนั้นก็ “เจ๊ชอบจิก” ผัวรุ่นบุกเบิกของ “พระเอกเกย์รุ่นดึก” ผู้แอ๊บแตกมาเป็นสิบๆ ปี
ว่ากันว่า เจ๊ชอบจิกนั้น ชอบพระเอกหน้าลาวเอามากๆ เพราะรูปร่างกำยำตรงสเปก แถมนิสัยใจคอก็บ้านนอกบ้านนา ว่านอนสอนง่าย ที่สำคัญ ดีกรีเป็นพระเอกเหมือนผัวหลวงเป๊ะๆ สมัยที่พระเอกหน้าลาว เข้าวงการมาใหม่ๆ เล่นละครอยู่หลายเรื่องก็จริง แต่เล่นยังไงก็ไม่ดังซักที เพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้ก็ตอนที่ได้เจ๊ชอบจิกยื่นตูดเข้ามาช่วย “ดัน” นี่แหละ ทั้งๆ ที่เล่นแข็งยังกะสากอ่างศิลา จนเพื่อนดาราด้วยกันยังหมั่นไส้ พูดง่ายๆ ว่า ต่อให้ฝีมือเข้าขั้นตุ๊กตาทอง เจ๊แกยังไม่แล เรียกว่า บทเรื่องไหนเด่นเรื่องไหนดี เจ๊ชอบจิก จะเก็บไว้ให้พระเอกหน้าปลาร้าเล่นอยู่คนเดียว
อย่าว่าแต่ดาราด้วยกันจะหมั่นไส้เลย ขนาดผัวตัวเป็นๆ ของเจ๊ชอบจิก ยังรับไม่ได้จนเกือบบ้านแตกมาแล้ว
นอกจากพระเอกเกย์รุ่นดึกแล้ว เจ๊ชอบจิก ยังมีผัวน้อยอีกคนที่ขึ้นหม้อถึงขนาดเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนนั้นก็คือ “น้องพระเอกที่ชอบเข้าป่า” ว่ากันว่า นอกจากพระเอกเกย์รุ่นดึกแล้ว ก็มีน้องพระเอกคนนี้นี่แหละที่เจ๊ชอบจิกรักถวายหัว ถึงขั้นเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นผัวลับๆ มาหลายปี เพื่อนฝูงจะรู้ดีว่าเจ๊ชอบจิกหวงไข่น้องพระเอกคนนี้ยิ่งกว่าอะไรดี ถึงขนาดสั่งไม่ให้เล่นละคร เพราะกลัวจะมาเกาะแกะของแท้ ที่ไม่ใช่ผู้ฉิงมีองคชาตเหมือนตัวเอง วันๆ ก็เลยเอาแต่ระเบิดถังขี้ ไม่ได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน
แต่อย่างว่า หลับหูหลับตาก้มหัวให้ขาใหญ่ของวงการ ถึงจะปากหมา ขี้วีน แต่แลกกับการได้ตกถังขี้ เอ้ย ตกถังข้าวสาร ก็ถือซะว่า WIN WIN อิอิอิ
ด้วยความที่ฟ้าเหลืองกันมาหลายปี บวกกับเวลาเจ๊ชอบจิ๊ก รักใครก็มักจะทุ่มเทบำรุงแอนด์บำเรอให้เต็มที่ เหตุนี้เองก็เลยทำให้น้องพระเอกรายนี้ ทั้งรักทั้งบูชาเจ๊ชอบจิกไม่น้อยไปกว่ากัน เข้าขั้นหึงเลยทีเดียว
