วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ภูตนรกในโรงแรม
เชื่อถือกันมานานแล้วว่าโรงแรมเก่าๆผีดุที่สุด ขนาดดุร้ายน่าสยดสยองยิ่งกว่าผีในวัดหรือในโรงพยาบาลก็แล้วกัน สาเหตุเพราะมีคนคิดสั้นฆ่าตัวตายกับถูกฆ่าตายในโรงแรมน่ะซี
ทำไมผีในโรงแรมจึงดุร้ายที่สุด?
คำตอบคือ คนที่คิดจะฆ่าตัวตายมักจะมีจิตใจหดหู่ เศร้าโศกสุดๆ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ถ้าไม่รักตัวเองมากก็เกลียดชังตัวเองสุดขีด อยากจะทำลายให้วอดวายไปในพริบตา เพราะเห็นว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีความหมาย พ่ายแพ้ไปตลอดกาล...วิญญาณหดหู่ ชิงชังโลกทั้งโลก จึงสิงสู่อยู่ที่นั่น!
ผมไม่ค่อยได้ไปพักโรงแรมนัก เพราะบ้านช่องก็อยู่ในกรุงเทพฯนี่เอง นานๆถึงจะออกต่างจังหวัดซักครั้ง ส่วนมากก็มักไปเที่ยวเตร่ใกล้ๆ แบบไปเช้ากลับเย็น ส่วนน้อยถึงจะค้างคืน ต้องผจญภัยกับภูตผีปีศาจในโรงแรม... แต่น่าแปลกอย่างที่แคล้วคลาดมาทุกครั้ง จนกระทั่งถึงครั้งล่าสุดที่หัวหิน...
โอ้โฮ! เรื่องผีๆ สางๆ ในโรงแรมที่เคยได้ยินได้ฟังมาน่ะ กลายเป็นผีเด็กๆไปเลยครับ อย่างที่คุณๆก็คงเคยผ่านหูผ่านตามามั่งละน่า เช่นมีเสียงเคาะประตูกลางดึก แต่พอลุกไปเปิดก็ไม่เห็นมีใครซักคน...ก็ผีน่ะซี!
ที่น่ากลัวหน่อยก็คือเราอยู่คนเดียวแท้ๆ กำลังอาบน้ำอยู่ด้วยโดยเปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อน แต่จู่ๆทีวีเจ้ากรรมนั่นดันผ่าเปลี่ยนช่องได้เองซะงั้น เหมือนกับมีใครที่ไม่ได้รับเชิญดอดเข้ามากดรีโมตเล่นแก้เหงา แต่พอเปิดประตูพรวดพราดออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
ขอยืนยันครับว่าเป็นผีเด็กๆ ของจริงที่ผมเจอะเจอมาน่ะโคตรผีดุของจริงเลยคุณ!
พวกเรานัดชุมนุมศิษย์เก่าร่วมรุ่นไปเที่ยวต่างจังหวัดกันปีละหนสองหน คราวนี้ก็ยกโขยงไปสามสิบกว่าคนชนิดเกือบเต็มรถบัสละครับ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศกับพบปะเฮฮากันตามประสาเพื่อนเก่า แต่พวกคอสุราก็อ้างว่าเพื่อเปลี่ยนสถานที่ซดเหล้าน่ะ ไม่ใช่อะไร
โรงแรมที่เราพักค่อนข้างเก่า แต่ทาสีใหม่เอี่ยม ดีอย่างที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่นคล้ายรีสอร์ต มีทางเดินคดเคี้ยวไปสู่ชายหาดสีทอง ตอนเย็นๆ เห็นเด็กๆวิ่งเล่นไล่กันยาวเหยียด ไปจนถึงเขาตะเกียบโน่น...ผมพักชั้น 5 ห้องเดียวกับเจ้าเมธที่เป็นโสดชั่วคราวทั้งคู่
