วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กองทัพอากาศและอวกาศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า UFO มีจริงและรัฐบาลไม่ควรจะปิดบังอีกต่อไป!





กองทัพอากาศและอวกาศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า UFO มีจริงและรัฐบาลไม่ควรจะปิดบังอีกต่อไป!

Robert Hasting นักวิจัย UFO (Unidentified Flying Object) เปิดเผยว่า ยานบินลึกลับได้เคยโฉบเข้าไปยังฐานทัพอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และรัสเซียมาแล้ว “เรื่องนี้เป็นประเด็นของความปลอดภัยในระดับนาๆ ชาติ และมันเป็นประเด็นที่ทุกคนจำเป็นต้องรับทราบ และมีสิทธิ์ที่จะรับรู้” Hasting กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในระหว่างบรรยายที่ National Press Club “มันถึงเวลาทีความจริงต้องเปิดเผยแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่แค่ประชาชนชาวสหรัฐฯเท่านั้นที่ต้องรับรู้ แต่ผู้คนทั่วโลกก็ควรจะตระหนักในเรื่องนี้เหมือนกัน”











Hasting ได้ร่วมกับอดีตทหารอากาศอีกหกนายในการนำเสนอประเด็นที่เป็นที่กล่าวขวัญมา โดยตลอด โดยเรื่องราวต่างๆ ที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์นายทหารแต่ละคนมีความน่าเชื่อไม่แพ้กัน ซึ่ง UFO ที่พบเห็นจะมีการปล่อยลำแสงเป็นวงแหวน และไม่มีเสียงใดๆ ให้ได้ยิน โดยจะปรากฎตัว และหายไปอย่างรวดเร็ว พวกมันมาหยุดที่รอบๆ ฐานยิงจรวดมิไซล์ (เหมือนจะสำรวจอาวุธของมนุษย์โลก) และปิดการทำงานของระบบการยิงมิไซล์ชั่วคราว ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นกับอดีตทหารทุกนาย “พวกเขา (ufo) ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายมากมาย และไม่ใช่ความเสียหายแบบถาวร” Robert Salas อดีตนายทหารผู้ปล่อยจรวดมิไซล์เมื่อปี 1967 “หากพวกเขาต้องการทำลายจรวด พวกเขาทำได้ แต่ไม่ทำ โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าพวกเขามีเจตนาไม่ดี





เหล่าอดีตนายทหารจากกองทัพอากาศกล่าวว่า เมื่อพวกเขาพยายามจะรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ถูกทางกองทัพฯร้องขอให้ปิดเงียบไว้ ในขณะเดียวกัน Hasting คิดว่า มนุษย์ต่างดาวกำลังพยายามจะสื่อสารบางอย่างให้กับชาวโลก “พวกเขา (มนุษย์ต่างดาว) กำลังส่งสัญญาณไปยังวอชิงตัน และมอสโคว่า เรากำลังเล่นกับไฟ การครอบครอง และใช้อาวุธนิวเคลียร์อาจเป็นภัยคุกคามต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเอกภาพของสภาพแวดล้อมของโลก” Hastings กล่าว “นี่เป็นแค่การสันนิษฐาน แต่มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้มีอยู่จริง”



ภาพ UFO ถูกบันทึกได้เมื่อปี 1952 ในรัฐ นิวเจอซี่


ภาพที่อ้างว่าเป็น UFO ถูกถ่ายเมื่อปี 2008 ในอังกฤษ




ภาพแสงประหลาดปรากฎทางตอนเหนือของนอร์เวย์ เชื่อว่าเป็นแสงจากผู้มาเยือน 
ถ่ายได้เมื่อปี 2009




บทความที่ดีมากเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความรู้เรื่องมนุษย์ต่างดาว

คุณเข้าใจเรื่องมนุษย์ต่างดาวแบบไหน?

