วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

คืนขวัญหาย

ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผี และไม่คิดว่าจะมีผีในโลก จนกระทั่งเมื่อปีก่อน ช่วงหยุดยาววันขึ้นปีใหม่ ดิฉันกับเพื่อนๆไปเช่าบังกะโลอยู่ที่บางแสน พวกเราต้องเจอกับปรากฏการณ์สยองขวัญ จนต้องรีบเผ่นออกมาในกลางดึกคืนนั้น

ตามที่รู้ๆกันอยู่ว่าช่วงหยุดยาว ปีใหม่ของทุกๆปีผู้คนจะแห่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันล้นหลาม คิดอีกทีก็น่าเบื่อค่ะ

ปกติดิฉันเองไม่ค่อยชอบที่จะต้องไปแย่งกินแย่งอยู่กับคลื่นมหาชนขนาดนั้น แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะ ดิฉันเป็นพนักงานบริษัท ไม่ได้ทำงานอิสระ จึงต้องมีวันหยุดตรงกับคนส่วนใหญ่ ที่สำคัญพวกสาวโสดอย่างดิฉันก็อยากไปเที่ยวเปิดหูเปิดตากับเขามั่ง

พวกเรารวม 6 คนถือโอกาสนี้ไปเที่ยวทะเลกัน นี่อาจเป็นการเที่ยวแบบโสดๆ ด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ เพราะปีหน้ามีใครบางคนในกลุ่มเราจะแต่งงานแล้ว

เราตัดสินใจค่อนข้างกะทันหัน ดิฉันหมายถึงการคิดวางแผนจะไปเที่ยวทะเลน่ะค่ะ แค่ 6 คนยังเหมือนจับปูใส่กระด้ง เดี๋ยวคนนั้นติดโน่น คนนี้ติดนี่ ไม่มีใครแน่ใจว่าจะว่างหรือไม่ว่าง แต่เมื่ออยากไปหนักๆเข้าก็เป็นอันตกลงกันว่า เราจะไปวันศุกร์ค้างคืนเดียวแล้วกลับวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม จะได้ทันฉลองปีใหม่กับพ่อแม่ พี่น้องและแฟนของเรา

แหม...ขนาดคิดว่าสับหลีกกับคนอื่นๆได้แล้วนะ แต่จริงๆน่ะ โรงแรม, รีสอร์ต, บังกะโล เต็มหมดทุกที่ โดยเฉพาะที่หัวหิน, พัทยา เขาว่าต้องจองกันเป็นเดือนๆ จวนเจียนจะถอดใจ ล้มแผนการกันอย่างสุดเสียดายซะแล้ว พอดีโจ้ใช้ความมานะพยายามตามล่าบังกะโลได้หนึ่งหลังที่บางแสน

คนเราใจมันอยากไปก็ต้องหาทางไปจนได้ล่ะค่ะ!

เช้าวันศุกร์ เรานั่งเบียดกันในรถของสาวโจ้ มุ่งหน้าไปบางแสนทันทีด้วยอารมณ์ชื่นมื่นสุดขีด เหมือนปลาที่ถูกปล่อยลงน้ำ ไม่มีสังหรณ์เลยว่าจะเจออะไร จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง

ที่พักนี่ค่อนข้างอยู่ไกลคน และดูเหงาๆพิกล แต่เราคิดว่าเอาเถอะน่า ยังไงก็ได้เห็นทะเล ถึงจะไกลไปหน่อย แต่เดี๋ยวเรานั่งรถไปนั่งหาดบางแสนกันทั้งวันก็ได้

สถานที่ว่าห่างแล้ว บังกะโลหลังของเรายังอยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด มันเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่นเล็กๆ ซึ่งมีทีวีตั้งอยู่เครื่องหนึ่ง พอเก็บกระเป๋าเข้าที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกไปเที่ยวทันที กว่าจะกลับมานอนก็สามทุ่มแน่ะ

กินข้าวกินปลา อร่อยกับอาหารทะเลมาจนหนังท้องตึง!

เมื่อเช้าตอนเข้ามาก็ว่าวังเวงแล้ว ตอนกลางคืนยิ่งน่ากลัวพิลึก บังกะโลหลังอื่นมีคนพักกันเต็ม บางหลังเปิดไฟสว่าง มากันพ่อแม่ลูก บางหลังยังมืดๆ

พวกเราอาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งดูทีวีกัน ราวห้าทุ่มกว่าๆ เรายังไม่ง่วงสักคน ทันใดนั้น เราได้ยินเสียงอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำทางห้องนอนดิฉัน เรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก...เป็นไปไม่ได้เลยที่เสียงนั้นจะสะท้อนมาจากบังกะโลหลังอื่น

มันเป็นเสียงเปิดฝักบัวแรงสุด ดังอยู่ใกล้ตัวเราชัดๆ!