ตกเย็นก็ตั้งโต๊ะกันที่ชายหาด มีเสียงเพลงขับกล่อม พอค่ำหน่อยก็เล่นคาราโอเกะให้พวกบ้าไมค์ทั้งหลายเข้าคิวกันโก่งคอแข่งกับ เสียงคลื่นเสียงลมที่ซัดหาดไม่หยุดหย่อน วิสกี้, ไวน์, บรั่นดี ซดกันไม่ยั้ง ซีฟู้ดล้วนๆ ช่วยให้การดื่มกินลื่นไหล เสียงเพลงคณะบรรเลงบรรลัย แต่ไม่ถึงกับบรรเลงที่ไหนบรรลัยที่นั่น ก่อนตบท้ายด้วยข้าวต้มอุ่นท้อง...จนกระทั่งเกือบห้าทุ่มถึงได้ทยอยกันเดิน กลับโรงแรม ผลัดเสื้อผ้าได้ก็ขึ้นเตียงเพราะซัดกันเข้าไปหลายขนาน ...หัวถึงหมอนก็หลับสนิท
เวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็สุดรู้ ผมมาตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะความหนาวเย็นจับใจ กับเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ดังมาจากเตียงข้างๆ แสงไฟจากภายนอกด้านชายหาดส่องผ่านกระจกที่ไม่ได้รูดม่านเข้ามา...หันไปมอง เพื่อนที่นอนเตียงใกล้ๆกัน มีโต๊ะเตี้ยๆคั่นหัวเตียง...คุณพระช่วย! เจ้าเมธกำลังร้องไห้น้ำตาไหลพรากเหมือนเด็กๆ
"เมธๆ เป็นอะไรวะ? ฝันร้ายหรือละเมอ?" ผมร้องถาม แต่เจ้าเมธไม่ตอบ นัยน์ตาลืมโพลงเหมือนคนตาค้าง ทำให้ผมเงยหน้ามองตามมันขึ้นไป ก่อนจะชาวาบไปทั้งตัวบัดดล!
นรกเป็นพยาน! ใบหน้าดำทะมึน นัยน์ตาแดงจ้าของภูตนรกล่องลอยอยู่เหนือใบหน้าเพื่อนผมราวสองฟุต ก่อนจะหันขวับมาทางผม ส่ายไปมาคล้ายงูเลื้อย...ลำตัวของมันห้อยลงมาจากเพดานห้องนอนนั่นเอง
คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด! น้ำตาผมไหลพรากลงมาอาบหน้า เนื้อตัวแข็งชาเหมือนกลายเป็นแท่งหิน ไม่อาจจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย นอกจากนอนแน่นิ่ง ปากสั่นริกๆ ก่อนจะแผดร้องสุดเสียง...โอ๊ย! ช่วยด้วย!!
อาจจะเป็นคลื่นเสียงก็ได้ที่ทำให้ใบหน้าอุบาทว์นั่นหดกลับ หายลับขึ้นไปบนเพดานตามเดิม! เสียงดังลั่นนั้นทำให้เราได้สติ เด้งตัวผางขึ้นมาได้...จะภาพหลอนหรือของจริงก็ช่างเถอะแต่เราขอเผ่นออกจาก ห้องนอนไม่คิดชีวิต...อาศัยล็อบบี้เป็นที่ซุกหัวนอนจนรุ่งเช้า
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เพื่อนสมัยเด็ก
ดิฉันเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีให้ฟังบ่อยๆ ที่จำได้แม่นก็คือเรื่องวิญญาณมักจะสิงสู่อยู่บริเวณที่ตาย ไม่ว่าจะเจ็บป่วยตายตามธรรมชาติ หรือโดนฆ่าตายบ้าง ฆ่าตัวตายบ้าง ตายเพราะอุบัติเหตุบ้าง
ประเภทหลังๆ ที่เรียกว่าผีตายโหง วิญญาณจะแรงมาก ชอบปรากฏร่างให้คนเห็นบ่อยๆ เพื่อขอส่วนบุญ แต่คนเห็นแล้วล้วนแต่หวาดกลัวกันทั้งนั้นแหละค่ะ