จนมีอยู่วันนึงที่ตานี่จับได้ว่า เจ๊ชอบจิ๊ก ไปสั่นตูดยิกๆ ใส่พระเอกหน้าลาว แถมยังออกหน้าออกตาดันสุดโต่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ทำให้ตานี่โกรธ และเสียใจมากที่ตัวเองโดนสวมเขา อย่างที่รู้ๆ ว่า เพศนี้เค้ารักแรงเกลียดแรงขนาดไหน งานนี้ถึงขั้นตบะแตก ตามไปอาละวาดถึงกองถ่ายที่พระเอกหน้าลาวทำงานอยู่ ทำเอาทีมงานเกาหัวแกรกๆ งงว่าน้องพระเอกรายนี้มาทำไม เพราะไม่ได้เล่นเรื่องนี้เลย จะว่ามีเพื่อนในกองเรื่องนี้รึก็ไม่ใช่
ว่าแล้วทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ ก็ปรี่เข้าไปลากแขนพระเอกหน้าลาว หายเข้าไปหลังกองถ่าย แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง แล้วมีหรอที่เรื่องชาวบ้านแบบนี้จะไม่มีใครอยากเจือก เห็นเคลียร์กันอยู่นาน จับประโยคเด็ดได้ว่า “ไอ้หน้าลาวเมิงห้ามยุ่งกะตูดเมียตูอีก อย่าหาว่าไม่เตือน” แต่ไม่ทันที่ด่าอะไรกันมาก อยู่ดีๆ อีก็ทำตัวเป็น จา พนม กระโดดถีบขาหน้าไปกลางอกพระเอกหน้าลาว แต่ดีที่หลบทัน ไม่งั้นมีหวังได้หามส่งโรงพยาบาล แล้วก็ไปตอแหลนักข่าวว่าผิดคิวอีกตามเคย
ถือว่าโชคยังเข้าข้างพระเอกหน้าลาว ที่หลบส้งตีงทันเส้นยาแดงผ่าแปด …นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จาเรี๊ยวใหญ่ทนแค่แรงอัด (ถั่วดำ) แต่ทนแรงถีบไม่ได้ 5555
ขอบคุณบทความซ้อ7จากผู้จัดการออนไลน์
แค่นี้ประเทศชาติก็บอบช้ำจะแย่อยู่แล้ว ยังจะปลุกระดมกันมาซ้ำเติมอีก สงสัยกะจะเลวจนวันตาย แต่อย่างว่าถ้าไอ้ซินาอ้ามันคิดเรื่องดีๆ เป็น แผ่นดินที่ฝังวันที่มันตายคงเป็นแผ่นดินไทยบ้านที่มันเกิด ไม่ใช่เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอย่างที่เป็นอยู่
ขยันออกมาเห่าหอนเป็นวรรคเป็นเวร ปากก็บอกอยากทวงความยุติธรรม แต่ตูว่า โผล่มาตอนนี้เพราะอยากหาเงินเที่ยวสงกรานต์มากกว่าม้าง
อ้อ เกือบลืมเตือนไปเลย ใครที่จะไปเที่ยวสาดน้ำสงกรานต์ต่างจังหวัดหลายๆ วัน ถ้าเป็นไปได้โบกปูนรอบบ้านไว้ได้ก็ดี เผื่อวันดีคืนดีเกิดพวกควายแดงมันบ้าแล้วอาละวาดขึ้นมาอีก บ้านทั้งหลังมันจะเหลือแต่ตอ เดี๋ยวจะหาว่าซ้อไม่เตือน ก๊ากๆๆๆๆๆ
ก่อนจะไปขี้โม้เรื่องใต้สะดือ ซ้อขอปรบมือให้กับน้ำใจคนไทยทู้กคนที่ส่งไปช่วยพี่น้องชาวใต้ของเรา เห็นแล้วก็ปลื้มสุดใจที่ไทยแลนด์ไม่เคยทิ้งกัน ยังไงก็ขอเอาใจช่วยให้ผ่านเรื่องเลวร้ายไปให้ได้เร็วที่สุด เชื่อเถอะว่าฟ้าหลังฝนย่อมสดใจเสมอ ซ้อล่ะคนนึงที่จะเป็นกำลังใจให้ สู้ว้อย!!