โดย Peter Sudtanakit



เรารู้ว่าอย่างน้อยผู้คนกว่าครึ่งโลกเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริง ด้วยเพียงเหตุผลทางสามัญสำนึกแบบตรรกวิทยา การที่มี ดาวเป็นจำนวนมากในจักรวาล ทำให้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่ามนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลเพียงลำพังหรือ ? ความสงสัยเหล่านั้นจึงเกิด แนวคิดความเชื่อและความเข้าใจเรื่องจักรวาล ในรูปแบบต่างๆ



แม้นักวิทยาศาสตร์ บางส่วนตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพียงแต่ใช้คำบอกอธิบายแบบเชื่อว่า....แต่ในใจลึกๆแล้วย่อมยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เป็นจริงได้ แต่ไม่สามารถใช้คำอธิบายในหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ เนื่องจากขาดหลักฐานที่ประจักษ์แจ้ง



ในทำนองเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก กับออกมาประกาศว่า ไม่ควรที่จะไปยุ่งกับสิ่งเหล่านั้นอาจนำพาหายนะมาสู่โลกได้ สำหรับเหตุผลที่จะสนับสนุนความเชื่อในเรื่องนี้และองค์การ NASA เอง ก็พยายามส่งยานสำรวจVoyager ไปยังขอบนอกระบบสุริยะ ซึ่งมีความหวังว่า อาจมีอารยะธรรม ต่างดาวที่ไหนสักแห่งพบเข้าเป็นภารกิจที่นำแผ่นเสียงทองคำ (Golden Record) ขนาด 12 นิ้ว ติดไปกับยานด้วย บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ บรรจุภาพ เสียงธรรมชาติบนโลก 115 รายการ เช่น เสียงลม เสียงนก เสียงดนตรี แต่ละวัฒนธรรมแต่ละยุค และบันทึกภาษาพูดของมนุษย์ 55 ภาษา พร้อมข้อความจากประธานาธิบดีอเมริกา พร้อมมีข้อมูลด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง ข้อมูลด้านเครื่องจักรกลรูปแบบ งานด้านสถาปัตยกรรม ฯลฯ



เท่านั้นยังไม่พอ สถาบัน SETI ถือว่าเป็นองค์กร ไม่มุ่งหวังประโยชน์ด้านการค้า โดยตลอดเวลาเริ่มต้นร่วม 50 ปี และเป็นที่ยอมรับจาก สถาบันทางวิทยาศาสตร์มากมายร่วมองค์การ NASA ด้วย เป็นเจ้าของโครงการชื่อ New Search for Extraterrestrial Intelligence (การสืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) ด้วยคลื่นวิทยุระยะไกล โดยการส่งสัญญานสื่อสารออกไปยัง ส่วนนอกของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก นับเป็นการใช้หลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์ ใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม มากกว่า 50 รูปแบบ ยึดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเกื้อหนุ เป็นสาระสำคัญ ใช้หลักเกณฑ์ Drake Equation เป็นที่มาของการตามล่าหาอารยะธรรมต่างดาว (Searching for an ETI Civilization)



เป็นเช่นนี้แล้วหมายความว่าอย่างไร ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ แขนงต่างๆได้ลงมือค้นหา ด้วยการใช้ทรัพยากร และเงินทุนมหาศาล อย่างไม่ลดละ คงพอจะกล่าวได้ว่า ควรมีสิ่งที่ลงทุน และลงแรงค้นหาหรือไม่ ?



อะไรคือ มนุษย์ต่างดาว



คำว่ามนุษย์ต่างดาว เป็นคำเรียกที่เข้าใจกันโดยปริยาย ไม่ว่าอะไรก็ถือกำเนิดบนโลกอื่น โดยใช้คำว่า เอเลี่ยน (Alien) ซึ่งอาจจะไปสัตว์ เป็นพืช หรือมนุษย์ประหลาดรูปร่างพิลึก เป็นต้น ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่อง ระบบชีวิต ระดับความคิดและรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการเรียกรวม เช่น การพบซาก สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เซลล์เดียวในอดีต (จากอุกกาบาต Allan Hills 84001 ของดาวอังคาร) เรียกว่า Alien ได้



