วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552
คืนสุดท้าย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมอายุได้ 15 ปี ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ย่าทวดของผมเสีย คุณแม่ได้นำศพของย่าทวดไปทำพิธีที่จังหวัดอยุธยาซึ่งเป็นบ้านเกิดของย่าทวดและพาผมไปด้วย
งานศพคืนแรกผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีก็คือห้องน้ำที่วัดนี้อยู่ใกล้กับป่าช้ามาก ตอนที่ผมเดินไปเข้าห้องน้ำได้ถามพระที่วัดว่า “ห้องน้ำกับป่าช้าใกล้กันอย่างนี้ผีไม่หรอกหรือ” พระท่านตอบว่า “คืนแรก ผีไม่หลอกหรอก” ก็จริงของท่าน คืนแรกผมไปเข้าห้องน้ำก็ไม่เจออะไร
งานศพคืนที่สอง ผมไปเข้าห้องน้ำอีก ผมก็เดินไปถามพระองค์เมื่อคืนก่อนว่า “คืนแรกไม่มีผี งั้นคืนที่สองก็มีนะซี” พระท่านก็ตอบว่า “คืนนี้ก็ไม่มีอีกเหมือนกัน” และก็เป็นอย่างที่ท่านพูด
คืนที่สามซึ่งเป็นคืนสุดท้ายในการสวด แม่บอกผมว่าพรุ่งนี้จะเผา และผมก็ต้องไปเข้าห้องน้ำอีกอย่างเคย ผมก็เดินไปหาพระองค์เก่าและถามว่า “คืนนี้คืนสุดท้ายแล้ว ผมจะเจออะไรไหมครับ” ท่านก็ตอบว่า “คืนนี้สวดคืนสุดท้าย ถ้าเห็นอะไรก็ให้ทำเหมือนกับไม่เห็น” แล้วท่านก็เดินจากไป ทำให้ผมยืนงงอยู่นานกับคำพูดของท่าน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าตั้ง 2 คืนไม่เจอสักคืน มาคืนสุดท้ายจะเจอก็ให้มันรู้ไม่ แต่เหมือนกับคำพูดของท่านจะเป็นประกาศิต เมื่อผมเข้าห้องน้ำเสร็จกิจธุระแล้วกำลังจะเดินกลับ ขวามือคือป่าช้า ซ้ายมือคือพงหญ้า ผมมองไปที่ป่าช้า ผมมองเห็นเงาเป็นรูปร่างคนยืนอยู่เต็มป่าช้าไปหมด ผมลองคิดดูมืดค่ำป่านนี้ไม่มีใครที่จะไปทำธุระในป่าช้าแน่ๆ ถ้างั้นเงาเหล่านั้นเป็นอะไรล่ะ คิดได้ดังนั้นผมเลยหันหลังวิ่งอย่างที่คิดว่าเร็วที่สุด ผมวิ่งไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งมีแสงไฟลอดออกมาทำให้นึกว่าเป็นกุฏิพระ ผมจึงเปิดเข้าไปหวังขอความช่วยเหลือ
พอผมเปิดเข้าไปสิ่งที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้าทำให้ความกลัวที่มีอยู่เมื่อกี้หายไปทันทีเพราะสิ่งที่เห็นคือพระพุทธรูปองค์หนึ่งหน้าตักประมาณ 2 ศอก ตั้งอยู่บนโต๊ะบูชา ผมรีบเข้าไปกราบทันที ผมมองไปรอบๆ ห้องเห็นตู้ใบใหญ่เก่าๆ มีลวดลายไทยอยู่ตู้หนึ่งจึงคิดว่าเป็นห้องเก็บพระไตรปิฏกมากกว่ากุฏิพระ คิดได้ดังนั้นผมจึงเปิดตู้เพราะคิดว่าน่าจะมีคาถาดีๆ ที่กันผีได้ ผมเจอตำราอยู่เล่มหนึ่งมีบทความซึ่งสะดุดตากล่าวเอาไว้ว่า“ภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกลัวหรือความหวาดเสียวบังเกิดขึ้นแก่ท่านผู้จะไปสู่ความว่างเปล่า อันเป็นที่เงียบสงัดอันควรจะพึงกลัวในขณะนั้น ท่านทั้งหลายพึงตามระลึกถึงเราตถาคต ดังนี้ อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถี สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ..... เมื่อท่านทั้งหลายได้ตามระลึกถึงเรา ความกลัวจะดับสูญหายไปสิ้น”