ในขณะที่ภาคใต้ของบ้านเรากำลังทุกข์แสนสาหัสกับปัญหาน้ำท่วม วิกฤตที่อยู่เหนือการควบคุม ทางฝั่งดาวดังในวงการบันเทิงทั้งหลายก็ยังคงมั่วกับปัญหา “น้ำแตก” ไม่หยุดหย่อน แถมนับวันจะอุบาทว์ขึ้นทุกวัน เปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียยังกะอยู่ในซ่อง ยิ่งยุคนี้แล้ว หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ถ้า “เป้าตึง” มันถึงเส้นชัยตั้งกะเริ่มสตาร์ทเลยแหละ
นอกจากจะเป็นเครื่องมือทำมาหากินแล้ว ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการระเบิด “ถ้ำ” ได้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้น “พ่อเทพบุตรสุดหล่อ” กับ “พระเอกเล็บดำ” ผู้พิสมัยรูเยี่ยวและรูขี้ ที่เพิ่งสร้างวีรกามขย่มกะเทยกลางซอย คงไม่ยอมเสียเงินเป็นแสนไปฉีดขยาย “ขนาด” หัวปลาชะโดหรอก นี่ถ้าเพิ่มทางยาวได้คงทำไปแล้ว ดีที่วิวัฒนาการทางการแพทย์ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น ไม่งั้นเราคงได้เห็นสองคนนี้แบกปืนลูกซองมาทำงาน 5555
ใครที่เข้าใจว่า พ่อเทพบุตรสุดหล่อ ทำบุญด้วยห่อหมกมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ขอบอกว่า ผิดถนัดย่ะ อย่างอื่นอาจจะต้องพึ่งบุญพึ่งวาสนา แต่ของอย่างว่ามันขึ้นอยู่กับเทคนิคเท่านั้น กว่าจะตุงเป็นงูกินควายแบบนี้รู้ไว้ซะว่าพ่อเทพบุตรเค้าต้องทนเจ็บเป็นเดือนๆ กว่าจะเยี่ยว จะ YES ได้ปกติ แต่ก็นับว่าคุ้มแสนคุ้ม เพราะนอกจากหน้าตาแล้ว ตานี่ก็มี “ลำ(เอ็น)” นี่แหละ ที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้โคตรเหง้าได้ภูมิใจ เรียกว่า โด่ทุกที่ที่ไป
แหม ก็เล่นชูคอทะลุเป้ากางเกงออกมาซะขนาดนั้น ต่อให้หล่อขั้นเทพก็คงไม่มีใครอยากมองหน้าหรอกว่ะ เอิ๊กๆๆ
ไม่อย่างนั้น “เมียหน้าหัก” จะหวงจนต้องเกาะเป็นเห็บหมาขนาดนี้หรอ นมก็เล็กขาก็สั้น ดั้งยังหักอีกต่างหาก พ่อเทพบุตรทนได้เป็นปีๆ ก็อะเมซิ่งชีวิตมากแล้วย่ะ ซ้อว่าคงมีชะนีไทยมากกว่าล้านคนแช่งให้น้องดั้งหักไปให้พ้นๆ ขนาดคนมีผัวแล้วอย่างซ้อ เห็นแล้วยังคันคะเยอ แล้วถ้าชะนีทั่วฟ้าเมืองไทยมันไม่รู้สึกอะไร ก็ไปเย็บปิดตายมันซะเลยดีกว่า
แต่อย่างว่าของปลอมมันจะสู้ของจริงได้ยังไง วันนึงก็ต้องหมดอายุ แถมยังเสี่ยงกับการเน่าอีกต่างหาก บางคนวิกฤตถึงขั้นต้องตัดเลยตัดเลยชับๆๆ ทิ้งเป็นขันทีไปเลยก็มี ก็เลือกเอาว่าระหว่างเหี่ยวเป็นมะเขือเผา กับจู๋เน่าอันไหนมันตกนรกน้อยกว่ากัน