ส่วน UFO (Unidentified flying object) หมายถึง วัตถุบินได้ ที่ไม่ปรากฎหลักฐาเห็นในแนววิถีของท้องฟ้า มีกลไกการเคลื่อนที่และเปล่งแสงออกมาได้ แต่ไม่ สามารถอธิบายตามหลักการและเหตุผลปกติได้ ซึ่งคำว่า Alien และ UFO มักจะเป็นสิ่งที่ถูกเล่ากล่าวถึงควบคู่กันไปเสมอ



ต่างจากคำว่า Extraterrestrial Intelligence* (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) เจาะจงเป็นสิ่งใดก็ตาม ต้องมีเชาว์ปัญญาไหวพริบ ไม่น้อยไปกว่าระดับ ของมนุษย์โลกเช่นเรา



*{ซึ่งต่อไปในทุกคำอธิบายจะใช้คำว่า

ETI แทนคำหมาย Extraterrestrial Intelligence (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล)}



ด้วยความมีปัญญาของ ETI วันหนึ่งข้างหน้าถ้าทราบว่ามนุษย์โลก เรียกพวกเขาว่า Alien คงอาจจะไม่พอใจนักก็เป็นได้ ในทางกลับกัน ETI คงไม่เรียกพวกเราว่า มนุษย์ แต่น่าจะเรียกพวกเราว่า โซล่า (Solar) มากกว่า เป็นการเรียกตามระบบที่อยู่อาศัย ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพราะเป็นระบบที่ต้องดำรงชีพ ด้วยพลังงานจากดวงอาทิตย์ เป็นหลักเท่านั้น



อย่างไรก็ตาม ระบบสุริยะอื่น ที่มนุษย์รู้จัก เป็นสิ่งที่มนุษย์กล่าวเรียกเอง ETI อาจไม่ได้มีความคิดและเข้าใจแบบแผน ระบบสุริยะเช่นมนุษย์ ก็เป็นได้ เพราะบางระบบมีดวงอาทิตย์ มากกว่า 1 ดวง บางระบบไม่มีก็าซออกซิเจน มีแต่โซเดียม หรือ คาร์บอนเท่านั้น แต่ ETI บางกลุ่ม สามารถดำรงชีพได้ เป็นต้น



สำหรับประเด็นที่มักจะกล่าวถึง เรื่องมนุษย์ต่างดาว ถูกเก็บกักตัวไว้และพาดพิงไปถึงเรื่องการสร้างเทคโนโลยีเลียนแบบ เชื่อว่าเป็นจริงยาก เพราะหากเป็น ETI มีภูมิปัญญาขั้นนั้น คงมีความเฉลียวฉลาดพอ ที่จะหลบหลีกกรณีแบบนั้นได้ หรือในประเด็นที่มักกล่าวถึงยานขัดข้องตกลงบนโลก คงเป็นเหตุผลที่รับฟังยาก เพราะหาก ETI มีเทคโนโลยีระดับสูงส่งเดินทางข้ามจักรวาลนับพันนับร้อยปีแสงมาได้ แต่ช่างบังเอิญเสมอที่ต้องมาขัดข้องบนโลกทำไมไม่ลงจอดบนดวงจันทร์ หรือดาวอังคารบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะพบปะกับมนุษย์ซึ่งไม่ไกลเกินความสามารถที่จะย้อนกลับไป



สิ่งที่ต้องอธิบาย ขยายความต่ออกไปอีก คือ ระบบชีวิตในจักรวาลนั้น มีความหลากหลาย สุดลูกหูลูกตา และจะไม่เข้าใจเลยว่ามีเหตุผลทางโครงสร้างอย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น อาจดำรงชีพโดยไม่มีเลือด และเนื้อเหยื่อเช่นมนุษย์ อาจไม่จำเป็นต้องมีออกซิเจนอาจไม่ต้องบริโภคสารอาหาร แต่บริโภคอะตอมไฟฟ้าแทน อาจอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่มีรังสีอันตรายได้อย่างไม่น่าเชื่ออาจอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นอย่างไม่สะทกสะท้าน อาจมีอารยะธรรมโบราณดึกดำบรรพ์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยแต่จิตใจสูงส่ง อาจมีอารยะธรรมที่ทันสมัยสุดขั้ว แต่ไม่แย่แส่ต้องสังคม อาจมีอายุยืนยาวนับแสนปี ซึ่งเป็นปกติสามัญใน

