วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทสรุปหลักฐาน UFOและมนุษย์ต่างดาว ที่รอสเวลล์



















ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 เรืออากาศโทวอลเตอร์ โฮท ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพอากาศแห่งสหรัฐเมืองรอสเวลล์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า กองทัพได้ครอบครองจานบินลำหนึ่ง ซึ่งตกลงมายังพื้นโลกเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคม 1947






หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1947 แม็ค บราเซล ชาวไร่ของฟาร์มนอกเมืองรอสเวลล์ ได้เห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่า ในแสงวูบวาบ เขาเห็นยานทรงกลมสีเทาน้ำเงิน ถูกฟ้าผ่าแตกเป็นเสี่ยง แล้วแฉลบร่อนลงท้ายไร่พร้อมกับเสียงดังสนั่น







เนื่องจากความกลัว เขาไม่กล้าออกมาดู รุ่งเช้าจึงออกไปจุดที่ยานประหลาดตก จึงพบยานทรงกลมสีเทาเงินจอดบนพื้นดิน ในลักษณะตะแคงข้าง ปีกข้างหนึ่งจมปักในพื้นดินเลน

แม็ค นำเรื่องไปแจ้งกับจอร์จ วิลค็อกซ์ นายอำเภอเมืองรอสเวลล์ในขณะนั้น ซึ่งได้ออกข่าวครั้งแรก โดยสถานีวิทยุท้องถิ่นว่าเกิดเหตุยานยูเอฟโอ.ตกที่ไร่ของแม็ค

นายอำเภอจอร์จ นำเรื่องไปแจ้งแก่ผู้บังคับการกองบินกองทัพอากาศ เมืองรอสเวลล์ จากนั้นไม่นานก็มีประกาศแถลงการณ์ฉบับใหม่ว่า สิ่งที่ถูกฟ้าผ่าตกลงมาที่ไร่ คือ บอลลูนตรวจอากาศ ซึ่งหุ้มบอลลูนด้วยฟลอยล์ จึงมีสีเทาเงิน







การรายงานข่าวดังกล่าว เป็นที่โจษขานกันทั่วทั้งสหรัฐและต่างประเทศข่าวดังกล่าวเปิดเผยว่า ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 509 หน่วยที่ 8 ของกองทัพอากาศสหรัฐประจำจุดรอสเวลล์ ได้ยึดครองจานบินลำหนึ่งได้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยความร่วมมือของนายอำเภอที่รอสเวลล์ และเจ้าของฟาร์มแห่งนั้นทราบต่อมาว่า เจ้าของฟาร์มชื่อ แม๊ค บราเซล แม๊ค บราเซลเล่าให้ฟังว่า ตนมีฟาร์มปศุสัตว์ที่โคโรนา นิวแม็กซิโก ในเช้าตรู่ของวันที่ 5 กรกฎาคม 1947 (พศ.2490) ขณะที่กำลังเดินไปถึงกลางไร่ ได้พบว่ามีเศษโลหะกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ดูราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขนาดใหญ่มาก ตกลงวมาจากท้องฟ้า สังเกตุได้ว่า เศษเหล็กหรือเศษโลหะกระจายเป็นอาณาบริเวณกว้างประมาณ 300 ฟุต และยาวราว 3 ไมล์ ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายนั้น มีทั้งเป็นลวด เป็นชิ้นเล็ก ๆ และเป็นแผ่นโลหะเบาและบาง แต่เหนียว ทนทานมาก สามารถพับไปมาได้รายแผ่นกระกาษนอกจากนั้น ยังเศษโลหะคล้ายกระดาษฟอยล์สีตะกั่วกระจายไปทั่ว