นี่แหละน้าที่เค้าบอกว่าเกิดเป็นคนมันไม่รู้จักพอ อีกคนที่อยากดังอยากโด่ก็ “พระเอกหน้าลาวกามใหญ่” วิกน้อยสี ผู้แจ้งเกิดจากเวทีนายแบบ ตานี่เป็นรายล่าสุดที่เพิ่งไปนอนให้หมอระเบิดขนาด อัปเกรดจากปลาไหลเป็นงูหลามสดๆ ร้อนๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวเหมือนผู้ชายหลายๆ คนที่เค้าอ้างกัน หรือเป็นเพราะอยากลบปมด้อยของตัวเองก็ไม่ทราบ แต่จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ช่าง ตอนนี้รู้แค่ว่าพระเอกหน้าลาวได้กลายเป็นขวัญใจ เก้ง กวาง แอนด์ ชะนี ไปเรียบร้อยโรงเรียนน้ำเชื้อ หนึ่งในนั้นก็ “เจ๊ชอบจิก” ผัวรุ่นบุกเบิกของ “พระเอกเกย์รุ่นดึก” ผู้แอ๊บแตกมาเป็นสิบๆ ปี
ว่ากันว่า เจ๊ชอบจิกนั้น ชอบพระเอกหน้าลาวเอามากๆ เพราะรูปร่างกำยำตรงสเปก แถมนิสัยใจคอก็บ้านนอกบ้านนา ว่านอนสอนง่าย ที่สำคัญ ดีกรีเป็นพระเอกเหมือนผัวหลวงเป๊ะๆ สมัยที่พระเอกหน้าลาว เข้าวงการมาใหม่ๆ เล่นละครอยู่หลายเรื่องก็จริง แต่เล่นยังไงก็ไม่ดังซักที เพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้ก็ตอนที่ได้เจ๊ชอบจิกยื่นตูดเข้ามาช่วย “ดัน” นี่แหละ ทั้งๆ ที่เล่นแข็งยังกะสากอ่างศิลา จนเพื่อนดาราด้วยกันยังหมั่นไส้ พูดง่ายๆ ว่า ต่อให้ฝีมือเข้าขั้นตุ๊กตาทอง เจ๊แกยังไม่แล เรียกว่า บทเรื่องไหนเด่นเรื่องไหนดี เจ๊ชอบจิก จะเก็บไว้ให้พระเอกหน้าปลาร้าเล่นอยู่คนเดียว
อย่าว่าแต่ดาราด้วยกันจะหมั่นไส้เลย ขนาดผัวตัวเป็นๆ ของเจ๊ชอบจิก ยังรับไม่ได้จนเกือบบ้านแตกมาแล้ว
นอกจากพระเอกเกย์รุ่นดึกแล้ว เจ๊ชอบจิก ยังมีผัวน้อยอีกคนที่ขึ้นหม้อถึงขนาดเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนนั้นก็คือ “น้องพระเอกที่ชอบเข้าป่า” ว่ากันว่า นอกจากพระเอกเกย์รุ่นดึกแล้ว ก็มีน้องพระเอกคนนี้นี่แหละที่เจ๊ชอบจิกรักถวายหัว ถึงขั้นเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นผัวลับๆ มาหลายปี เพื่อนฝูงจะรู้ดีว่าเจ๊ชอบจิกหวงไข่น้องพระเอกคนนี้ยิ่งกว่าอะไรดี ถึงขนาดสั่งไม่ให้เล่นละคร เพราะกลัวจะมาเกาะแกะของแท้ ที่ไม่ใช่ผู้ฉิงมีองคชาตเหมือนตัวเอง วันๆ ก็เลยเอาแต่ระเบิดถังขี้ ไม่ได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน
แต่อย่างว่า หลับหูหลับตาก้มหัวให้ขาใหญ่ของวงการ ถึงจะปากหมา ขี้วีน แต่แลกกับการได้ตกถังขี้ เอ้ย ตกถังข้าวสาร ก็ถือซะว่า WIN WIN อิอิอิ
ด้วยความที่ฟ้าเหลืองกันมาหลายปี บวกกับเวลาเจ๊ชอบจิ๊ก รักใครก็มักจะทุ่มเทบำรุงแอนด์บำเรอให้เต็มที่ เหตุนี้เองก็เลยทำให้น้องพระเอกรายนี้ ทั้งรักทั้งบูชาเจ๊ชอบจิกไม่น้อยไปกว่ากัน เข้าขั้นหึงเลยทีเดียว
จนมีอยู่วันนึงที่ตานี่จับได้ว่า เจ๊ชอบจิ๊ก ไปสั่นตูดยิกๆ ใส่พระเอกหน้าลาว แถมยังออกหน้าออกตาดันสุดโต่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ทำให้ตานี่โกรธ และเสียใจมากที่ตัวเองโดนสวมเขา อย่างที่รู้ๆ ว่า เพศนี้เค้ารักแรงเกลียดแรงขนาดไหน งานนี้ถึงขั้นตบะแตก ตามไปอาละวาดถึงกองถ่ายที่พระเอกหน้าลาวทำงานอยู่ ทำเอาทีมงานเกาหัวแกรกๆ งงว่าน้องพระเอกรายนี้มาทำไม เพราะไม่ได้เล่นเรื่องนี้เลย จะว่ามีเพื่อนในกองเรื่องนี้รึก็ไม่ใช่