ระบบนั้น อาจมีที่อยู่อาศัยเล็กกว่าโลกหลายร้อยเท่า อาจมีทะเลที่เป็นปรอท เป็นต้น



ดังนั้นภาพรวมในประเด็นนี้ คือ ETI เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ กำลังค้นหา ซึ่งจะสื่อสารกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน มีอารยะธรรม สติปัญญา ไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ รู้ผิดรู้ชอบตามสามัญสำนึกและมีสภาพแวดล้อมเช่นมิติโลกเท่านั้น ในขณะนี้ ไม่ได้ค้นหาสัตว์ประหลาด ที่พิศดารตามแนวคิดในภาพยนต์ แบบน่ากลัว น่าตกใจ



ความสามารถของมนุษย์ในการค้นหา ETI



ต้องย่อมรับว่า เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวนั้น สร้างความตื่นเต้นมานับร้อยปี ตั้งแต่เรื่องมนุษย์ดาวอังคาร ที่สร้างเป็นละครวิทยุ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จวบจนจากสาเหตุยุคใหม่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1947 โดยนักธุรกิจชื่อ Kenneth Arnold บินด้วยเครื่องบินส่วนตัว



ขณะอยู่บนท้องฟ้าสังเกตเห็นวัตถุบินได้ ส่องแสงเปล่งปลั่ง ผ่านหน้าด้วยความเร็ว ราว 2,000 กม./ชม. ข่าวดังกล่าวถูกรายงานบนหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ United Press กล่าวว่าสิ่งที่ Kenneth Arnold เห็นคือ Flying saucers (จานบิน) หลังจากไม่กี่สัปดาห์ในเรื่องนี้ ชาวไร่พบซากปรักหักพังบางอย่าง กองตกอยู่ในทุ่งหญ้าใกล้เมือง Roswall ซึ่งเป็นที่มาของทั้ง Alien และ UFO



ต่อมาจากสัญญลักษณ์แสดงของ UFO (จำนวนมากปรากฎจากภาพถ่าย วีดีโอ เกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยเทคนิคต่างๆ) โดยเป็นการอุปโลกน์ที่ดีและเหมือนจริง 90% ของหลักฐาน ส่งผลให้คนทั่วไปเชื่อถือ ส่วนอีก 10 % ที่เหลือคำอธิบายไม่ชัดเจนคลุมเครือและไม่มีคำอธิบายเรื่องยานมนุษย์ต่างดาวอย่างเป็นรูปธรรม จึงทำให้การวิเคราะห์เป็นสิ่งที่ยืนยันยากทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนหลักฐานที่มีอยู่ ทุกครั้งที่สนทนา ก็จะมีผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งตามความเชื่อ ปะปนกับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของตน และต้องยอมรับต่อไปอีกว่า แสดงเหตุผลการมาเยือนโลกทั้งหมด โดยที่เรายังไม่เคยออกไปค้นหาสิ่งนี้นอกโลกเลย



ประเด็นที่ต้องเข้าใจอย่างยิ่งคือ ความสามารถของมนุษย์ ขณะนี้มีเพียงบรรทัดแรกของการค้นหา ETI ด้วยวิธีพิสูจน์ทางกายภาพ บนกฎเกณฑ์ในมิติเดียวกับโลก เพื่อให้ได้มาซึ่งความประจักษ์แจ้งและต้องสามารถอธิบายต่อทุกคนที่รับฟัง แล้วเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงมิใช่เชื่อแบบครึ่งๆกลางๆสงสัยคาใจ และอย่างน้อยผู้ได้ยินหาเหตุผลมาหักล้างได้ยาก



ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือ คือการออกไปค้นหา ETI ที่อาจมีอยู่ข้่างนอก ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่มุมใดของจักรวาล เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันเปรียบเสมือนตามหาถึงบ้านของ ETI แต่วิธีส่งยานสำรวจออกไปยังกระทำได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด คงเหลือเพียงวิธีเดียว คือการส่งสัญญานเพื่อการโต้ตอบกัน สามารถทำได้ตลอดเวลา และประหยัดงบประมาณกว่า