คนที่จะไปซื้อบ้านหรือเช่าบ้าน ถ้ารู้ว่ามีคนฆ่าตัวตายหรือโดนฆ่าตายก็มักจะไม่กล้า นอกจากจะไม่รู้จริงๆ เพราะไม่อยากอกสั่นขวัญแขวนโดยใช่เหตุ อย่างน้อยก็อยู่ด้วยความไม่สบายใจ ทั้งกลัวผีหลอก กับเชื่อว่าเป็นอัปมงคล ขนาดเจ้าของบ้านเองยังไม่กล้าอยู่ เราถึงได้ข่าวเรื่องบ้านร้างผีดุอยู่บ่อยๆ
บ้านเดิมดิฉันอยู่ที่บางใหญ่ นนทบุรี ได้ยินว่ามีคนโดนรถยนต์ชนตายแถวปากซอย ไม่ช้าก็มีคนเห็นวิญญาณเขาเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม หลายๆ คนยืนยันว่าไม่ได้ตาฝาด นอกจากจะจำหน้าได้แล้วเห็นเลือดแดงชุ่มไปทั้งตัวอีกด้วย
มีหญิงชราคนหนึ่งในซอย แกค่อนข้างขี้โรค ทั้งความดันเลือดสูง ทั้งเบาหวาน ล้มเจ็บต้องไปหาหมอเป็นประจำ วันหนึ่งแกคงเบื่อหน่ายชีวิตตัวเองเต็มที เลยตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วเพื่อให้พ้นทุกข์ กับไม่ต้องตกเป็นภาระของลูกหลานอีกต่อไป เผาศพไปได้ไม่กี่วัน คนเดินผ่านบ้านนั้นตอนกลางคืนยังเห็นแกเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ รั้ว บางคนได้ยินเสียงกระแอมก็หันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงกับร้องลั่น เผ่นอ้าว...สาเหตุเพราะมองเห็นแกนั่งบนกิ่งมะม่วงก็มี เห็นร่างผูกคอห้อยโตงเตงถนัดตาก็มี
เรื่องนี้ทำให้แม่พาดิฉันไปทำสังฆทานที่วัดเขมาฯ เชิงสะพานพระรามหก ทั้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แกในฐานะเพื่อนบ้าน กับสะเดาะเคราะห์ตัวเองด้วย สังเกตว่ามีคนมาถวายสังฆทานกันหลายคน พระท่านกล่าวนำให้ทุกคนว่าตาม เรียกว่าสังฆทานหมู่ เสร็จแล้วก็ออกมาปล่อยนก ปล่อยปลาไหลและหอยขมที่เขานำมาขายในวัดกันหลายเจ้า
แม่บอกว่าปล่อยปลาไหลเพื่อให้ความทุกข์หรือเคราะห์ร้ายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ไหลไปตามชื่อปลา ปล่อยหอยขมก็คือให้ความขมขื่นต่างๆ หลุดลอยไปจากตัวเอง เป็นความเชื่อถือที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
ทำแล้วสบายใจดี อย่างน้อยก็ได้บุญที่ปลดปล่อยสัตว์พวกนั้นให้เป็นอิสระ หรือช่วยชีวิตพวกมันไว้...นี่คือเหตุผลของแม่ค่ะ
เรื่องขนหัวลุกที่ดิฉันประสบมาก็เกิดขึ้นที่บ้านใกล้ๆ กันนั่นเอง!
บ้านนั้นมีลูกสาวคนเดียวชื่อบุ๋ม เธออายุราวสิบขวบเศษเหมือนดิฉัน บุ๋มร่างผอมสูง ผิวขาว ไว้ผมม้า นิสัยค่อนข้างจะซุกซนและโลดโผนคล้ายเด็กผู้ชาย ทั้งชอบปีนป่ายขึ้นต้นไม้ พกหนังสติ๊กยิงนกยิงหนูอยู่เป็นประจำ
แม่คอยเตือนดิฉันว่าอย่าซนเหมือนบุ๋ม เดี๋ยวจะตกต้นไม้คอหักตาย หรือไม่ก็แขนขาหัก พิการไปตลอดชีวิต