ว่าแล้วทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ ก็ปรี่เข้าไปลากแขนพระเอกหน้าลาว หายเข้าไปหลังกองถ่าย แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง แล้วมีหรอที่เรื่องชาวบ้านแบบนี้จะไม่มีใครอยากเจือก เห็นเคลียร์กันอยู่นาน จับประโยคเด็ดได้ว่า “ไอ้หน้าลาวเมิงห้ามยุ่งกะตูดเมียตูอีก อย่าหาว่าไม่เตือน” แต่ไม่ทันที่ด่าอะไรกันมาก อยู่ดีๆ อีก็ทำตัวเป็น จา พนม กระโดดถีบขาหน้าไปกลางอกพระเอกหน้าลาว แต่ดีที่หลบทัน ไม่งั้นมีหวังได้หามส่งโรงพยาบาล แล้วก็ไปตอแหลนักข่าวว่าผิดคิวอีกตามเคย
ถือว่าโชคยังเข้าข้างพระเอกหน้าลาว ที่หลบส้งตีงทันเส้นยาแดงผ่าแปด …นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จาเรี๊ยวใหญ่ทนแค่แรงอัด (ถั่วดำ) แต่ทนแรงถีบไม่ได้ 5555
ขอบคุณบทความซ้อ7จากผู้จัดการออนไลน์
คืนขวัญหาย
ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผี และไม่คิดว่าจะมีผีในโลก จนกระทั่งเมื่อปีก่อน ช่วงหยุดยาววันขึ้นปีใหม่ ดิฉันกับเพื่อนๆไปเช่าบังกะโลอยู่ที่บางแสน พวกเราต้องเจอกับปรากฏการณ์สยองขวัญ จนต้องรีบเผ่นออกมาในกลางดึกคืนนั้น
ตามที่รู้ๆกันอยู่ว่าช่วงหยุดยาว ปีใหม่ของทุกๆปีผู้คนจะแห่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันล้นหลาม คิดอีกทีก็น่าเบื่อค่ะ
ปกติดิฉันเองไม่ค่อยชอบที่จะต้องไปแย่งกินแย่งอยู่กับคลื่นมหาชนขนาดนั้น แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะ ดิฉันเป็นพนักงานบริษัท ไม่ได้ทำงานอิสระ จึงต้องมีวันหยุดตรงกับคนส่วนใหญ่ ที่สำคัญพวกสาวโสดอย่างดิฉันก็อยากไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากับเขามั่ง
พวกเรารวม 6 คนถือโอกาสนี้ไปเที่ยวทะเลกัน นี่อาจเป็นการเที่ยวแบบโสดๆ ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ เพราะปีหน้ามีใครบางคนในกลุ่มเราจะแต่งงานแล้ว
เราตัดสินใจค่อนข้างกะทันหัน ดิฉันหมายถึงการคิดวางแผนจะไปเที่ยวทะเลน่ะค่ะ แค่ 6 คนยังเหมือนจับปูใส่กระด้ง เดี๋ยวคนนั้นติดโน่น คนนี้ติดนี่ ไม่มีใครแน่ใจว่าจะว่างหรือไม่ว่าง แต่เมื่ออยากไปหนักๆเข้าก็เป็นอันตกลงกันว่า เราจะไปวันศุกร์ค้างคืนเดียวแล้วกลับวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม จะได้ทันฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ พี่น้องและแฟนของเรา
แหม...ขนาดคิดว่าสับหลีกกับคนอื่นๆได้แล้วนะ แต่จริงๆน่ะ โรงแรม, รีสอร์ต, บังกะโล เต็มหมดทุกที่ โดยเฉพาะที่หัวหิน, พัทยา เขาว่าต้องจองกันเป็นเดือนๆ จวนเจียนจะถอดใจ ล้มแผนการกันอย่างสุดเสียดายซะแล้ว พอดีโจ้ใช้ความมานะพยายามตามล่าบังกะโลได้หนึ่งหลังที่บางแสน
คนเราใจมันอยากไปก็ต้องหาทางไปจนได้ล่ะค่ะ!
