วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เจ้าของหวีสับ

พี่รื่นเป็นภรรยาของเพื่อนรุ่นพี่ของสามีดิฉัน เราพบกันในงานเลี้ยง พูดคุยกันถูกคอ เธอเป็นคนน่านับถือ แถมยังสวยไม่สร่างแม้ว่าอายุจะย่างเข้าห้าสิบแล้วก็ตาม

ที่สำคัญ เธอผู้นี้แหละค่ะที่พาดิฉันไปพบปรากฏการณ์สุดสยอง!

หลังจากรู้จักกันหลายเดือน วันหนึ่งพี่รื่นก็ชวนให้ดิฉันทำงานขายประกัน เราเป็นแม่บ้านทั้งคู่ค่ะ คือต่างก็ลาออกจากงานตั้งแต่คลอดลูกคนแรก จนกระทั่งตอนนี้ลูกอายุยี่สิบเศษเรียนจบปริญญาเรียบร้อย พี่รื่นบอกว่ามาขายประกันดีกว่า หารายได้ให้ครอบครัว แล้วยังนำสิ่งดีๆ ไปเสนอให้คนในสังคม

ดิฉันตกลงเข้ารับการอบรมโดยพี่รื่นเป็นหัวหน้าสาย เธอขายประกันมานานแล้วค่ะ จนได้เป็นระดับหัวหน้า

เมื่อปีที่แล้วเราต้องไปสัมมนาที่เมืองกาญจน์ เข้าพักโรงแรมระดับดีมาก ดิฉันนอนกับพี่รื่นในห้องพักที่สะอาด ทันสมัย เป็นห้องที่สวยมาก แต่ทำไมดิฉันรู้สึกแปลกก็ไม่รู้

ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนห้องนี้มีใครอยู่ ...มันเหมือนกับเวลาที่เราเปิดห้องผิดน่ะค่ะ แม้จะไม่เห็นตัว แต่ก็รู้สึกว่าใครคนนั้นอยู่ในห้องขณะเปิดประตู...มันทำให้ดิฉันชะงัก เผลอร้องอุ๊ย...ออกมาเบาๆ

พี่รื่นไม่ทันได้ยิน เพราะมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าจากรถลาก แต่พนักงานที่เข็นกระเป๋าขึ้นมากลอกตามองดิฉัน แล้วเขาก็รีบเบือนเลย เร่งมือยกกระเป๋าของเราเข้าห้องให้อย่างเรียบร้อย พี่รื่นชอบใจห้องนี้ มันเป็นห้องเล็กๆ มีห้องน้ำอยู่ตรงทางที่เปิดประตูเข้ามา เตียงเป็นแบบกว้างนอนได้สองคน ไม่ใช่เตียงแยกนอนเดี่ยวสองเตียง

นี่ละค่ะที่พี่รื่นชอบ...เธอเป็นคนกลัวผีตัวฉกาจเลยละค่ะ!

ดิฉันขอตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ขณะที่พี่รื่นกำลังชมวิวและกินผลไม้ที่ทางโรงแรมวางไว้ให้บนโต๊ะตัวเล็กเป็นการต้อนรับ

ห้องน้ำสะอาดค่ะ มีอ่างอาบน้ำด้วย กระจกผนังก็กว้างตลอด ทำให้ยิ่งดูโล่งและโอ่โถง เคาน์เตอร์ตรงอ่างล้างหน้า มีดอกไม้ช่อสีม่วงเล็กๆ ปักแจกัน และมีขวดสบู่ แชมพู ครีมทาผิว วางไว้ในตะกร้าสานใบเล็กน่าเอ็นดู

แต่เอ๊ะ...ทำไมมีหวีสับของใครมาวางอยู่บนนี้ด้วย?

มันเป็นหวีประดับเพชรเม็ดนิดๆ เรียงเป็นแถว ดูสวยมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดรอดสายตาพนักงานทำความสะอาดมาได้ขนาดนี้ ดิฉันมั่นใจว่าเป็นของคนที่มาพักก่อนหน้านี้ลืมเอาไว้

ไม่เป็นไร...ดิฉันจะเอาไปให้พนักงานต้อนรับตอนลงไปข้างล่าง จะบอกเขาว่าแขกลืมของ...