ผมพยายามท่องจำอยู่ครึ่งชั่วโมงก็จำได้ ผมจึงเดินจากห้องพระไตรปิฏกแล้วเดินกลับ ระหว่างที่เดินผมก็ท่องบทสวดนี้ดังๆ ไม่ขาดปากท่องซ้ำแล้วซ้ำอีก จนมาถึงที่เดิมผมเห็นเงารูปร่างคนเหล่านั้นต่างก้มลงเหมือนกับหมอบกราบระหว่างที่ผมเดินผ่านป่าช้า ผมเดินไปเรื่อยๆ แล้วไม่หันมาที่ป่าช้านั้นอีกจนถึงที่งานซึ่งพระกำลังสวดศพอยู่
ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากพระองค์นั้น ท่านตอบว่า “วิญญาณที่ป่าช้านั้นจะออกมาฟังพระสวดศพเพื่อรับเอาบุญกุศลแห่งคำสวดมนต์เพื่อที่วิญญาณเหล่านั้นจะได้ไปเกิดหรือไปใช้กรรมเร็วๆ ไม่ผูกพันอยู่กับป่าช้านั้นอีก” ผมถามต่อว่า “ทุกคืนสุดท้ายของวันสวดศพหรือ” พระท่านตอบว่า “ใช่ เพราะคืนสุดท้ายของวันสวดศพนี้ เป็นวันดีที่สุด”
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552
ฝันสยอง
เมื่อกลางเดือนเมษายน 2539 ดิฉันพร้อมสามีและลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 3 ขวบ คนเล็ก 4 เดือน ไปเที่ยวพักผ่อนและทำบุญไหว้พระในวันสุดสัปดาห์กันตามปกติเหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา ครอบครัวของเรากลับมาถึงบ้านประมาณพลบค่ำ พ่อบ้านแยกไปทำธุระส่วนตัว ส่วนดิฉันสาละวนอยู่กับลูกที่ยังเล็กทั้ง 2 คน ระหว่างนั้นมีความรู้สึกว่ามีอาการหนักหน่วงๆที่หัวไหล่ข้างหนึ่ง เหมือนกับว่าตัวเองกำลังแบกอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็อาบน้ำเข้านอน
ขณะนอนหลับนั้นดิฉันฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งไว้ผมดัดยาวประบ่านั่งพิงเสาปูนด้านที่อยู่ใกล้เตียงของดิฉันเหยียดแขนเหยียดขาในท่าปล่อยตัวตามสบาย ผู้หญิงคนนั้นบอกดิฉันว่า เขาอยากจะมาอยู่กับดิฉัน ในความฝันนั้นดิฉันรู้สึกสงสารก็เลยรับปากให้เขาอยู่
คืนต่อมาใกล้ฟ้าสางราวตี 5 ผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏให้เห็นอีก เธอเดินออกมาจากเสาอ้อมเตียงมานอนทาบข้างหลัง ความรู้สึกตอนนั้นตกใจกลัวมากพยามยามยกมือทั้งสองขึ้นประนมเตรียมสวดมนต์ แต่ผู้หญิงคนนั้นพยามยามดึงมือดิฉันไม่ให้พนม ยื้อกันอยู่สักพักดิฉันก็ออกแรงกระชากมือมาพนมแล้วเริ่มสวดมนต์ได้ เธอจึงผละไปจากเตียงแล้วเดินหายเข้าไปในเสาที่มีตู้เสื้อผ้ากั้นอยู่ เมื่อมีเหตุการณ์ติดๆกันแม้จะเป็นความฝันก็ตาม มันทำให้ดิฉันกลัวมาก