บุ๋มเคยชวนเล่นซนตามเธอบ่อยๆ แต่ดิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ กลัวเจ็บตัวกับกลัวโดนแม่ตีด้วย...ยอมรับความแก่นแก้วและใจกล้าของเธอจริงๆ เมื่อเห็นเธอกระโดดจากต้นไม้กิ่งสูงๆ หรือไม่ก็ปีนป่ายไปเก็บมะม่วงบ้าง ดอกจำปีบ้าง ขนาดหน้าต่างบ้านชั้นล่างยังเป็นทางลงของบุ๋มเลยค่ะ เพราะเธอกระโดดมาหาดิฉันหน้าตาเฉย
วันหนึ่งก็ได้ข่าวร้าย บุ๋มพลัดหล่นจากต้นมะปรางข้างบ้านลงมานอนสิ้นสติ พ่อแม่ต้องพาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ได้ข่าวว่าหัวแตกไหล่หัก ต้องนอนรักษาตัวอยู่หลายวัน แม่ดิฉันไปเยี่ยมมาครั้งหนึ่ง เล่าว่าอาการหนักน่าดู...ถือโอกาสกำชับดิฉันว่าห้ามปีนต้นไม้เด็ดขาด
อีก 2-3 วันต่อมา ดิฉันกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่ใกล้ๆ จำได้ว่าเป็นบุ๋มก็หันไปมอง...เธอกลับนั่งห้อยขาอยู่ที่หน้าต่างชั้นล่าง นั่นเอง
ดิฉันร้องถามว่าหายแล้วหรือ? บุ๋มก็ยิ้มฟันขาว โดดหน้าต่างลงมากวักมือเรียก อารามดีใจทำให้รีบวิ่งออกไปดูก็เห็นเธอนำหน้าไปที่ต้นมะปราง แทบจะในพริบตาเดียวบุ๋มก็ขึนไปนั่งปร๋ออยู่บนกิ่งใหญ่พลางยิ้มแป้น เรียกให้ปีนขึ้นไปเล่นด้วยกัน
ลมพัดมาวูบใหญ่จนดิฉันขนลุกซู่...ได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกก็หันไปบอกว่าบุ๋มหายแล้ว ไม่เชื่อก็มาดูที่ต้นมะปรางนี่ซี
แม่ตะโกนอะไรลั่นๆ ฟังไม่ถนัด พลางวิ่งเข้ามาหา หน้าซีด ปากสั่น พูดเสียงแหบเครือว่า...ไปเล่นกับใครน่ะ? บุ๋มมันตายแล้วเมื่อตอนบ่ายนี้เอง!
ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้ แหงนหน้าชี้มือให้แม่ดู...แต่ไม่เห็นบุ๋มอยู่บนกิ่งไม้นั่นเสียแล้ว
บุ๋มตายที่โรงพยาบาลจริงๆ แต่วิญญาณก็กลับมาสิงสู่อยู่ตรงที่เธอพบจุดจบ...จิตใจคงผูกพันอยู่ที่นั่น ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาไปผุดไปเกิดเสียที ดิฉันจะไม่มีวันลืมภาพสุดท้ายที่เห็นเธอไปตลอดกาลเลยค่ะ
ผีข้างห้อง
ผมเป็นคนจังหวัดชุมพร เพิ่งเรียนจบ ม.6 และสอบเข้าราชภัฏในกรุงเทพฯ ได้ในปีนี้เอง แต่ไม่มีที่จะอยู่ ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะฉะนั้นถึงผมจะสอบเข้าได้เป็นที่ดีอกดีใจ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเรากลุ้มใจไปด้วย
ถ้าต้องเช่าหอละก็ พ่อกับแม่ต้องลำบากแน่ๆ เผลอๆ ต้องเป็นหนี้เป็นสินเขา ผมสงสารพ่อแม่ที่สุด
ในขณะที่กำลังอับจนหนทาง เราได้ข่าวดีเหมือนสวรรค์โปรด คือน้าสมพรคนข้างบ้านบอกว่ามีญาติทำร้านเสริมสวยอยู่แถวสุทธิสาร และเขาเต็มใจจะให้ผมไปอาศัยอยู่ด้วยจนกว่าจะเรียนจบ
แน่ละครับ ไม่มีการคิดราคาค่าเช่าห้องใดๆ ทั้งสิ้น!
น้าสมพรบอกว่า ที่จริงป้าตุ้ม - ลูกพี่ลูกน้องของน้านั้นเคยอยู่ที่ชุมพร รู้จักกับพ่อแม่ผมดี แถมพ่อแม่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลตอนที่ป้าตุ้มลำบาก ป้าเองก็เคยเห็นผมตอนขวบสองขวบเสียด้วยซิครับ
เป็นอันว่าในที่สุด ต้นเดือนมิถุนายน พ่อแม่ก็พาผมขึ้นรถจากชุมพรมาพร้อมกับน้าสมพร มาส่งที่บ้านป้าตุ้มเรียบร้อย
ป้าตุ้มอายุห้าสิบปีแต่ยังดูสวยไม่หยอก สมแล้วที่เป็นเจ้าของร้านเสริมสวย
บ้านของป้าเป็นตึกแถวสามชั้นในซอยอินทามระ ไม่สวยหรูหรา มองดูออกโทรมๆ ด้วยซ้ำ แต่ผมก็รู้สึกดี อาจเป็นเพราะป้าตุ้มให้ความสนิทสนมและใจดีมาก
อ้อ! ป้าเป็นสาวโสดครับ
ชั้นล่างของตึกแถวนี้เป็นร้านทำผมเล็กๆ มีพี่เก๋เป็นลูกมือ ชั้นสองใช้เป็นที่อยู่ มีเตียงนอน มีที่ทำครัว ป้าตุ้มอยู่กับพี่เก๋สองคน ส่วนชั้นสามเป็นที่เก็บของก็เลยแบ่งให้ผมได้อาศัยสบายมาก มีที่นอนปูกับพื้น มีโต๊ะเล็กๆ และโคมไฟไว้อ่านหนังสือ แถมเดินออกไปข้างนอกก็เป็นระเบียงตากผ้า หรือมานั่งดูดาว ดูแสงไฟเมืองกรุงเล่นก็ได้
ผมชะโงกมองห้องแถวที่ติดกัน ท่าทางจะไม่มีคนอยู่แฮะ คือระเบียงของผมมีกรงตาข่ายเหล็กกั้น มองไปทางระเบียงห้องด้านซ้ายมีฝุ่นเกาะ มีตะไคร่แห้งๆ ที่พื้น แห้งจนเป็นแผ่นหลุดออก...ผมไม่ได้คิดอะไร
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมครองห้องและระเบียงชั้นสามเต็มที่
ป้าตุ้มกับพี่เก๋น่ารักจริงๆ เรากินข้าวพร้อมกันสามคนตอนทุ่มครึ่ง ผมช่วยงานบ้านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ และตั้งใจจะช่วยตลอดไป ทั้งกวาด ถู เก็บขยะไปทิ้ง ล้างจานชามและจะรักษาความสะอาดในส่วนที่ผมอยู่ให้ดีที่สุดครับ
แม่สั่งไว้ด้วยนี่นาว่าต้องทำตัวดีๆ และนึกถึงบุญคุณป้าตุ้ม
ผมดูทีวีที่ชั้นสองจนดึกก็ขอตัวขึ้นห้องตัวเอง อากาศร้อนจังนะครับ ผมออกมารับลมที่ระเบียง ไกลออกไปไม่มากนักก็เห็นโรงพยาบาลเปาโล เห็นทะเลหลังคาบ้าน แสงไฟถนน ตึกรามบ้านช่อง มองแล้วเพลินดี
ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่ามีเงาคนอยู่ที่ข้างระเบียงห้องข้างๆ หันไปมองก็ใช่เลย...ตรงห้องที่ผมคิดว่าร้างน่ะ มืดสนิทก็จริง แต่มีผู้หญิงผมยาว สวมชุดนอนขาวๆ เดินก้มๆ เงยๆ อยู่คนเดียว
เออ...ผมก็ลืมถามป้าตุ้มกับพี่เก๋ว่าห้องนั้นมีใครอยู่หรือเปล่า? กลางวันเขาอาจปิดประตูเหล็กบานเลื่อนที่หน้าบ้านไว้ แล้วกลับมาตอนกลางคืน
ผมกลัวถูกหาว่าเสียมารยาทที่ไปจ้องผู้หญิงคนนั้น ก็เลยหันมาสนใจแสงสีของย่านสุทธิสาร สะพานควายต่อไป แต่พักหนึ่งผมรู้สึกเหมือนถูกจ้อง เลยหันกลับไปโดยสัญชาตญาณ โอ๊ย! ผมสะดุ้งโหยงเลยครับ
ผู้หญิงคนนั้นเอามือสองข้างเกาะลูกกรงที่คั่นระเบียงของเรา มือเธออยู่ระดับไหล่ ใบหน้าขาวๆ อยู่ระหว่างมือทั้งสอง ดวงตาดำจ้องมาเหมือนคนสติไม่ดี...ผมทำตัวไม่ถูก เลยยิ้มเจื่อนๆ แล้วตั้งใจจะกลับเข้าห้อง แต่ทันใดนั้น เธออ้าปากกว้างคล้ายกำลังแผดร้องสุดเสียง แต่ไม่มีเสียงอะไรเลยครับ
แล้วร่างขาวๆ นั่นก็พุ่งตัววูบ...หายลับจากขอบระเบียงตรงนั้นไปในพริบตา!
