ถึงกับปล่อยโฮไม่หยุดกลางโรงพัก เพราะความหวาดกลัวและหวั่นผวา สำหรับอดีตนักปั้นดาราชื่อดัง "ชาย พงษ์ชยุตม์ ทวีศรีธนโชค" หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ชายแฮ็คส์” ที่เมื่อช่วงเย็นวันนี้ (28 ต.ค.) ได้วิ่งโร่ขึ้นแจ้งความกับกองปราบปราม หลังถูก "จ.ต.รัชต ปัทมาลัย" อดีตหุ้นส่วนยกพวกราว 20 คน ซึ่งอ้างว่าเป็นทหารของศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) มาข่มขู่ปิดล้อมบริษัท “เก้าสตาร์ กรุ๊ป” ที่ตั้งอยู่ในซ.ลาดพร้าว 101 ทำให้ตนเองและพนักงานบริษัทไม่สามารถเข้าไปทำงานได้
โดย “ชายแฮ็คส์” ได้เล่ารายละเอียดพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้าอยู่ตลอดเวลาว่า ตนได้ร่วมทำธุรกิจช่องเคเบิ้ลเปิดบริษัทเอเชีย ดิจิตอล เทเลวิชั่น กับจ.ต.รัชต แต่พอมีปัญหากันเกิดหนี้สิน 1 ล้านบาท ตนเลยเทคโอเวอร์บริษัทและขอรับจ่ายหนี้เอง โดยได้มีการทำสัญญาตกลงกันเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นตนได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เอเชีย ทีวีเอฟ จำกัด พร้อมมีพาร์ทเนอร์ใหม่ ทำช่องเคเบิ้ลออกอากาศทาง AFTV ต่อมาเมื่อมีปัญหาอีกตนเลยขอแยกออกมาทำคนเดียว โดยรับจ่ายหนี้เก่า 1 ล้านบาทเอง และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่อีกครั้งเป็น เก้าสตาร์ กรุ๊ป ซึ่งทุกอย่างกำลังดำเนินมาได้ด้วยดี มีการเซ็นสัญญาจะได้ยิงสัญญาณออกอากาศช่องเนชั่น ทางช่อง TCNN เปลี่ยนจากระบบเคยู แบนด์ มาเป็น ซี แบนด์ ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ แต่ตนกลับถูกจ.ต.รัชต ยกพวกมาข่มขู่จะยึดสถานีคืน โดยอ้างชำระหนี้ที่ค้าง 1 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว
"เรื่องของบริษัทตอนแรกมันคือบริษัทเอเชีย ดิจิตอล เทเลวิชั่นแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเอเชีย ทีวีเอฟ จำกัด ออกอากาศทางช่อง AFTV แต่พอเราจดทะเบียนเสร็จเจ้าหน้าที่บอกว่า เราประกอบธุรกิจไม่ได้เป็นไปตามเป้า ธุรกิจมันประสบปัญหาขาดทุนจากคนเก่า เราก็เลยบอกเขาว่าถ้าอย่างนั้นเราขอแยกออกมา เราจะเทคโอเวอร์ขอออกค่าใช้จ่ายเอง และจ่ายหนี้เอง เราจะค่อยๆ ผ่อนชำระหนี้ไป ซึ่งตอนเทคโอเวอร์เราก็มีการทำสัญญากันในวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา เราตกลงร่วมกันว่า เราจะค่อยๆ ผ่อนชำระหนี้ 1 ล้านบาท และพอเราเทคโอเวอร์มาทำเองเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เก้าสตาร์ กรุ๊ป เขา (จ.ต.รัชต) ก็คอยติดตามและมาบีบ พอเขามาบีบแบบนี้ก็สงสารน้องๆ ทีมงาน"
"ซึ่งพอเราแยกออกมา เราก็มาทำทุกอย่างเองอย่างดี ตกแต่งใหม่ ช่วง 3-4 เดือนที่เราไปทำเองมันก็ยังไม่ได้กำไรอะไรมากมาย เพราะเราก็รู้ว่าการทำธุรกิจมันคือการลงทุน เราเจ็บตัวด้วย จากนั้นทุกอย่างมันกำลังจะดี พอเข้าเดือนที่ 5 สัญญาณเราเริ่มจะไปยิงที่สัญญาณไทยคม AFTV แล้วที่สำคัญเขาบอกเราว่า ของเขาเป็นบริษัทมหาชน แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันเป็นแค่บริษัทจำกัดธรรมดา คือเราทำทุกอย่างทั้งไปหาเขา ไปขอต่อรองกับเขา และก็เซ็นสัญญาด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราพูดไปมันจะเกิดอะไรขึ้น พอทุกอย่างมันเริ่มดีเขากลับมาบอกว่า เขาไปใช้หนี้มาหมดแล้ว 1 ล้านบาท และสิ่งที่เราทำลงไปมันคืออะไร"