คืนต่อมา คืนที่ 3 เวลาเดิมคือใกล้ฟ้าสาง ดิฉันนอนตามความเคยชินคือนอนตะแคงซ้าย คราวนี้ไม่เห็นตัวแต่มีเสียงหัวเราะ ฮิ ฮิ จนกระทั่งสะดุ้งตื่น ใจก็คิดไปว่าทำไมต้องต้องฝันหรือเข้าไปอยู่ในเกมของผู้หญิงคนนั้น ดิฉันนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าให้พ่อบ้านฟัง ปรึกษากันอยู่นานจึงสรุปว่าถ้าสิ่งนี้เข้ามารบกวนเราอีก คงต้องทำอะไรสักอย่าง
คืนต่อมา ดิฉันนอนตะแคงขวา ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พอรุ่งสางก็มีเสียงหัวเราะใส่หูซ้ายเหมือนเจตนาจะแกล้งกัน ดิฉันไม่อาจทนต่อไปได้อีก จึงไปวัดทำบุญถวายสังฆทานกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เขา ความผิดปกติที่เกิดขึ้นค่อยหายไป
ต่อมาต้นเดือนพฤษภาคม คืนนั้นดิฉันฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีก เธอตรงเข้ามาหาพร้อมกับทำท่าอาเจียรใส่ ดิฉันหลบ เธอลอยห่างออกไป เมื่อตื่นขึ้นดิฉันทั้งโกรธทั้งกลัวก็เลยเอาน้ำมนต์ประพรมไปทั่ว เมื่อดิฉันเข้านอนอีก พอหลับสนิทผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาในความฝันของดิฉันอีก ได้ยินเสียงตะกายประตูกระจกและร้องขอเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ดิฉันไม่ยอมรับคำจนรู้สึกตัวตื่น
อีก 2 คืนต่อมา พวกหมาจรจัดที่อยู่แถวบ้านก็นัดกันมาชุมนุมหอนประสานเสียงกันติดๆ กัน 2 คืนแล้วก็เงียบไป ทั้งสามีและดิฉันเกิดความมั่นใจว่าวิญญาณหญิงลึกลับคนนั้นคงจะจากไปแล้ว เพราะหลังจากหมาหอนสั่งลา 2 คืนติดๆ กันแล้วเหตุการณ์ทุกอย่างภายในบ้านก็กลับคืนสู่สภาพปกติ และดิฉันไม่เคยฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกเลย
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
เรื่องของคนเพิ่งคลอดลูก
เรื่องไม่น่าเชื่อเพราะเห็นว่าแปลกดี เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวฉันเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยพานพบ แต่ก่อนฉันอยู่ตลาดบางชอ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
ฉันยังจำได้ เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2488 ฉันเพิ่งคลอดลูกได้ 3 วัน แต่บ้านที่อยู่เยื้องกับบ้านฉันลูกของเขาตาย คนในบางชอพากันไปงานศพ แต่บ้านของฉันกลับไม่มีใครไปเพราะแม่ย่าหรือแม่ของสามีซึ่งยังอยู่ด้วยกันแกถือมาก กลัวคนเกิดคนคลอดลูกใหม่ๆ จะมีอันเป็นไป
