วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ห้องนี้ผีอยู่!

คุณยุทธเป็นเพื่อนสมัยประถมของสามีดิฉัน เราโตมาด้วยกัน แต่เมื่อเรียนจบก็แยกย้ายกันไปและไม่ได้ติดต่อกันเลย เป็นเวลาเกือบสิบหกปีแน่ะค่ะ แล้วจู่ๆวันหนึ่งเขาก็ไปเจอกันในงานแต่งงาน ซึ่งเจ้าสาวเป็นญาติของคุณยุทธ ส่วนเจ้าบ่าวเป็นลูกน้องของสามีดิฉันเอง

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดิฉันถูกผีหลอก!

เมื่อคุณยุทธรู้ว่าเรากำลังจองโรงแรมที่หัวหินเพราะอยากพาลูกไปเที่ยว เขาก็รีบบอกว่าไม่ต้องจองให้ยุ่งยาก เสียเงินเสียทองเปล่าๆ เขามีคอนโดฯหรูอยู่ที่นั่น สะดวกสบายพอๆกับโรงแรมระดับห้าดาว ให้เราไปพักได้เลย จะอยู่นานเท่าไรก็ได้

เราออกเดินทางเย็นวันศุกร์ มีสามีกับดิฉัน ลูกโบ-ลูกสาววัยสองขวบครึ่ง พร้อมทั้งคุณแม่และแป้น-สาวใช้ที่ช่วยดูแลลูกโบ

คอนโดฯของคุณยุทธน่าอยู่จริงๆค่ะ กว้างขวางใหญ่โต มีเนื้อที่ตั้งแต่ริมถนนจรดชายหาด มีร้านอาหาร โรงหนังเล็กๆ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำและสวนดอกไม้ ห้องชุดก็สวยมีระเบียงกว้าง ห้องนั่งเล่นโอ่โถงโล่งสบาย ห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำถึงสามห้องเชียวล่ะ

ทว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาสะดุดใจดิฉันเข้าปังใหญ่!

นั่นคือห้องข้างๆน่ะค่ะ ประตูไม้ที่ดูคลาสสิคของทุกๆห้องมีเพียงเบอร์ห้องติดไว้ แต่ประตูที่ติดกับห้องชุดของคุณยุทธดูทึบทึมยังไงพิกล แถมน่าพรั่นพรึงด้วยแป้งเจิมและแผ่นทองคำเปลว กับผ้ายันต์แผ่นเล็กๆที่ดูขลัง น่าขนลุกชะมัด

แค่นั้นยังไม่พอ...ยังมีพวงมาลัยแห้งๆ คล้องไว้ที่ลูกบิดสีทองอร่ามนั่นด้วย!

เมื่อสายตาปะทะเข้าวินาทีแรก ดิฉันถึงกับอึ้ง และพอมองไปที่คุณแม่กับแป้น...ทั้งสองคนก็มีอาการไม่ผิดกับดิฉัน

"น่ากลัวจังค่ะ ผีดุแน่เลย" แป้นโพล่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง แต่เมื่อพวกเราเข้าห้องแล้วก็แทบจะลืมความน่ากลัวจนสิ้น พวกเราสนุกและสบายมาก คุณยุทธอุตส่าห์โทร.มาถาม ฝ่ายคุณแม่ถึงกับบอกว่าไม่อยากกลับ อยากอยู่นานๆ

ในที่สุด สามีก็กลับก่อนเพราะต้องทำงาน ปล่อยให้ดิฉัน ลูกโบ คุณแม่และแป้นพักผ่อนกันเต็มที่ แล้วสัปดาห์ต่อไปถึงจะมารับเรากลับบ้าน

ค่ำวันอาทิตย์ดิฉันค่อนข้างเหงา พอกินมื้อเย็นที่ริมทะเลเสร็จเรียบร้อยเราก็กลับห้อง คุณแม่ดูข่าว ดูละคร ลูกโบเล่นง่วนอยู่กับพี่เลี้ยง ส่วนดิฉันออกไปยืนรับลมอยู่ที่ระเบียง

ขณะที่กำลังเพลินๆ ก็รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง เลยหันมองไปรอบๆ