ในตอนแรก แม็คไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพบเห็นนั้นเป็นอะไร เขาได้หยิบเศษโลหะสามชิ้นไปให้เพื่อนบ้านที่ไกลออกไป10 ไมล์ได้ดู เพื่อนบ้านแนะนำว่าให้ไปหานายอำเภอจอร์จ เอ. วิลค๊อกซ์และเอาเจ้าสิ่งนี้ให้นายอำเภอดูด้วย ตอนแรก นายอำเภอไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก ได้แนะนำให้แม็คโทรศัพท์ติดต่อกองบินทหารอากาศรอสเวลล์และเมื่อแม๊คทำตามไม่นาน กองบินทหารได้ส่งทหารอากาศสองนายและพลเรือนนายหนึ่ง ซึ่งบอกกับแม๊คว่า เป็นสมาชิกหน่วยต่อต้านข่าวกรองของกองทัพนายทหารที่มานั้นต่อมาทราบชื่อว่า นาวาอากาศตรี เจสส์ เอ.มาร์เซล อีกคนหนึ่งคือ นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด ซึ่งเป็นผู้บังชาการฝูงบินที่ 509 นั่นเอง









เศษชิ้นส่วนประหลาดที่พบบริเวณจานบินตกที่รอสเวลล์ทั้งหมดไปยังฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งถึงจุดหมายเป็นช่วงเวลาเย็น จึงต้องพักค้างแรมกันที่นั่น จนรุ่งเช้า แม๊ค ก็พาทุกคนไปยังจุดที่จานบินตก และทุกคนก็ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น นาวาอากาศตรีมาร์เซล ได้กล่าวว่า เศษโลหะและวัตถุดังกล่าว กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด มันประหลาดมาก ไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ส่วนใหญ่จะบางเท่ากระดาษหสังสือพิมพ์แต่เหนียว ทนทานมาก เขาใช้ค้อนทุบ ใช้ไฟเผา หักงอ เพียงครู่เดียวกันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และทุกคนก็ช่วยกันเก็บเศษโลหะดังกล่าวใส่รถจี๊บและลำเลียงไปยังใจกลางเมืองรอสเวลล์ 













ต่อมาปรากฎว่า กองทัพอากาศสหรัฐและนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซล ออกข่าวว่าเศษโลหะดังกล่าวเป็นเพียงเศษซากบัลลูนตรวจอากาศที่ตกลงมาเท่านั้น พลอากาศจัตวางโรเจอร์ เรมีย์ ได้ปฎิเสธช่าวว่า ไม่มีการลำเลียงเศษซากจานบินออกมาจากพื้นที่แต่ประกาศใด








แต่หลังจากการเปิดเผยของนาวอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลเมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่า มีการลำเลียงเศษซากจานบินไปทางเครื่องบิน และมีพยานหลายคนที่รู้เห็น เช่น สแตนตัน ฟรีดแมน ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์และนิวเคลียร์ซึ่งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ สั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ นาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อไม่กี่ปีมานี่ว่า ทุกอย่างที่กองทัพอากาศสหรัฐออกแถลงการว่าที่เห็นเป็นเพียงซากบัลลูนนั้น เป็นการสร้างละครลวงตาสื่อมวลชนทั้งสิ้น มาร์เซลกล่าวว่า ซากกระจัดกระจายมีขนาดใหญ่กว้างมาก ซึ่งมากกว่าที่จะเป็นซากบัลลูนตกหลายเท่า จากการเปิดเผยของนาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ทำให้องค์การต่าง ๆ รวมทั้งนักค้นคว้าจานบิน เห็นสมควรว่า น่าจะมีการรื้อฟื้นสอบสวนเรื่องจานบินตกที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 ใหม่ เพราะหลายคนเชื่อว่า มีจานบินตกจริงที่ฟาร์มของ แม๊ค บราเซล




แถลงการณ์ฉบับนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะมีประจักษ์พยานผู้รู้ผู้เห็นจากไร่ใกล้ๆ เข้าไปดูที่เกิดเหตุยืนยันว่า พบจานผี ทรงกลมในสภาพแตกหัก และพบร่างมนุษย์ต่างดาว ตาย 1 ศพ และบาดเจ็บ 1 คน อาการบาดเจ็บเกิดจากแผลไฟไหม้