ต่อจากนั้นได้ 3 วัน มีป้าแก่ๆ อยู่ตลาดเดียวกันได้ไปงานศพเด็กคนนั้น แล้วมาเยี่ยมฉันต่อ แกเดินเข้ามาเยี่ยมฉันถึงในห้องนอนแต่เมื่อป้ามาเยี่ยมและนั่งคุยได้สักพักก็ล่ำลาออกจากบ้านฉันไป ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองงงๆ ชอบกล รับประทานอาหารเช้าก็ไม่ได้ อยากจะหลับท่าเดียว พอถึงเวลาอาหารกลางวัน ฉันก็ยังคงไม่ออกไปรับประทาน อยากแต่จะนอน เมื่อฉันคลอกลูกใหม่ๆ ยังไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน คนที่อยู่บ้านใกล้กันซึ่งมีลูกอ่อนต้องมาให้นมลูกฉันกิน จากนั้นเขาพยายามเรียกฉัน ตอนนั้นฉันยังพอรู้ตัวตอบเขาไปว่าถึงจะลืมตาก็มองไม่เห็นแต่จำเสียงได้
แม่ย่าพอรู้เรื่องก็ตกใจ รีบไปถามอาม่าคนหนึ่งที่ตลาดซึ่งสนิทกัน อาม่าบอกว่า ป้าคนที่ไปเยี่ยมฉันไปงานศพแล้วมาเยี่ยมฉันโดยไม่ได้ล้างหน้าล้างตาเสียก่อนและไม่เดินไปทางอื่นก่อนกลับเดินเข้ามาเยี่ยมคนคลอดลูกใหม่ๆ ซึ่งโบราณเขาถือ คนคลอดไม่แม่หรือลูกจะต้องมีใครเป็นอะไรสักคน ยังดีที่อาม่ารู้ทัน แกรีบไปหาต้นที่คนจีนเรียกว่าเซียงเฉ้าเด็ดมา 3 ช่อ ซองธูป 1 ซอง ข้าวเปลือก 7 เมล็ด ยอดทับทิมแดง 3 ยอด ใส่ลงไปในน้ำอุ่นมากๆ แล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ชุบลงไปในน้ำอุ่นนั้น แล้วกลั้นหายใจเช็ดหน้าให้ฉัน ฉันสะดุ้งรู้สึกตาสว่าง หิวขึ้นมาทันที รู้สึกตัวเบาขึ้นมาก แม่ย่าดีใจมากยกมือไหว้ขอบคุณอาม่า
อาม่าบอกว่า อย่างนี้แหละเมื่อไปเยี่ยมศพหรือไปงานศพมาแล้วจะตรงเข้าเยี่ยมคนคลอดลูกใหม่ๆ ไม่ได้ ถ้าคนคลอดลูกไม่เป็นอะไรก็ดีไป แต่หากเป็นอะไรไม่มีใครรู้ก็จะลำบากเหมือนกับไสยศาสตร์ไม่ผิด ถ้าบ้านไหนมีเด็กแดงหรือเพิ่งคลอดลูกต้องป้องกันไว้ก่อนจะดี สำหรับฉันมาพบกับตัวเองและยังมีบุญจึงได้อาม่ารู้และช่วยไว้ทัน ถ้าไม่งั้นคงไม่มีโอกาสเขียนมาเล่าสู่กันฟัง
ฉันยังจำได้ เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2488 ฉันเพิ่งคลอดลูกได้ 3 วัน แต่บ้านที่อยู่เยื้องกับบ้านฉันลูกของเขาตาย คนในบางชอพากันไปงานศพ แต่บ้านของฉันกลับไม่มีใครไปเพราะแม่ย่าหรือแม่ของสามีซึ่งยังอยู่ด้วยกันแกถือมาก กลัวคนเกิดคนคลอดลูกใหม่ๆ จะมีอันเป็นไป
ต่อจากนั้นได้ 3 วัน มีป้าแก่ๆ อยู่ตลาดเดียวกันได้ไปงานศพเด็กคนนั้น แล้วมาเยี่ยมฉันต่อ แกเดินเข้ามาเยี่ยมฉันถึงในห้องนอนแต่เมื่อป้ามาเยี่ยมและนั่งคุยได้สักพักก็ล่ำลาออกจากบ้านฉันไป ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองงงๆ ชอบกล รับประทานอาหารเช้าก็ไม่ได้ อยากจะหลับท่าเดียว พอถึงเวลาอาหารกลางวัน ฉันก็ยังคงไม่ออกไปรับประทาน อยากแต่จะนอน เมื่อฉันคลอกลูกใหม่ๆ ยังไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน คนที่อยู่บ้านใกล้กันซึ่งมีลูกอ่อนต้องมาให้นมลูกฉันกิน จากนั้นเขาพยายามเรียกฉัน ตอนนั้นฉันยังพอรู้ตัวตอบเขาไปว่าถึงจะลืมตาก็มองไม่เห็นแต่จำเสียงได้