แม้ว่าครั้นหนึ่ง มนุษย์เคยได้รับสัญญานโต้ตอบจาก ETI กลับมาแล้วก็ตาม ครั้นนั้นเรียกว่า สัญญาน Wow ถึงกระนั้นยังต้องแก้ปัญหาด้านเทคโนโลยีอย่างมากมาย เพื่อไม่ต้องการเหตุผลที่อาจเข้าใจผิดได้



มีกรณีตัวอย่างมากมาย ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ปรารถนาเปิดเผย ความลับและข้อสงสัยก่อนเวลาสมควร เช่น ภาพบางภาพที่ถ่ายบนดาวอังคาร หรือดวงจันทร์ อาจมีลักษณะเฉพาะของแสงเงา เห็นเป็นภาพแปลกๆ อันนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ภาพเหล่านั้นถูกเก็บไว้นับปี เพื่อตรวจสอบ จนมีเหตุผลแล้วว่าแท้จริงคืออะไร และสามารถอธิบายได้โดยกระจ่าง จึงนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณะชน แต่ทัายที่สุดก็ยังมีการตั้งข้อสงสัยเช่นกัน



ในกรณีการค้นหา ETI ด้วยสัญญานวิทยุระยะไกล ด้วยการกวาดหาสัญญานโต้ตอบนั้นเชื่อว่ายังมีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย และคงได้รับสัญญานอะไรบางอย่างเพิ่มไม่มากก็น้อย แต่ความหมายอาจไม่สามารถแปลความได้ เหมือนกับคนจีนคุยกับคนฝรั่งเศส ฉันท์ใดฉันท์นั้นเป็นคนละภาษา คงเข้าใจยาก ดังนั้นจำเป็นต้องคุยด้วยภาษากลางที่ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจตรงกัน แล้วถ้าในจักรวาล จะใช้ภาษาอะไรสื่อสารกันล่ะ ?



จำต้องกลับมาคิด เรื่องภาษาระหว่างจักรวาลโดยมนุษย์ ที่จะส่งข้อความออกไป เพื่อเป็นสัญญานแห่งมิตรภาพ และความมีอารยะธรรม โดยสามารถตรวจสอบกันได้ด้วยการแปลความหมายดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ คงต้องใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์มารวมกับ รากฐานภาษาดั้งเดิมของโลกนับร้อยภาษา เพื่อกลั่นกรองการประดิษฐ์ภาษาขึ้นใหม่ สำหรับใช้สื่อสารกับ ETI โดยเฉพาะให้ได้



นั้นเพียงเป็นเหตุผลประเด็นเดียว ในปัญหานับร้อยรายการ ที่ต้องติดต่อกับ ETI และประเด็นนี้ก็ต้องใช้เวลานับทศวรรษ ยังไม่ต้องกล่าวถึง การใช้เวลาการเดินทางของสัญญานไป-กลับ และความกว้างไกลไพศาลในอวกาศ เทียบว่ามนุษย์คือ มด กำลังเดินหาเพื่อนสักคนในทะเลทรายซาฮ่ารา



ทั้งหมดจึงไม่สามารถทำได้รวดเร็วอย่างที่คิด จึงดูเหมือนขบวนการทางวิทยาศาสตร์เชื่องช้าและไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อมีข่าวคราวเรื่อง Alien และ UFO ขึ้นมาบนสังคมออนไลน์ มักจะได้รับความสนใจมากกว่า และถ้าเป็น ETI มาเยือนโลกจริง นักวิทยาศาสตร์ คงไม่รอช้าที่จะรีบไปเจราจาพาทีเป็นแน่ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาใดๆในการค้นหาในอวกาศให้ป่วยการ



สิ่งที่เป็นเรื่องสับสนเสมอในกรณีนี้คือ ความสามารถทางกายภาพบนโลก สำหรับทุกคนมีการรับรู้ได้เท่าเทียมกัน การค้นหา ETI ด้วยวิธีอื่นนั้น อาจมีอยู่จริง แต่อธิบายโดยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เลย ด้วยเป็นวิธีต่างมิติที่ยังอยู่ในสมการ นับเป็นความสามารถเฉพาะของผู้นั้น แต่ปัญหาคือ นัยของการกล่าวอ้าง จะไม่มีผู้ใดทราบว่าจริงหรือเท็จ เพราะเป็นการเล่าอธิบาย และมักจะเกินเลยไปเสมอ หรือถือโอกาศต่อเติมตามจิตนาการ ให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้น