ตอนนั้นดิฉันขนลุกไปทั้งตัวเลยค่ะ พวกเรานั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง 6 คน...แล้วใครล่ะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั่น?

พวกเราลุกขึ้นเดินเข้าไปดู เกาะหลังกันเป็นพรวน นึกแล้วตลกดี แต่ตอนนั้นไม่ได้ขำเลยค่ะ ยิ่งตอนเอามือผลักประตูห้องน้ำเข้าไปน่ะ มันทรมานใจน่าดู

ประตูห้องน้ำเปิดดังแอ๊ด เสียงฝักบัวหยุดสนิทเหมือนปิดสวิตช์ ห้องน้ำยังมีหยดน้ำที่เราอาบเมื่อชั่วโมงก่อน ดูๆไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในความรู้สึกน่ะมันหลอนมาก เราพยายามคิดว่าเสียงน้ำฝักบัวนั้นมาจากไหน? ส่วนดิฉันเอามือทาบอก ว่าคืนนี้จะนอนยังไงถึงจะไม่กลัวผี แต่ก็เริ่มระแวง ในใจไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เห็นมั้ยคะ? โปรดสังเกต...เราไม่ได้กลัวผี แต่กลัวสิ่งที่ไม่รู้ต่างหาก!

ความที่ดิฉันเป็นคนใจแข็ง เพื่อนๆก็หวังพึ่งน่ะซีคะ ดิฉันบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ถึงจะเป็นผี...สมมติว่ามีผีจริงๆนะ มันก็ทำได้แค่นี้แหละ

พูดจบปุ๊บมีเสียงตบฝาผนังดังปัง! เสียงดังมากจริงๆ บ้านสะเทือนเชียวล่ะค่ะ เสียงนั้นมาจากอีกห้อง ซึ่งเพื่อนๆ 3 คนจะนอนในคืนนี้ พวกขวัญอ่อนถึงกับผวา พวกใจแข็งบอกว่าอาจจะมีผลไม้อะไรตกใส่บ้าน แต่รอบๆบังกะโลของเรามีแต่ดอกไม้พุ่ม ไม่มีไม้ใหญ่อย่างมะพร้าว มะม่วงหรือขนุนเลย...

เออ! บางทีอาจเป็นนกหรือค้างคาวบินมาชนก็ได้ละมัง?

เกือบตีหนึ่ง ทุกอย่างดูเป็นปกติดี ไม่มีเสียงน่าขนลุกเกิดขึ้นอีก เราเลยแยกย้ายกันไปนอน และขอบอกนะคะ เราเปิดไฟนอนค่ะ...ดิฉันนอนตรงกลางระหว่างเพื่อนสองคน...ขณะเคลิ้มหลับก็มีมือเย็นเฉียบมาจับข้อเท้าและลากดิฉันพรวดเดียว ตกลงมาทางปลายเตียง หัวโขกกับพื้น เจ็บและมึนมาก แต่ดิฉันแทบจะลืมความเจ็บเพราะตกใจสุดขีด

เพื่อนสองคนผวาขึ้นมามองดิฉันที่กองอยู่กับพื้น ขณะเดียวกัน อีกสามคนทางโน้นก็วิ่งร้องกรี๊ดกร๊าดเข้ามา ละล่ำละลักว่าเห็นผู้ชายตัวดำมืดมายืนคอเอียงพับที่หน้าต่าง

ไม่ต้องรอช้าเลยค่ะ พวกเราโกยเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า กวาดเครื่องประทินโฉมทุกอย่างลงย่าม รูดซิปปื้ดแล้วเผ่นไปขึ้นรถ ขับออกมาทางด้านหน้า พยายามมองหาคนที่ดูแลก็ไม่พบ เจอแต่ยามที่ยืนมองเราเฉยๆ ดูเขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบังกะโลหลังสุดท้าย

พวกเรามาถึงกรุงเทพฯ เกือบตีสี่ นั่งตัวสั่นมาในรถตลอดทาง ดีนะที่ไม่เจออุบัติเหตุ ดิฉันเป็นคนเดียวที่มีแผลปูดหลังศีรษะเป็นพยานหลักฐาน ไม่รู้จะอธิบายกับสิ่งที่เจอมาว่าอย่างไรดี นอกจากคำว่า "ผีหลอก"

ดิฉันเชื่อแล้วล่ะค่ะ คิดในแง่ดี เมื่อปีกลายเป็นปีใหม่ที่ทำให้เรามีเรื่องคุยไปได้อีกนาน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น