เมื่อชายคนหนึ่ง ชื่อเกรดีย์ แอล บาร์นีย์ บาร์เนตต์ ได้กล่าวอ้างว่าเขาได้พบซากเศษโลหะของจานบินอีกลำหนึ่ง ขณะนั้นเขากำลังทำงานอยู่ในบริเวณใกล้ที่ราบซานอกุสติน ซึ่งชาวบ้านในแถบนั้น เรียกว่า "ที่ราบไร้วิญญาณ" เป็นที่น่าสังเกตว่า บริเวณดังกล่าวนี้ห่างจากไร่ปศุสัตว์ของแม็ค ประมาณ 120 ไมล์ ไม่เพียงแต่บาร์เนตต์เท่านั้นที่พบเห็นจานบิน บังเอิญนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมาพอดี ซึ่งบาร์เนตก็ลืมถามว่าพวกเขามาจากมหาวิทยาลัยใด สิ่งสำคัญก็คือ พวกเขาได้เห็นศพมนุษย์ประหลาดนอนตายอยู่รอบ ๆ จานบินด้วย 













ต่อมาบาร์เนตต์ได้อธิบายว่า ศพมนุษย์ประหลาดนั้นรูปร่างคล้ายสัตว์ตัวเล็ก แต่มีศีรษะใหญ่คล้ายรูปผลแพร์ แขนและขาผอมมาก และที่น่าสังเกตุก็คือไม่มีขน ศพทั้งหมดสวมชุดคล้ายเกราะเหล็กสีเทา ได้สัดส่วนพอเหมาะ เป็นชุดที่ไม่มีกระดุมและซิป 





ต่อมาทหารก็มาถึง พวกเขาสั่งให้บาร์เตต์และกลุ่มนักโบราณคดีถอยห่างออกไปจากยานบินลำนั้น และนายทหารที่เป็นหัวหน้าได้กำชับว่ามันเป็นหน้าที่ที่ทหารต้องรับผิดชอบ และห้ามทุกคนนำเรื่องที่พบเห็นไปบอกใครเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเดือนร้อน ให้ลืมเรื่องดังกล่าวให้หมด บาร์เนตต์จึงจำเป็นต้องปกปิดเรื่องที่พบเห็นเป็นความลับไม่แพร่งพรายให้ใครรู้แม้แต่ภรรยา ญาติมิตร หรือแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชา 





ในปี 1978 นักค้นคว้าจานบินหลายคนลงความเห็นว่า ซากโลหะประหลาดที่แม็ค บราเซลพบมีความเกี่ยวพันกับยานอวกาศและศพมนุษย์ต่างพิภพที่บาร์เนตต์พบอีกแห่งหนึ่งแน่นอน ซึ่งเขาได้สันนิษฐานว่ายานตกลงมาต่างหาก ส่วนมนุษย์ต่างดาวคงดีดตัวออกมาจากตัวยานก่อนจะลงมาถึงพื้นโลก หรืออาจเสียชีวิตเนื่องจากหนีออกจากห้องที่แยกออกจากตัวยานไม่สำเร็จ และบริเวณที่ยานลำนั้นตกลงมาคงอยู่ใกล้ที่ราบซานอกุสติน สตริงฟิลด์ยังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการปิดข่าวเกี่ยวกับศพมนุษย์ต่างดาวอีก นั่นคือ นอร์มา การ์ดเนอร์ ซึ่งเคยทำงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดกับฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารลับสุดยอดที่กองบินทหารอากาศไรท์ แพตเตอร์สัน หน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายอย่างหนึ่งคือ พิมพ์รายงานชันสูตรศพมนุษย์ต่างดาวรายหนึ่ง นั่นก็แสดงว่ามีการพบศพมนุษย์ต่างดาวจริง แต่ก็น่าคิดว่าเพราะเหตุใดฝ่ายทหารจึงปกปิดเป็นความลับ



วันเวลาผ่านไป 60 กว่าปี เมื่อเร็วๆนี้ 2 นักวิจัย คือ โธมัส เจ.แครีย์ กับนักยูเอฟโอ.วิทยา โดแนลด์ อาร์.ชิตต์ ได้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งเป็นผลงานจากการค้นคว้า สืบสวนเก็บข้อมูลมาหลายปี ใช้ชื่อว่า.. “เหตุเกิดที่รอสเวลล์:หลักฐานชิ้นใหญ่ที่รัฐบาลปกปิด”