อย่างไรก็ตาม วิธีต่างมิตินั้น ผู้ที่เข้าใจวิธีต่างมิติด้วยกันจะตรวจสอบ และรู้ได้ว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือเท็จได้ไม่ยาก ซึ่งมีได้เป็นปฎิหารย์ใดๆเลย และมิได้เป็นอะไรที่เกี่ยวกับทางจิต ทางศาสนาแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากในขณะนี้



Bayer Stellar 3/6/2011





ข่าวที่น่าสนใจ >>>



หลังจากบ่ายเบี่ยงมานานเกือบ 50 ปี สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ต.ค. 2550 ว่าจะค้นหาเอกสารสำคัญที่บันทึกเรื่องราวการพบเห็นยานบินลึกลับ (ยูเอฟโอ) ในเมืองเค็กส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 2508 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นาซาพยายามต่อสู้ในชั้นศาลของรัฐบาลกลาง ดึงดันไม่ยอมเปิดแฟ้มเปิดเผยเรื่องราวที่วัตถุลึกลับลอยข้ามท้องฟ้าและตกลงในป่าใกล้เมืองแห่งนั้นมาตลอด



โดยบันทึกความจำของกองทัพอากาศฉบับหนึ่งเขียนว่า "ไม่พบสิ่งใด" ตลอดการค้นหาเมื่อคืนวันที่ 9ธันวาคม 2508 ท่ามกลางรายงานข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่นาซาหลายคนเข้าไปยังจุดตกของวัตถุลึกลับ ก่อนจะมีรถบรรทุกเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายลูกโอ๊คและมีขนาดเท่ารถตู้ออกไปจากที่เกิดเหตุ

รายงานข่าวเผยว่า หลังจากที่ยูเอฟโอลำนั้นตกลงในป่า บรรดาผู้กระหายใคร่รู้ได้ขับรถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ถูกทหารกั้นไม่ให้เข้าไป ขณะที่กองทัพอากาศได้ออกมาอธิบายเพียงว่า วัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นดาวตก หรือ อุกกาบาต แม้ว่าเหตุการณ์ลึกลับจะผ่านพ้นไปเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ผู้สนใจยูเอฟโอต่างไม่ยอมให้ข้อมูลเหล่านี้หายไปกับกาลเวลา นางเลสลีย์ คีน นักข่าวจากนิวยอร์ก ยื่นฟ้องนาซาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อขอให้นาซา เปิดเผยข้อมูลของเหตุการณ์นี้ โดยนางคีน ให้เหตุผลว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มยูเอฟโอจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ พร้อมเปิดเผยว่า สาเหตุที่ฟ้องนาซาแทนที่จะเป็นกองทัพนั้น เนื่องจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นาซาได้เปิดเผยเอกสารที่มีข้อมูลซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุที่เกิดขึ้น



ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนมีนาคม 2550 ฝรั่งเศส เป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตัวเองเกี่ยวกับยูเอฟโอ โดยองค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา รายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า และยังอัพเดตกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วย โดยได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด






ภาพนี้เคยมีข่าว ดัง, จานบินลึกลับนี้บินขึ้นมาจากรอยแยกของน้ำแข็งที่ขั่วโลกเหนือ
ทหารของรัสเซีย ได้นำเครื่องบินติดตามไปจนไปถึงแหลมเบอร์มิวด้าและหายไป
เครื่องบินไป 3 กลับมา แค่ 2




สังเกตุขวามือ มนุษย์ต่างดาวหรือคนในอนาคตมาดูปรากฎหารณ์ 9/11














ภาพของมุษย์ต่างดาว




กระโหลกที่เชื่อวาเป็นของมนุษย์ต่างดาว อีกสายพันธ์หนึ่ง










ที่มา : http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2011/06/04/entry-2

____________________

เครดิต :

________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น