จัดการหมุนก๊อกน้ำเย็นล้างหน้า โดยไม่ได้เปิดก๊อกน้ำอุ่นผสม พอล้างเสร็จเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเอง ดิฉันรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว...ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง เพราะเงาตัวเรามองออกมาไม่เหมือนเราเลยค่ะ...มันเหมือนคนอื่นที่กำลังเลียนแบบท่าทางของเรา พร้อมกับมองสบตาเราอย่างขบขันอยู่ในที!

เอ๊ะ! ชักจะยังไงเสียแล้วซี! ขนเริ่มลุกซ่าเมื่อเห็นสีหน้าเงาตัวเองในกระจกดูน่ากลัว และใบหน้าของดิฉันเองในเงาสะท้อนนั้นดูไม่เหมือนเดิม...คล้ายกับว่ามันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ

ไม่เอาแล้ว...ดิฉันรีบออกจากห้องน้ำ คิดว่าตัวเองประสาทเกินไป เฮ้อ...อายุตั้ง 48 แล้วนี่คะ เลือดจะไปลมจะมา...ฮอร์โมนคงทำพิษน่ะค่ะ! คิดเลอะเทอะหลอกตัวเองให้กลัวอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!

วันนั้นเราอบรมสัมมนาจนมืดค่ำ กว่าจะกลับเข้าห้องก็ห้าทุ่มกว่าแน่ะค่ะ

พี่รื่นดูเหนื่อยมาก เธอบอกว่าเพลียๆ ขออาบน้ำก่อน ดิฉันเลยเปิดทีวีดู ม่านหน้าต่างน่ะเอาลงหมด แถมเปิดไฟทั้งห้อง แต่กระนั้นแสงไฟก็ดูจะสว่างไม่พอสักเท่าไหร่

ตอนดูทีวี ดิฉันรู้สึกเหมือนมีเงาคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงหางตา แต่พอมองตรงๆ ก็ไม่มีอะไร...แปลกชะมัด

หลังจากอาบน้ำต่อจากพี่รื่น ดิฉันรู้สึกสบายตัวขึ้นและอยากเข้านอนทันที พี่รื่นหลับแล้วค่ะ เธอหลับง่ายแบบนี้แหละ ดิฉันดับไฟ เหลือแต่ไฟในห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มไว้

ไม่ถึงห้านาที...กำลังหลับตาจะเคลิ้มอยู่ดีๆ ก็ต้องตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคนในห้องน้ำ ทั้งที่พี่รื่นก็หลับอยู่ข้างดิฉันแท้ๆ แล้วใครล่ะ?

ขณะคิดอยู่ ก็เห็นชัดๆ แล้วว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งลอยออกมาจากห้องน้ำ!

คุณพระช่วย! ผมเธอยาวปรกน้ำที่ก้มต่ำ แขนสองข้างลู่อยู่แนบตัว เธอลอยช้าๆ น่าสยองมากๆ ผ่านความมืดสลัวอ้อมมาข้างเตียงด้านพี่รื่น แล้วเธอก็นอนลงติดกับพี่รื่นเลยค่ะ! ที่นอนยุบยวบ เล่นเอาดิฉันชาวาบไปทั้งตัว...ทำอะไรไม่ถูกนอกจากสวดมนต์

พอตั้งสติได้ก็รีบเปิดไฟหัวเตียง แล้วค่อยๆ มองไปตรงนั้น...มันว่างเปล่า!

ดิฉันไม่กล้าเล่าให้พี่รื่นฟังเพราะไม่อยากให้เธอกลัว แต่เดชะบุญที่เช้านั้นชักโครกในห้องน้ำเสีย เราได้ย้ายไปนอนห้องอื่น ซึ่งดิฉันคิดว่าโชคดีที่สุด...แต่ถึงจะนอนห้องอื่นก็ยังอดหวาดระแวงไม่ได้เลย

พอถึงกรุงเทพฯ เล่าให้พี่รื่นฟังแทนที่จะกลัวเธอกลับหัวเราะฮึๆ บอกว่าอย่าคิดอะไรมาก หนทางยังอีกไกล ดิฉันต้องอบรมสัมมนาอีกหลายครั้ง! เห็นอะไรก็เฉยไว้ดีแล้ว...เป็นงั้นไปค่ะ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น