“โธมัส กับ โดแนลด์ ใช้เวลาหลายปีสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั้งหมดซึ่งต้องเผชิญกับการให้ข้อมูลจากไม่รู้จริง และจากคนรู้จริง แต่บิดเบือนข้อมูลเพื่อดิสเครดิตมนุษย์ต่างดาว” เอ็ดการ์ มิตเชลล์ อดีตนักบินอวกาศยาน อพอลโล่กล่าว




“พวกฝ่ายรัฐบาลพยายามออกข่าวว่า ข้อมูลที่เราไปสืบค้นมาได้เป็นเรื่อง ขี้คุย ขี้โอ่ ไม่รู้จริง ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อมูล เพื่อปกปิดความจริงต่อประชาชนทั้งสิ้น”




ทีมงานวิจัยได้นำเสนอหลักฐานเด็ด ที่ไม่ม่ใครกล้าปฎิเสธได้ นั่นคือเศษโลหะประหลาด ซึ่งมีผู้เก็บรักษาไว้ โดยไม่ยอมคืนแก่ทางการ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญโลหะวิทยา เคยทำงานกับกองทัพอากาศ เคยสัมผัสกับโลหะประหลาดนี้มาแล้วให้การยืนยัน ไม่ใช่เรื่องยกเมฆแต่อย่างใด




โลหะชนิดนี้เป็นของในยุคนั้น มีสีเทาเงิน อ่อนนุ่ม แต่แข็งเหนียว ทนทานต่อกรด และเครื่องพ่นไฟได้ จุดเด่นสำคัญเมื่อถูกพับงอ หรือโค้งจะคืนสู่รูปทรงเดิมได้






โลหะพิสดารรู้จักในชื่อ นิทิโนล (Nitinol) เป็นโลหะประหลาดไม่เคยพบในโลก ต่อมาเรียกกันว่า โลหะมีความทรงจำ (memory metal)










นิทิโนล (Nitinol)




แอนโทนี บรากาเลีย นักธุรกิจใหญ่ ซึ่งครอบครองวัตถุประหลาด โดยไม่ยอมบอกว่าเขาซื้อมาจากใคร แต่ยืนยันเขาได้มาจากจุดที่ยานยูเอฟโอ.ตก ที่เมืองรอสเวลล์ เมื่อปี 1947 จริง




นักธุรกิจแอนโทนี ควักกระเป๋าตัวเองว่าจ้างห้องแล็บกองทัพอากาศ และสถาบันบาเตลล์เมมโมเรียล แห่งเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ทำการวิเคาระห์วัตถุลึกลับนี้ให้




จากรายงานสถาบันวิจัยบาเตลล์ กล่าวถึงรายละเอียดโลหะประหลาด นอกจากยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนยานอวกาศที่ตกลงมาที่เมืองรอสเวลล์แล้ว ยังพบว่าเป็นโลหะที่น่าสนใจสามารถนำมาใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างมหาศาล




โลหะนิทิโนล ที่แท้เป็นโลหะผสมระหว่างแร่นิเกิลบริสุทธิ์กับไททาเนียมบริสุทธิ์ เมื่อผสมสารปรอทเข้าไป ก็สามารถแปรรูป และคืนสู่สภาพเดิมได้




“โลหะนิทิโนล จะจดจำรูปทรงเดิมของมันได้แม้จะดัดงอ พับ ก็สามารถหวนกลับสู่รูปทรงเดิม โครงสร้างของมันเป็นเส้นใยที่มีความยืดหยุ่นได้สูง แม้เป็นโลหะก็มีน้ำหนักเบา คล้ายโลหะอะลูมิเนียม แต่มีสีในตัวมันเอง สามารถทนทานต่อการเผาผลาญด้วยความร้อนสูงได้” นักธุรกิจแอนโทนีกล่าว




“ผมไม่อยากยืนยันลงไปว่าใครเลียนแบบใคร ทุกวันนี้ในการผลิตเราใช้โลหะนิทิโทล ใช้ทำกรอบแว่นตา ที่สามารถโค้งงอได้โดยไม่หัก ใช้ทุกอุปกรณ์การแพทย์ และที่สำคัญใช้เกลื่อนพื้นผิวนอกสุดของยานอวกาศ”