เช้าวันศุกร์ เรานั่งเบียดกันในรถของสาวโจ้ มุ่งหน้าไปบางแสนทันทีด้วยอารมณ์ชื่นมื่นสุดขีด เหมือนปลาที่ถูกปล่อยลงน้ำ ไม่มีสังหรณ์เลยว่าจะเจออะไร จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง
ที่พักนี่ค่อนข้างอยู่ไกลคน และดูเหงาๆพิกล แต่เราคิดว่าเอาเถอะน่า ยังไงก็ได้เห็นทะเล ถึงจะไกลไปหน่อย แต่เดี๋ยวเรานั่งรถไปนั่งหาดบางแสนกันทั้งวันก็ได้
สถานที่ว่าห่างแล้ว บังกะโลหลังของเรายังอยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด มันเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่นเล็กๆ ซึ่งมีทีวีตั้งอยู่เครื่องหนึ่ง พอเก็บกระเป๋าเข้าที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกไปเที่ยวทันที กว่าจะกลับมานอนก็สามทุ่มแน่ะ
กินข้าวกินปลา อร่อยกับอาหารทะเลมาจนหนังท้องตึง!
เมื่อเช้าตอนเข้ามาก็ว่าวังเวงแล้ว ตอนกลางคืนยิ่งน่ากลัวพิลึก บังกะโลหลังอื่นมีคนพักกันเต็ม บางหลังเปิดไฟสว่าง มากันพ่อแม่ลูก บางหลังยังมืดๆ
พวกเราอาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งดูทีวีกัน ราวห้าทุ่มกว่าๆ เรายังไม่ง่วงสักคน ทันใดนั้น เราได้ยินเสียงอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำทางห้องนอนดิฉัน เรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก...เป็นไปไม่ได้เลยที่เสียงนั้นจะสะท้อนมาจากบังกะโลหลังอื่น
มันเป็นเสียงเปิดฝักบัวแรงสุด ดังอยู่ใกล้ตัวเราชัดๆ!
ตอนนั้นดิฉันขนลุกไปทั้งตัวเลยค่ะ พวกเรานั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง 6 คน...แล้วใครล่ะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั่น?
พวกเราลุกขึ้นเดินเข้าไปดู เกาะหลังกันเป็นพรวน นึกแล้วตลกดี แต่ตอนนั้นไม่ได้ขำเลยค่ะ ยิ่งตอนเอามือผลักประตูห้องน้ำเข้าไปน่ะ มันทรมานใจน่าดู
ประตูห้องน้ำเปิดดังแอ๊ด เสียงฝักบัวหยุดสนิทเหมือนปิดสวิตช์ ห้องน้ำยังมีหยดน้ำที่เราอาบเมื่อชั่วโมงก่อน ดูๆไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในความรู้สึกน่ะมันหลอนมาก เราพยายามคิดว่าเสียงน้ำฝักบัวนั้นมาจากไหน? ส่วนดิฉันเอามือทาบอก ว่าคืนนี้จะนอนยังไงถึงจะไม่กลัวผี แต่ก็เริ่มระแวง ในใจไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เห็นมั้ยคะ? โปรดสังเกต...เราไม่ได้กลัวผี แต่กลัวสิ่งที่ไม่รู้ต่างหาก!
ความที่ดิฉันเป็นคนใจแข็ง เพื่อนๆก็หวังพึ่งน่ะซีคะ ดิฉันบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ถึงจะเป็นผี...สมมติว่ามีผีจริงๆนะ มันก็ทำได้แค่นี้แหละ
พูดจบปุ๊บมีเสียงตบฝาผนังดังปัง! เสียงดังมากจริงๆ บ้านสะเทือนเชียวล่ะค่ะ เสียงนั้นมาจากอีกห้อง ซึ่งเพื่อนๆ 3 คนจะนอนในคืนนี้ พวกขวัญอ่อนถึงกับผวา พวกใจแข็งบอกว่าอาจจะมีผลไม้อะไรตกใส่บ้าน แต่รอบๆบังกะโลของเรามีแต่ดอกไม้พุ่ม ไม่มีไม้ใหญ่อย่างมะพร้าว มะม่วงหรือขนุนเลย...
เออ! บางทีอาจเป็นนกหรือค้างคาวบินมาชนก็ได้ละมัง?