ผมเข่าอ่อน สั่นไปหมด นี่ผมเห็นคนฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา! พอตั้งสติได้ ผมวิ่งหัวซุนลงไปหาป้าตุ้ม พี่เก๋ ผมละล่ำละลักพูดไม่เป็นภาษาคน ป้าตุ้มไม่ได้ตกใจเลย แต่มีท่าตะลึงงัน แล้วหันไปมองตากับพี่เก๋ ผมร้องไห้ไปแจ้งตำรวจ แต่สองคนกลับทำท่าแปลกๆ จนผมเอะใจ
ตกใจวาบ แล้วก็หนาวสะท้านไปทั้งตัว!
ผมเจอผีหลอกไงล่ะครับ ห้องข้างๆ น่ะเขาโดดตึกฆ่าตัวตายเมื่อปีที่แล้ว...วันนี้ละเป็นวันครบรอบที่เขาตาย
แหม! ผมเองก็จำเพาะต้องย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นวันแรกซะด้วยซี ไม่เรียกว่าความบังเอิญสุดๆ แล้วจะว่าอะไร...แต่ผมอยากจะเรียกว่าเวรกรรมมากกว่าครับ
ป้าตุ้มปลอบว่าไม่เป็นไรหรอก ตั้งแต่ตายไปเขาไม่เคยมาหลอกหลอนใครเลย แต่ทำไมไม่มีคนกล้ามาอยู่ห้องเขาล่ะครับ? ป้าตุ้มว่าเขาคงมาให้เห็นตอนครบรอบวันตายเท่านั้นเอง!
เฮ้อ...ไม่เอาดีกว่า ยังไงๆ ก็อยู่ไม่ได้แล้วละ ผมไม่ลืมพระคุณป้าตุ้มหรอกครับ แต่อยู่ไม่ได้จริงๆ เห็นใจผมเถอะครับ เดี๋ยวเธอเล่นไม่พุ่งหลาวลงไป แต่เปลี่ยนใจข้ามระเบียงมาเคาะห้องผมล่ะ?
คืนนั้นผมนอนในห้องป้าตุ้ม พี่เก๋ รุ่งขึ้นป้าโทร.บอกพ่อ และไม่ปิดบังเรื่องเร้นลับน่าขนหัวลุกที่ผมเห็น
โชคดีที่ป้าตุ้มจัดการหาที่อยู่ให้ใหม่ โดยพาผมไปฝากไว้บ้านพี่ชายของป้าที่อยู่แถวสถานีรถไฟบางซื่อ...ไม่ต้องห่วง ผมแล้วละครับ ห่วงป้าตุ้มกับพี่เก๋เถอะ...สยองจริงๆ ที่อยู่ข้างห้องผีสิงแบบนั้นน่ะ บรื๋อส์!
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เค้ามาหยอกเล่น
ว่ากันว่า พระบวชใหม่จะเจอผีหลอก !!
เมื่อสักเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา พี่ชายของเพื่อนผมได้ไปบวชเป็นพระอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นความตั้งใจที่จะบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดาและผู้มีพระคุณ พี่ชายคนนี้จึงเลือกที่จะจำพรรษาที่วัดต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญ เพราะการบวชเค้าบอกว่าต้องการความสงบ
ในคืนแรกของการเป็นพระ ก็เจอดีจนได้ครับ
ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ พี่ชายเพื่อนก็รู้สึกเหมือนมีคนมานอนเบียดอยู่ด้านข้าง พอหันไปมองก็ไม่พบอะไร พอใกล้เคลิ้มหลับอีกทีก็เหมือนมีคนเบียดเข้ามาอีกแล้ว แต่คราวนี้พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นปลายเท้าของใครก็ไม่ทราบ โผล่ลอดผ้าห่มออกมาข้างเดียว จะว่าเป็นเท้าตัวเองก็ไม่ใช่ เพราะภาพที่เห็นมีปลายเท้าอยู่ 3 เท้า ซึ่งเป็นเท้าตัวเอง 2 ข้าง ส่วนอีกข้างเป็นของใครก็ไม่รู้
พี่ชายเพื่อนผมตกใจมาก จึงเปิดผ้าห่มออกดู ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จึงคิดว่าตนเองเห็นภาพหลอน จากนั้นก็นั่งสงบจิตสงบใจ จนเข้านอนต่อ คราวนี้นอนหลับได้ครับ ไม่มีอะไรกวนใจ แต่หลังจากที่หลับไปไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนเดินอยู่ที่หน้ากุฏิ เสียงพื้นไม้เสียดสีกันดัง เอี๊ยด เอี๊ยด