จริงด้วย...ระเบียงข้างๆ มีคุณลุงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีขาวที่ปรับเอนได้ เขาเป็นชายสูงอายุตัวอ้วนกลม ท่าทางจะเตี้ย ศีรษะล้าน แต่โดยรวมแล้วดูภูมิฐานมากทีเดียว

เขากำลังนั่งสบาย สองมือวางบนพุง ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นดิฉัน เบื้องหลังของเขาเป็นประตูแบบเดียวกับห้องดิฉัน แต่มันมืดสนิท ภายในไม่ได้เปิดไฟเลยสักดวง แต่ดิฉันมองเห็นเขาได้จากแสงสลัวที่อยู่รอบๆ บริเวณคอนโดฯ

คุณพระช่วย! ดิฉันเกือบลืมแน่ะว่าห้องข้างๆน่ะ ที่ประตูมีแป้งเจิม แผ่นทองคำเปลว ผ้ายันต์และพวงมาลัย... แต่การที่ได้เห็นคุณลุงท่านนี้ก็ทำให้ดิฉันใจชื้นว่าห้องนี้มีคนอยู่

ดิฉันยังยืนอยู่ที่ระเบียงอีกสักพัก แม้จะไม่รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวเท่าใดนัก เพราะมีชายสูงอายุนั่งสงบนิ่งอยู่ที่ระเบียงติดๆกัน...แต่แล้วเสียงหัวเราะงอกลิ้งงอหายของลูกโบทำให้ดิฉันเหลียวไปดู...อ้าว ? ลูกนั่งคนเดียว แป้นลุกไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคุณแม่หลับสนิทอยู่บนโซฟา ดิฉันเดินไปหาลูกสาวที่หัวเราะอยู่อย่างไม่มีเหตุผล

"โบหัวเราะอะไรลูก?" ดิฉันถาม ลูกชี้มือไปที่ผนังห้อง แกค่อยๆ หยุดหัวเราะแล้วพูดอย่างไร้เดียงสา

"พี่คนนั้น...เขาเห็นแม่แล้วเขาก็กลับไปเลย..."

ดิฉันขนลุกซู่ ถามว่าโบเห็นใคร? ลูกโบเล่าว่ามีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากผนังห้องมาเล่นกับโบ เขาตลกมาก เอาผมมาปิดหน้าแล้วโยกตัวให้ดูด้วย

ชักไม่ชอบมาพากลซะแล้ว ดิฉันกลับไปชะโงกมองข้ามระเบียงไปที่ห้องนั้น...คุณลุงหายไปแล้ว เก้าอี้ก็ไม่มี ห้องนั้นดูจะปราศจากสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ!

คืนต่อมา คุณแม่เล่าว่าได้ยินเสียงปังใหญ่เหมือนมีมือยักษ์มาตบผนังห้องด้านที่ติดกับ ห้องนั้น มันดังจนห้องสะเทือน แต่ดิฉันกับลูกและแป้นไม่ยักตื่น...ตอนนั้นเป็นเวลาราวตีสอง

แป้นเองก็เช่นกัน ตอนกลางดึกลุกมาเข้าห้องน้ำ เธอได้ยินเสียงร้องเพลง!

ความลับถูกเปิดเผยเมื่อดิฉันไปถามคนงานที่มากวาดถูพื้นฟลอร์ที่ดิฉันอยู่ เธอเล่าซื่อๆว่า เจ้าของห้องซึ่งเป็นสุภาพบุรุษชราตายในห้องน้ำ ต่อมาไม่นานหลานสาวอายุสิบห้าก็ตายในห้องนี้เช่นกัน โดยไม่รู้สาเหตุ ทางญาติก็เลยนิมนต์พระมาทำบุญ และทำพิธีบางอย่างคล้ายเป็นการสะกดวิญญาณด้วย

ดิฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณยุทธฟังหรอกค่ะ เกรงใจ! เขาอุตส่าห์ให้เรามาอยู่ แต่ถ้ามาเที่ยวครั้งหน้า ดิฉันจะหาทางปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุดเชียวล่ะค่ะ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น