แม่ย่าพอรู้เรื่องก็ตกใจ รีบไปถามอาม่าคนหนึ่งที่ตลาดซึ่งสนิทกัน อาม่าบอกว่า ป้าคนที่ไปเยี่ยมฉันไปงานศพแล้วมาเยี่ยมฉันโดยไม่ได้ล้างหน้าล้างตาเสียก่อนและไม่เดินไปทางอื่นก่อนกลับเดินเข้ามาเยี่ยมคนคลอดลูกใหม่ๆ ซึ่งโบราณเขาถือ คนคลอดไม่แม่หรือลูกจะต้องมีใครเป็นอะไรสักคน ยังดีที่อาม่ารู้ทัน แกรีบไปหาต้นที่คนจีนเรียกว่าเซียงเฉ้าเด็ดมา 3 ช่อ ซองธูป 1 ซอง ข้าวเปลือก 7 เมล็ด ยอดทับทิมแดง 3 ยอด ใส่ลงไปในน้ำอุ่นมากๆ แล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ชุบลงไปในน้ำอุ่นนั้น แล้วกลั้นหายใจเช็ดหน้าให้ฉัน ฉันสะดุ้งรู้สึกตาสว่าง หิวขึ้นมาทันที รู้สึกตัวเบาขึ้นมาก แม่ย่าดีใจมากยกมือไหว้ขอบคุณอาม่า
อาม่าบอกว่า อย่างนี้แหละเมื่อไปเยี่ยมศพหรือไปงานศพมาแล้วจะตรงเข้าเยี่ยมคนคลอดลูกใหม่ๆ ไม่ได้ ถ้าคนคลอดลูกไม่เป็นอะไรก็ดีไป แต่หากเป็นอะไรไม่มีใครรู้ก็จะลำบากเหมือนกับไสยศาสตร์ไม่ผิด ถ้าบ้านไหนมีเด็กแดงหรือเพิ่งคลอดลูกต้องป้องกันไว้ก่อนจะดี สำหรับฉันมาพบกับตัวเองและยังมีบุญจึงได้อาม่ารู้และช่วยไว้ทัน ถ้าไม่งั้นคงไม่มีโอกาสเขียนมาเล่าสู่กันฟัง
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552
เจ้าแม่ตะเคียน
ที่ป่าช้าแห่งหนึ่งมีต้นตะเคียนสูงใหญ่ใบดกปกคลุมแผ่กิ่งก้านออกกว้างคร่อมทางเดินมืดมิด เพราะขึ้นอยู่ริมทางแคบๆ ที่รถพอผ่านได้
บุญช่วยเพื่อนของผมหลงรักหญิงคนหนึ่ง มันชวนผมไปเป็นเพื่อนบ่อยๆ ถ้าไปกลางคืนผมไม่เต็มใจไปนักหรอกเพราะต้องขี่รถผ่านป่าช้า ยิ่งเดือนมืดด้วยแล้วน่ากลัวมาก แต่ก็ไม่กล้าขัดใจเพื่อน คืนนี้มันก็ชวนผมไปอีก เราขับรถเครื่องไปกันคนละคัน โดยที่บุญช่วยขับรถออกหน้าผมไปหลายช่วงตัวเนื่องจากอยากพบแฟนเร็วๆ ผมไม่สนใจเพราะถึงบ้านสาวก็พบมันเอง ผมขับไปเรื่อยๆ กำลังผ่านหน้าวัดเลยไปเล็กน้อยก็ถึงป่าช้า แต่ก็ต้องตะลึงเมื่อมองไปทางเมรุเผาศพเห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ข้างเมรุ แต่เมื่อมองให้ดีจึงเห็นว่าเป็นบุญช่วย ที่แท้มันขับรถมาจอดรอผมที่นี่ แถมยังยืนพิงเมรุรอผมอยู่ด้วย มันขับรถเข้ามาหาเนื่องจากผมไม่กล้าขับเข้าไปที่เมรุเผาศพ ผมต่อว่ามันว่าทำไมต้องมาคอยที่นี่ มันหัวเราะอย่างคนไม่กลัวผีแล้วขับรถไปบ้านสาวต่อ เมื่อไปถึงบ้านสาวมันก็ไม่สนใจผมแล้ว ผมเลยนอนรอเวลากลับ กว่าบุญช่วยจะเข้ามาปลุกผมก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมขี้เกียจขี่รถเลยฝากไว้ที่บ้านสาวแล้วซ้อนท้ายรถบุญช่วยกลับ พอถึงป่าช้าบุญช่วยเบรกรถอย่างแรง ผมถามมันว่าจอดรถตรงนี้ทำไม แต่บุญช่วยกลับชี้มือไปที่ต้นตะเคียน ผมมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร
แต่บุญช่วยกลับบอกว่า “มึงไม่เห็นเรอะ ใครเอาโลงศพมาวางขวางถนน แล้วจะขี่รถผ่านไปได้ไง” ผมพยามยามเพ่งมองแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วรีบเร่งมันให้ขี่รถกลับบ้าน แต่บุญช่วยกลับไม่ยอมไปบอกว่ามีโลงศพขวางอยู่ทั้งที่ผมไม่เห็นอะไร แถมยังบอกว่า “ดูสิ ฝาโลงกำลังจะเปิดออก มีคนออกมาด้วยแต่ไม่เห็นหน้าท่าทางจะเป็นผู้หญิงเพราะนุ่งผ้าถุง” ฟังมันพูดแล้วผมขนลุกซู่ ทั้งที่ผมไม่เห็นอะไร ทันใดมันแหกปากร้องลั่น “ผีโว้ย” แล้วหันรถกลับหลังเร่งเครื่องเต็มที่ ขับกลับไปทางบ้านสาว
แฟนสาวของบุญช่วยยังไม่หลับเมื่อได้ยินเสียงรถจึงออกมาดู เห็นเป็นบุญช่วยจึงคิดว่ากลับมาเอารถอีกคันที่ฝากไว้ จึงร้องถามออกไป “มาเอารถหรือพี่” บุญช่วยรีบบอก “เปล่า พี่ถูกผีที่ป่าช้าหลอก” ผมเองก็อยากรู้ว่าเมื่อกี้มันเห็นอะไรจึงรีบคะยั้นยะยอให้มันเล่า
บุญช่วยเล่าว่า “ตอนที่มันเห็นคนออกมาจากโลง มันเองก็คิดว่าไม่ใช่คนแต่เนื่องจากไม่ใช่คนกลัวผี จึงอยากดูให้ชัดๆ ว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร พอผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา โอย-หัวใจจะวายเสียให้ได้ ตามันลึกโบ๋ ใบหน้ามีแต่กระดูก แสยะยิ้มหน้าเกลียด กำลังจะเดินมาหา ถ้าไม่เร่งเครื่องรถหนีมาไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น น่ากลัวจริงๆ” สาวเจ้าฟังแล้วหัวเราะเบาๆ บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าแม่ตะเคียนนั่นเอง มีคนเห็นบ่อยไป ท่านไม่ทำอันตรายใครหรอก อย่าไปลบหลู่ดูถูกก็แล้วกัน จุดธูปขอขมาซะ ท่านจะได้ไม่มาหลอกอีก” บุญช่วยยอมรับข้อเสนอบอกตอนกลางวันจะไปทำ ตกลงคืนนี้ผมกับบุญช่วยต้องนอนค้างที่นี่เพราะกลัวไม่กล้าขี่รถกลับ แล้วตั้งแต่นั้นบุญช่วยก็ไม่เคยทำอะไรลบหลู่ตรงเมรุเมาศพที่มีต้นตะเคียนต้นนั้นอยู่อีกเลย
บุญช่วยเพื่อนของผมหลงรักหญิงคนหนึ่ง มันชวนผมไปเป็นเพื่อนบ่อยๆ ถ้าไปกลางคืนผมไม่เต็มใจไปนักหรอกเพราะต้องขี่รถผ่านป่าช้า ยิ่งเดือนมืดด้วยแล้วน่ากลัวมาก แต่ก็ไม่กล้าขัดใจเพื่อน คืนนี้มันก็ชวนผมไปอีก เราขับรถเครื่องไปกันคนละคัน โดยที่บุญช่วยขับรถออกหน้าผมไปหลายช่วงตัวเนื่องจากอยากพบแฟนเร็วๆ ผมไม่สนใจเพราะถึงบ้านสาวก็พบมันเอง ผมขับไปเรื่อยๆ กำลังผ่านหน้าวัดเลยไปเล็กน้อยก็ถึงป่าช้า แต่ก็ต้องตะลึงเมื่อมองไปทางเมรุเผาศพเห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ข้างเมรุ แต่เมื่อมองให้ดีจึงเห็นว่าเป็นบุญช่วย ที่แท้มันขับรถมาจอดรอผมที่นี่ แถมยังยืนพิงเมรุรอผมอยู่ด้วย มันขับรถเข้ามาหาเนื่องจากผมไม่กล้าขับเข้าไปที่เมรุเผาศพ ผมต่อว่ามันว่าทำไมต้องมาคอยที่นี่ มันหัวเราะอย่างคนไม่กลัวผีแล้วขับรถไปบ้านสาวต่อ เมื่อไปถึงบ้านสาวมันก็ไม่สนใจผมแล้ว ผมเลยนอนรอเวลากลับ กว่าบุญช่วยจะเข้ามาปลุกผมก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมขี้เกียจขี่รถเลยฝากไว้ที่บ้านสาวแล้วซ้อนท้ายรถบุญช่วยกลับ พอถึงป่าช้าบุญช่วยเบรกรถอย่างแรง ผมถามมันว่าจอดรถตรงนี้ทำไม แต่บุญช่วยกลับชี้มือไปที่ต้นตะเคียน ผมมองตามแต่ก็ไม่เห็นอะไร
แต่บุญช่วยกลับบอกว่า “มึงไม่เห็นเรอะ ใครเอาโลงศพมาวางขวางถนน แล้วจะขี่รถผ่านไปได้ไง” ผมพยามยามเพ่งมองแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วรีบเร่งมันให้ขี่รถกลับบ้าน แต่บุญช่วยกลับไม่ยอมไปบอกว่ามีโลงศพขวางอยู่ทั้งที่ผมไม่เห็นอะไร แถมยังบอกว่า “ดูสิ ฝาโลงกำลังจะเปิดออก มีคนออกมาด้วยแต่ไม่เห็นหน้าท่าทางจะเป็นผู้หญิงเพราะนุ่งผ้าถุง” ฟังมันพูดแล้วผมขนลุกซู่ ทั้งที่ผมไม่เห็นอะไร ทันใดมันแหกปากร้องลั่น “ผีโว้ย” แล้วหันรถกลับหลังเร่งเครื่องเต็มที่ ขับกลับไปทางบ้านสาว
แฟนสาวของบุญช่วยยังไม่หลับเมื่อได้ยินเสียงรถจึงออกมาดู เห็นเป็นบุญช่วยจึงคิดว่ากลับมาเอารถอีกคันที่ฝากไว้ จึงร้องถามออกไป “มาเอารถหรือพี่” บุญช่วยรีบบอก “เปล่า พี่ถูกผีที่ป่าช้าหลอก” ผมเองก็อยากรู้ว่าเมื่อกี้มันเห็นอะไรจึงรีบคะยั้นยะยอให้มันเล่า
บุญช่วยเล่าว่า “ตอนที่มันเห็นคนออกมาจากโลง มันเองก็คิดว่าไม่ใช่คนแต่เนื่องจากไม่ใช่คนกลัวผี จึงอยากดูให้ชัดๆ ว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร พอผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา โอย-หัวใจจะวายเสียให้ได้ ตามันลึกโบ๋ ใบหน้ามีแต่กระดูก แสยะยิ้มหน้าเกลียด กำลังจะเดินมาหา ถ้าไม่เร่งเครื่องรถหนีมาไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น น่ากลัวจริงๆ” สาวเจ้าฟังแล้วหัวเราะเบาๆ บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าแม่ตะเคียนนั่นเอง มีคนเห็นบ่อยไป ท่านไม่ทำอันตรายใครหรอก อย่าไปลบหลู่ดูถูกก็แล้วกัน จุดธูปขอขมาซะ ท่านจะได้ไม่มาหลอกอีก” บุญช่วยยอมรับข้อเสนอบอกตอนกลางวันจะไปทำ ตกลงคืนนี้ผมกับบุญช่วยต้องนอนค้างที่นี่เพราะกลัวไม่กล้าขี่รถกลับ แล้วตั้งแต่นั้นบุญช่วยก็ไม่เคยทำอะไรลบหลู่ตรงเมรุเมาศพที่มีต้นตะเคียนต้นนั้นอยู่อีกเลย
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)