มีข้อสังเกตว่า ช่วงปลายปี 1967 หลังยานยูเอฟโอ.ตกที่เมืองรอสเวลล์ได้ 5-6 เดือน รายงานวิจัยจากวงการอุตสาหกรรมสั่งนำเข้าโลหะไททาเนียม เข้ามายังสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก

ปัจจุบันร้องอ๋อ! กันว่า ที่แท้จู่ๆไททาเนียมมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรม ชาติตะวันตกก็เพราะเป็นส่วนผสมหลักในการผลิต โลหะยืดหยุ่นนิทิโทลนั่นเอง




นอกจากนี้ นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตุอีกว่า หลังปีค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ชาวโลกพบกับนวัตกรรมการสื่อสารใหม่ ที่น่าตื่นตะลึงนั่นคือระบบ“อินเตอร์เน็ต” ซึ่งนักวิจัยทั้ง 2 คน ฟันธง ว่าเป็นการลอกเลียนแบบจากเทคโนโลยีจากยานอวกาศ ที่ตกในไร่ชานเมืองรอสเวลล์นั่นเอง














ลำดับเหตุการณ์ที่รอสเวลล์

กรกฎาคม 1947 มีจานบินปรากฎเหนือน่านฟ้านิวเม็กซิโก มีการติดตามด้วยเรดาร์ที่ศูนย์เรดาร์ในรอสเวลล์ที่ไวท์แซนด์ และอาลาโมกอร์โด จานบินดังกล่าวบินเร็วมาก ซึ่งยืนยันได้ว่า ขณะนั้นไม่มีเครื่องบินต่าง ๆ ในบริเวณนั้นแต่อย่างใด





4 กรกฎาคม 1947 กลางคืน ประมาณ 4-5 ทุ่มมีฝนฟ้าคะนอง มีพยานหลายคนพบเห็นลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า ศูนย์เรดาร์สามารถจับวัตถุบินประหลาดได้และร่วงลงจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว 








แม็ค บราเซล

5 กรกฏาคม 1947แม็ค บราเซลกับลูกชายชื่อวิลเลี่ยม ดี. พร็อคเตอร์ ได้ขี่ม้าออกสำรวจฟาร์มปศุสัตว์ และพบเห็นซากโลหะประหลาดตกลงมาในไร่ กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง 





พันตรีเจสซี่ มาร์เซล (Jesse Marcel)

6-7 กรกฎคม 1947 กองทัพอากาศของสหรัฐประจำรอสเวลล์ ก็มาถึงรวมถึงนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลด้วย มีการรขึงเชือกกันบริเวณไม่ให้ใครเข้าใกล้ กล่าวกันว่าเพียงสองชั่วโมง ทหารก็เก็บซากโลหะประหลาดออกไปและที่สำคัญ มีพยานเห็นทหารนำศพมนุษย์ประหลาดออกจากซากจานบินตกด้วย และทุกอย่างก็ถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด 




8 กรกฎาคม 1947 - นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด เมื่อทราบข่าว ได้สั่งให้วางกำลังรายล้อมคอกปศุสัตว์โดยด่วน 






- แม๊ค บราเซล ถูกสอบหนัก พร้อมทั้งถูกข่มชู่จากนายทหาร

- บาย2 โมง สำนักข่าวเอพี รายงานข่าวด่วนว่า กองทัพอากาศสหรัฐพบจานบินตกที่รอสเวลล์

- ทั่วโลกเริ่มประโคมข่าว

- นาวาอากาศตรี อี เอ็ม เคอร์ตัน ให้ออกข่าวว่า ซากที่พบเป็นเพียงซากบัลลูนตรวจอากาศ

- ทั้งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ และ เจสส์ มาร์เซล ออกข่าวและถ่ายภาพกับซากประปลาด และกล่าวว่า ซากดังกล่าวตรวจสอบแล้วเป็นซากบัลลูนตรวจอากาศเท่านั้น (เกือบ 10 ปี ต่อมา ที่เจสส์ มาร์เซล เปิดเผยความจริงว่า กองทัพตบตาหลอกลวง เพราะแท้ที่จริงแล้วมันคือซาก จานบินจริง)