แต่พี่ชายเพื่อนผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จึงได้หลับตานอนต่อ คราวนี้พอนอนไปได้สักระยะ ก็รู้สึกว่ามีคนมานอนเบียดอีกแล้ว แต่พอมองไปข้างตัวเองทั้งซ้ายและขวาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ใจคอก็เริ่มไม่ดี เพราะตั้งแต่เข้านอนก็มีแต่เรื่องแปลกๆ จึงเกิดอาการอกสั่นขวัญผวา นอนคลุมโปงทันที
พี่ชายเพื่อนผมยังได้ยินเสียงเดินผ่านไปผ่านมาที่หน้ากุฏิ จึงได้ลืมตาขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังคลุมโปงอยู่ เชื่อหรือไม่ครับว่า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าของพี่ชายเพื่อน คือหน้าของใครก็ไม่รู้ นอนยิ้มฟันขาวให้พี่ชายเพื่อนผม เท่านั้นล่ะครับ พี่ชายเพื่อนผมเปิดผ้าห่ม แล้ววิ่งออกนอกห้อง แล้วตะโกนโหวกเวกออกไปว่า "ผีหลอก"
คืนนั้นต้องไปนอนกับพระพี่เลี้ยงครับ พอเช้ามาพระพี่เลี้ยงก็ได้บอกกับพี่ชายเพื่อนผมว่า พระใหม่ก็เจอกันประจำแหละ เค้ามาหยอกเล่น ทำบุญให้เค้าซะหน่อยละกัน แล้วบอกเค้าไปว่าอย่ามารบกวนเลย เพราะกลัว เรามาบวชเป็นพระเพื่อศึกษาพระธรรม ดังนั้นถ้าเค้ามารบกวนอย่างนี้ ถือว่าเป็นบาปอย่างนึงนะ
พี่ชายเพื่อนผมก็ได้บอกกล่าวกับดวงวิญญาณต่างๆ ตามที่พระพี่เลี้ยงได้แนะนำมา อีกทั้งการสวดมนต์แผ่เมตตาแต่ละครั้ง ก็ระลึกถึงเค้าผู้นั้นจนวันสุดท้ายของการเป็นพระ เมื่อปฏิบัติแบบนี้ ตลอดระยะเวลาของการเป็นพระ (1 พรรษา) ก็ไม่เจอเหตุการณ์ขนหัวลุกอีกเลย
ผีเข้า!!
เมื่อผ่านช่วงเวลาของการสอบเอนทรานซ์มา ทุกคนคงจะจำภาพในบรรยากาศรับน้องได้ว่ามีแต่ความสนุกสนานเฮฮา และทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นแต่สำหรับบางคนคงจะไม่มีวันลืมวันนั้นได้เลย เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานที่ๆ เราไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เป็นรีสอร์ทเล็กๆ
เพราะมันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลย แต่พวกพี่น้องต่างก็บอกกันว่า เหมาะเป็นสถานที่ไว้ก๊งเหล้าตอนกลางคืน และตอนช่วงบ่ายๆ หลังจากที่คนอื่นได้พาน้องๆไปตะลุยเข้าฐานต้อนรับน้องใหม่กันแล้วก็ถึงหน้าที่ของคนที่ต้องคอยจัดขั้นตอนพิธีการ และพวกเราทั้ง 5 คน ต้องไปตัดต้นกลัวยเพิ่ม เพื่อที่จะนำใบตองมาตกแต่งบายศรีเพิ่ม เพราะที่นำมาจากกรุงเทพฯ พออยู่บนรถก็มีความเสียหายไปบ้าง
ใน 5 คนนั้นมีตัวดิฉันเองและเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเรียนรุ่นเดียวกัน 1 คน และยังมีรุ่นน้องตามไปด้วยอีก 3 คน เป็นหญิง 2 ชาย 1 พอเห็นว่าได้ที่ตัดต้นกล้วยแล้วต่างก็ยกมือขอเจ้าที่เจ้าทางว่าขอตัดใบตองไปเพื่อใช้ทำพิธีทำอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ก่อนจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ชาย 2 คนที่ต้องตัดต้นกล้วยพวกผู้หญิงจะมาช่วยกันแบกเฉยๆ แต่แล้วในที่สุดน้องผู้หญิงที่ไปด้วยคนหนึ่งกลับพูดว่า ทำไมต้นนี้ตัดยากตัดเย็นเสียจริง ยางก็เยอะ ซึ่งทุกคนก็บอกเออน่า !!! อย่าเที่ยวบ่นไปหน่อยเลย