เกือบตีหนึ่ง ทุกอย่างดูเป็นปกติดี ไม่มีเสียงน่าขนลุกเกิดขึ้นอีก เราเลยแยกย้ายกันไปนอน และขอบอกนะคะ เราเปิดไฟนอนค่ะ...ดิฉันนอนตรงกลางระหว่างเพื่อนสองคน...ขณะเคลิ้มหลับก็มีมือเย็นเฉียบมาจับข้อเท้าและลากดิฉันพรวดเดียว ตกลงมาทางปลายเตียง หัวโขกกับพื้น เจ็บและมึนมาก แต่ดิฉันแทบจะลืมความเจ็บเพราะตกใจสุดขีด
เพื่อนสองคนผวาขึ้นมามองดิฉันที่กองอยู่กับพื้น ขณะเดียวกัน อีกสามคนทางโน้นก็วิ่งร้องกรี๊ดกร๊าดเข้ามา ละล่ำละลักว่าเห็นผู้ชายตัวดำมืดมายืนคอเอียงพับที่หน้าต่าง
ไม่ต้องรอช้าเลยค่ะ พวกเราโกยเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า กวาดเครื่องประทินโฉมทุกอย่างลงย่าม รูดซิปปื้ดแล้วเผ่นไปขึ้นรถ ขับออกมาทางด้านหน้า พยายามมองหาคนที่ดูแลก็ไม่พบ เจอแต่ยามที่ยืนมองเราเฉยๆ ดูเขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบังกะโลหลังสุดท้าย
พวกเรามาถึงกรุงเทพฯ เกือบตีสี่ นั่งตัวสั่นมาในรถตลอดทาง ดีนะที่ไม่เจออุบัติเหตุ ดิฉันเป็นคนเดียวที่มีแผลปูดหลังศีรษะเป็นพยานหลักฐาน ไม่รู้จะอธิบายกับสิ่งที่เจอมาว่าอย่างไรดี นอกจากคำว่า "ผีหลอก"
ดิฉันเชื่อแล้วล่ะค่ะ คิดในแง่ดี เมื่อปีกลายเป็นปีใหม่ที่ทำให้เรามีเรื่องคุยไปได้อีกนาน!
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554
4Minute เผยคลิปวีดีโอซ้อมเต้น 'Mirror Mirror' แฟนอึ้ง ลีดเดอร์พลาดศอกหน้าน้องเล็ก 'โซฮยอน'
4Minute เผยคลิปวีดีโอการซ้อมเต้นเพลง Mirror Mirror
20 เมษายน ช่วงเย็น 4minute โพสคลิปวีดีโอซ้อมเต้นเพลง 'Mirror Mirror' ผ่านทางเว็บแฟนคาเฟ่หลัก โดยในคลิปวีดีโอนี้เป็นการซ้อมเต้นท่าใหม่หลังจากที่พวกเธอโดนวิจารณ์อย่างหนักในหน้าที่แยกขาจน 4minute ต้องมาปรับเปลี่ยนเป็นท่าเวฟคลื่นสุดเซ็กซี่แทนท่าเต้นเดิม
ในคลิปวีดีโอ 4minute มาพร้อมกับเสื้อผ้าสบายๆเหมือนหญิงสาวทั่วไป อย่างไรก็ตามการเต้นอันทรงพลังของพวกเธอที่ไม่แตกต่างไปจากบนเวทีก็ทำให้ทุกคนต้องจับตามองกันอย่างถ้วนหน้า
ในช่วงท้ายของคลิปวีดีโอฮยอนอายังได้ฝากข้อความแบบน่ารักกับแฟนๆว่า "ช่วยรักพวกเราด้วยนะคะ" เรียกได้ว่าทำเอาหัวใจแฟนคลับหนุ่มถึงกับสั่นระรัวเลยทีเดียว
นอกจากคลิปซ้อมเต้นแบบเต็มเพลงแล้วยังมีคลิปวีดีโอสั้นๆที่เผยความผิดพลาดของพวกเธอ โดยในคลิปนี้ระหว่างที่หัวหน้าวงนัมจีฮยอนเต้นเปลี่ยนตำแหน่ง ข้อศอกของเธอก็ไปโดนหน้าของน้องเล็กควอนโซฮยอน ทำเอาแฟนๆอึ้งกันไปเลยทีเดียว
ท่าใหม่เพลง Mirror Mirror
4Minute กำลังทำกิจกรรมในเพลง 'Mirror Mirror' ท่ามกลางความนิยมจนสามารถคว้าอันดับที่ 1 ในชาร์ตประจำสัปดาห์ได้อย่างถ้วนหน้า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)