- แม๊ค บราเซล ยังคงถูกคุมตัวในเมืองรอสเวลล์

- เกลนน์ เดนนิส สัปเหรอ ในรอสเวลล์ ได้ถูกนายทหารนายหนึ่งโทรศัพท์สอบถามถึงการเตรียม โลงศพขนาดเล็ก และการรักษาศพโดยไม่ต้องเปลี่ยน้ำยาเคมี เกลนน์ เล่าว่าทีแรกนึกว่าบุคคลสำคัญ เสียชีวิต แต่ยังไม่อยากเปิดเผย 




9 กรกฎาคม 1947 พยาบาลนางหนึ่งในโรงพยาบาลกองบิน บอกกับเกลนน์ เดนนิสว่า หล่อนเป็นศพมนุษย์ต่างดาว และเขียนภาพให้เกลนน์ดูด้วย 




11 กรกฎาคม 1947 เกลนน์ เดนนิส โทรศัพท์ไปหาเพื่อนพยาบาลคนเดิมเพื่อซักถามบางประการ ปรากฎว่า ทางโรงพยาบาลบอกว่า เธอย้ายออกจากโรงพยาบาล และไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ใด 




15 กรกฎาคม 1947 แม็ก บราเซลกลับบ้าน

ปลายเดือน กรกฎาคม 1947 ไม่มีใครคาดคิด แม็ค บราเซล เปิดเผยเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อย่างเปิดอกและกล่าวว่า ตนถูกกองทัพข่มขู่อยางขมขื่นมากกันยายน 1947 นางพยาบาลเพื่อนของ เกลนน์ เดนนิส ถูกฆ่าตายปริศนาที่กรุงลอนตอน ประเทศอังกฤษ 




ปี 1969 จ่าอากาศเมลวิน อี. บราวน์ เปิดเผยว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยปกปิดความลับที่รอสเวลล์ และยังเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยนำศพมนุษย์ต่างดาวไปยังโรงพยาบาลที่รอสเวลล์ 




ปี 1978 เจสส์ มาร์เซลและอีกหลายคนออกมาเปิดเผยความจริงว่า ซากดังกล่าวไม่ใช่บัลลูนแน่อนอน

ปี 1980 ชาร์ลส์ เบอร์ลิตช์ และ ลิลเลี่ยม แอล.มัว ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Roswell Incident โด่งดังไปทั่วโลกปี 1989 ศูนย์ค้นคว้าวิจัยจานบิน ของ ดร.เจ อัลเลน ไฮเน็ค ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจบริเวณที่พบซากจานบินปี 1991






หลังจากนั้นอีกกว่า 30 ปีจึงมีหลักฐานใหม่ขึ้นมาอีกชิ้น ในปี 1984 เอกสารลับขององค์กรลับที่ชื่อว่า Majestic 12 หรือ MJ12 ผุดขึ้นต่อสาธารณชน เอกสารฉบับนี้ระบุว่ามีการศึกษาจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่พบที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 มันถูกใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีจานบินตกในรอสเวลล์จริง









ฝ่ายที่เชื่อเรื่องจานบินมีจริง เฮอยู่ได้ไม่นานก็มีการพิสูจน์ว่าเอกสารลับ MJ12 ฉบับนี้เป็นของปลอม สรุปว่าเมื่อตัวเอกสารปลอมเรื่องราวที่อยู่ในเอกสารก็เป็นเรื่องไม่จริงด้วย แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว การที่เอกสารฉบับนั้นเป็นของปลอมมันบอกแค่เพียงเอกสารฉบับนั้นปลอมเฉยๆ มันไม่ได้พิสูจน์ว่า MJ12 ไม่มีจริงหรือเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง








ต่อมา



สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2554 ถึงเรื่องที่หลายคนต่างให้ความสนใจและถกเถียงกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยระบุว่าข้อมูล "เอ็กซ์-ไฟล์" ของหน่วยงาน "เอฟบีไอ" อ้างว่า วัตถุลึกลับจากนอกโลกมีจริง และเคยประสบอุบัติเหตุตกบนโลกมนุษย์ช่วงปี 1950