"ก็คือกิจการทั้งหมดเขาขอยึด เพราะเขาบอกว่ามันเป็นมูลค่าที่ได้จากการต่อยอดของเขา เราก็เลยบอกว่าขอบางส่วนเราออกมา ในส่วนที่เราได้ลงทุนไป เขาก็ไม่ให้ แล้วเขาก็มาสั่งให้พนักงานหยุด ปิดล้อมด้านหน้าหมด ก่อนหน้านั้นมันได้มีการถูกตัดสัญญาณ เราก็หาทางออกโดยไปคุยกับทาง AFTV และ TCNN ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่รู้เลยว่าผลประโยชน์ตรงนี้มันเกิดจากเรื่องอะไร เราทำทุกอย่างเองอย่างดี ตกแต่งใหม่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราพูดไปมันจะเกิดอะไรขึ้น"
เล่าเหตุการณ์ระทึกโดนคู่กรณีพาพวกมาข่มขู่และปิดล้อมสถานี ทำให้เข้าไปทำงานไม่ได้ อีกทั้งยังหวั่นอิทธิพลที่อีกฝ่ายขู่ว่าเป็นทหารของศอฉ.เลยต้องโร่มาแจ้งความที่กองปราบฯ
"แล้วประมาณตอนตี 2 เมื่อวานจ่าตรีพาพวกมา 5 คน มาที่บริษัทมาข่มขู่เราให้ออกจากบริษัท ออกจากสถานีไป เพราะเขาอ้างว่าไปจ่ายเงิน 1 ล้านไว้เรียบร้อยแล้ว เลยจะยึดสถานีคืน ซึ่งตอนแรกน้องที่บริษัทโทรมาตามให้เราไปออฟฟิศ แล้วก็มีคนประมาณ 5-6 คน พร้อมกับตัวการอีก 2 คนคือบุญลือ หาญลึก และ แสงจันทร์ พันธุ์พาณิชย์ มาบอกว่า ให้เราออกจากออฟฟิศ เพราะเราทำผิดกฎผิดสัญญา เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ทุกอย่างมันต้องมีที่มาที่ไป มันต้องมีหลักฐาน ทุกอย่างมันมีกฎหมาย ถ้าเราผิดก็ว่ากันที่ชั้นศาล ซึ่งก็ต้องต่อสู้ว่ากันไปด้วยกฎหมาย แต่ครั้งนี้เขามาโดยใช้กำลังและก็ข่มขู่ คือพูดคำเหมือนด่าทอ เลยทำให้เรากลัวเพราะว่าเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ เลยทำให้เราคุยกับที่ปรึกษาตอนดึกมาก"
"พอรุ่งเช้าไปดูที่ออฟฟิศ เขาก็เอาพวกมาอีกเพิ่มมาเป็นประมาณ 20 คน เข้าปิดล้อมออฟฟิศจนเราไม่สามารถที่จะเข้าไปทำงาน หรือทำการใดๆ ได้ แล้วเราก็โดนรังแก จริงๆ แล้วเหมือนเราโดนมาตลอด แต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจ มันน่าจะสามารถคุยกันได้หมด โดยเขาบอกว่าเราโกงเขา แต่ทีนี้เขาบอกว่าเราโกง มันก็ต้องมีหลักฐาน แล้วเราก็ต้องว่ากันไปตามชั้นศาล แต่เมื่อมันมาเป็นแบบนี้เราก็เลยตัดสินใจที่จะมาแจ้งความกับตำรวจ คือถ้าเราผิดเราโกงเขา มันก็ต้องว่ากันไปตามผิด ไม่ใช่ว่าจะมาข่มขู่มากดดันแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่เขาทำกับเรามันเหมือนว่า ของที่อยู่ในบริษัทมันไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียว"
"ก็ถ้าทำกับเราแบบนี้แล้วเราจะเหลืออะไร และเขาก็ข่มขู่ว่าเขาเป็นนักการเมือง คือตอนนี้กลัวมาก กลัวเรื่องความปลอดภัย ก็เดี๋ยวคงต้องขอกำลัง ตอนแรกเราได้ไปแจ้งความไว้ก่อนแล้วที่สน.ลาดพร้าว ทางตำรวจได้เรียกมาไกล่เกลี่ยกันแล้ว โดยตำรวจบอกเลยว่าไม่ให้เขามายึดคืนได้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมออก แถมยังเอาคนมาเพิ่มอีกประมาณ 20 คนเมื่อตอน 6 โมงเช้า ทำให้เราไม่สามารถไปทำสถานีได้ และหนึ่งในนั้นก็อ้างว่าเป็นทหารของศอฉ. เราเลยกลัวเรื่องอิทธิพล เลยมาแจ้งความที่นี่ไว้น่าจะปลอดภัยกว่า"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น