แต่ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นความเดือดร้อน ในเวลาต่อมาเพราะอยู่ๆ เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่เคยพบเจอ และไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อกำลังจะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับน้องๆ จู่ๆ น้องคนนั้นก็มีอาการโวยวาย แล้วนั่งตัวสั่นขึ้นมา ทุกคนก็ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเธอเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร
บรรยากาศจากความเงียบสงบกลายมาเป็นความโกลาหลในทันที เพราะทุกคนนึกว่าเธอจะเป็นลมบ้าหมู หรือเป็นโรคอะไร ช่วยกันปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ จนไปยุ่งกับเขามากมีการตวาดใส่มาว่า ไม่ต้องมายุ่งกับกู พวกแกทำอะไรลงไปทำไมไม่ขออนุญาตกูก่อน
ที่เคยนั่งล้อมกันเป็นวงกลมใหญ่กลายเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันหมดเพราะทุกคนต่างก็มากระจุกตัวเบียดเสียดอยู่ด้วยกันคราวนี้หัวหน้ารุ่นพี่ที่เหมือนเป็นคนดูแล ทุกคนพูดออกมาว่าตอนเย็นใครไปทำอะไรมาหรือเปล่า ได้ขอโทษเจ้าที่เจ้าทางหรือยัง จนดิฉันนึกถึงคำพูดของน้องผู้หญิงคนนั้นได้ รุ่นน้องคนหนึ่งได้ถอดสร้อยพระนำมาคล้องคอให้กับน้องผู้หญิงรู้สึกว่าน้องเค้ามีอาการสงบเงียบลง แต่นั่งหน้าตาซึมตลอด จนตลอดทั้งคืนนั้นพวกรุ่นพี่เองก็นอนกันไม่ค่อยหลับทุกคน เลยตัดสินใจว่าจะพารุ่นน้องคนนั้นกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปปรึกษากับพ่อแม่แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้ปกครองของน้องคนนั้นฟัง น้องคนที่เป็นเจ้าของสายสร้อยได้ติดตามมาด้วยจากกาญจนบุรีแนะนำให้ไปหาหลวงพี่ที่เขาสนิทสนม เผื่อท่านจะช่วยอะไรได้บ้างเพราะพ่อแม่ของน้องเห็นสภาพลูกเขาที่ได้แต่นั่งตาซึม มองซ้ายมองขวาแต่ไม่มีการพูดจาสนทนา หากใครไปมองเข้านานๆจะมีอาการจ้องตาเขม็งตอบ ทุกคนจะกลัวกันมากหลังจากพาน้องไปพบกับหลวงพี่จึงได้รู้ว่า
คนที่ตามน้องมาด้วยนั้น เค้าโกรธมากที่ไปพูดดูถูกเขา หลวงพี่บอกว่าเธอเป็นนางตานี ให้รีบถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เขา และกล่าวคำขอขมาลาโทษไปด้วย พร้อมกับกรวดน้ำ จากนั้นพวกเราก็นั่งในวัด พูดคุยกับหลวงพี่ไปเรื่อยๆ
ในที่สุดน้องเขาก็หายเป็นปกติ งงว่าทำไมถึงมาทำอะไรกันที่วัดนี้ ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือ กำลังนั่งทำพิธีกันอยู่ในคืนรับน้อง พวกเราเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าตัวฟัง เธอถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาเลยและบอกว่าวันหลังจะระวังคำพูดให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่น้องคนนั้นหรอกค่ะที่กลัวทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็หวาดกลัวกันหมด จากนั้นทุกคนก็ได้แกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะทุกคนได้ตรากตรำอดตาหลับขับตานอนกันมาเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเต็มๆ ทีเดียว
วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)