บันทึกลับสุดยอดดังกล่าว เผยทฤษฎีสมคบคิด ว่า วัตถุจากต่างดาวเคยตกที่เมืองรอสเวลล์ ในนิวเม็กซิโก ของสหรัฐฯ ก่อนถูกส่งไปตรวจสอบต่อยังฐานทัพอากาศ "แอเรีย 51" ทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา ซึ่งวัตถุที่ไม่สามารถระบุที่มาได้นั้น มีรูปร่างเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางราว 50 ฟุต พบพร้อมร่าง 3 ร่าง สูงเพียง 3 ฟุต แต่ละรายอยู่ในภาวะหมดสติ สวมเครื่องแต่งกายจากโลหะอย่างดี เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว



อุบัติเหตุครั้งดังกล่าวเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟ หลังข้อมูลของ เอฟบีไอ ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ และมั่นใจว่าจะกระตุ้นทฤษฎีสมคบคิดเรื่องการมีอยู่จริงของมนุยต์ต่างดาว ที่ถูกปกปิดมาโดยตลอดได้ ด้าน นิก โป๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้าน อูเอฟโอ ชาวอังกฤษ ผู้สอบสวนวัตถุลึกลับทางอาการของกระทรวงกลาโหม ระบุเมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.) ว่า ข้อมูลดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ว่า มนุษย์ต่างดาวและยานอวกาศ "มีอยู่จริง"



สำหรับการพบจานผีลึกลับพร้อมนุษยต์ต่างดาวนั้น ให้ข้อมูลโดย กาย ฮอตเทล เจ้าหน้าที่เอฟบีไอประจำวอชิงตัน และภายหลังข้อมูลถูกเปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อ 22 ก.ค. 1947 ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านเกลียดชังต่อเจ้าพนักงานคนดังกล่าว เขาเผยว่า ยูเอฟโอ ตกเพราะรัฐบาลติดตั้งเรดาร์พลังงานสูงในพื้นที่นั้น ส่งผลให้ก่อกวนการควบคุมของยานอวกาศ ส่วนรายชื่อของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตรวจสอบ ถูกขีดทับด้วยหมึกดำไม่สามารถระบุตัวตนได้



อย่างไรก็ดี ข้อมูล เอฟบีไอ ชุดดังกล่าวถูกเปิดเผยบนอินเตอร์เน็ตพร้อมกับเอกสารอีกกว่าพันฉบับ เรียกว่า "เดอะ โวลต์" ซึ่งสนับสนุนเหตุการณ์ของ ฮอตเทล 
ทั้งสิ้น และในปีเดียวกันวัตถุลึกลับยังถูกพบอีก แต่เป็นลักษณะ 6 เหลี่ยม จับภาพได้ด้วยเคเบิ้ลบนบอนลูน.











มีข้อสังเกตอีกว่า 






พี่น้องตระกูลไรท์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์โลก ได้คิดค้นเครื่องบินลำแรกของโลกขึ้นเมื่อ 100 กว่าปีก่อน

(ปี ค.ศ. 1903)


ถ้าย้อนหลังไปอีก 200 ปี ตรงกับยุคกลางเป็นยุคตะวันตกใช้เรือปืนโบราณออกล่าอาณานิคม เป็นเรือใบ 3 เสา แล่นด้วยความแรงลม





แต่ถ้านับระยะเวลา 100 ปี ที่ผ่านมา หลังจากพี่น้องตระกูลไรท์สร้างเครื่องบินลำแรก ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ องค์การนาซาสหรัฐ สร้างยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคารแล้ว







200 ปี ที่ผ่านมา โลกเจริญด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคแบบก้าวกระโดด ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่แค่เราได้ยานยูเอฟโอ. ระดับยานลูกมาเลียนแบบ เรายังไปไกลถึงเพียงนี้










ที่มา : http://bbznet.pukpik.com

          http://atcloud.com

          นิตยาสาร แปลกทะลุโลก


     

____________________








Pageviews



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น