วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย
มนุษย์ และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ
1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก
เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?
ดวง วิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่
วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด
หลัง จากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ
เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น
เจ็ดวันรอบแรก
วิญญาณ ผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรม ดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่ สอง
เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่ สาม
เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด
เจ็ดวันรอบที่ สี่
เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์
เจ็ดวันรอบที่ ห้า
วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์
เจ็ดวันรอบที่ หก
เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้า??ี่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา
เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด
เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.
ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้และบอกต่อด้วยครับ
1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก
เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?
ดวง วิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่
วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด
หลัง จากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ
เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น
เจ็ดวันรอบแรก
วิญญาณ ผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรม ดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่ สอง
เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย
เจ็ดวันรอบที่ สาม
เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว
ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด
เจ็ดวันรอบที่ สี่
เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์
เจ็ดวันรอบที่ ห้า
วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์
เจ็ดวันรอบที่ หก
เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้า??ี่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา
เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด
เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.
ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้และบอกต่อด้วยครับ
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วิญญาณผีตายโหง
ลุงแบนมีอาชีพทำนา พอถึงหน้าทำนาแกจะต้องไปนอนอยู่ที่นาจนกว่าจะเสร็จงาน ฤดูเก็บเกี่ยวก็จะไปนอนเฝ้าอีก ที่จริงลุงแบนก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวมีลูกเมียซึ่งในเวลาทำนาก็จะไปช่วยบ้างแต่จะไม่นอนเฝ้าที่กระท่อมท้ายนา
ปลายปี 2528 ครูน้อยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ในฐานะที่เป็นคนรู้จักคุ้นเคยกันในวงเหล้ามาก่อน ลุงแบนก็ไปร่วมงานศพครูน้อยด้วย พอถึงเวลาวางดอกไม้จันทน์ด้วยฤทธิ์เหล้าลุงแบนก็เคาะโลงพร้อมเอ่ยว่า “ครู ถ้าต้องการน้ำพรรค์นั้นก็ไปหาผมเด้อ!”
เย็นวันนั้นลุงแบนต้องไปนอนเฝ้าที่นา ระหว่างเดินทางไปกระท่อมนาได้ยินแต่เสียงตัวเองเดินเตะหินลูกรังและเสียงจักรยานเก่าคันที่แกจูงอยู่ในมือซึ่งขี่ไม่ไหวเพราะฤทธิ์เหล้า ปากก็พูดบ่นไปตามประสาคนเมา พอใกล้จะถึงกระท่อมหูก็ได้ยินเสียงหมาหอนมาจากทิศที่กระท่อมตั้งอยู่ เดินไปอีกสักพักถึงกระท่อม เอาจักรยานพิงเสากระท่อมแล้วก็ขึ้นนอน เสียงหมาหอนยังคงดังมาเป็นระยะ พอล้มตัวลงนอนได้สักพัก เสียงหมาหอนก็ดังใกล้เข้ามาและดังขึ้นเรื่อยๆ ความเงียบบวกกับเสียงหมาหอนอย่างเยือกเย็ยทำให้ลุงแบนนอนไม่หลับ ฉับพลันนั้น นกแสกตัวหนึ่งก็โฉบมาบนหลังคาพร้อมร้อง “แก๊ก...” ลุงแบนสะดุ้งสุดตัวเริ่มใจไม่ดี
ขณะที่หมาและนกแสกส่งเสียงมาเป็นระยะนั้น หูก็พลันได้ยินเสียงคนมาเรียกอยู่ปากทางเข้ากระท่อม “ลุง...ลุง...ลุง” ลุงแบนได้ยินเสียงคนก็ใจชื้น เออ-มีคนมาเป็นเพื่อนไม่โดดเดี่ยวแล้ว แกคว้าไฟฉายออกมาหน้ากระท่อมแต่ส่องดูพบแต่ความว่างเปล่า “ใคร” แกร้องถาม พลันมีเสียงมาจากต้นรังข้างทาง “ผมอยู่นี่ลุง” ลุงแบนสะดุ้งเฮือก แกจำได้ว่าเป็นเสียงครูน้อย ลุงแบนแข็งใจฉายไฟไปที่นั่นแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อภาพที่เห็นอยู่นั้นคือครูน้อยยืนพิงต้นรัง คอเอียงไปทางขวา เลือดและสมองไหลย้อย มีเสียงจากร่างครูน้อยอีกว่า “อยากกินเหล้า” ลุงแบนอุทานได้คำเดียวว่า “ผีหลอก” แล้วออกวิ่งมาที่บ้าน ปากก็ตะโกนเรียกใครต่อใครลั่น แล้ววิ่งขึ้นไปบนบ้านของนายเริญ ซึ่งเป็นบ้านหลังแรกที่เห็น ปากก็ยังร้องไม่หยุด “มันตามมาแล้ว ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” เจ้าของบ้านตกใจตื่นออกมาดูเห็นลุงแบนยืนตัวสั่น ตะโกนลั่นบ้าน “มันมาแล้ว...ผีหลอก...ช่วยด้วย” ตะโกนได้สองสามครั้งลุงแบนก็สิ้นสติ
ตั้งแต่วันนั้นลุงแบนไม่เคยค้างที่กระท่อมแห่งนั้นอีกเลย แกบอก “เข็ดจนตาย”
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เปรตวัดร้าง
ปลายเดือนมกราคม พวกเราไปเข้าค่ายลูกเสือที่บริเวณวัดร้างใกล้อ่างเก็บน้ำซับประดู่ อำเภอสีคิ้ว เป็นเวลา 2 คืน 3 วัน แต่ผ่านไปเพียงคืนเดียวเท่านั้น พวกเราก็ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้เก็บของกลับบ้านพวกเราทุกคนต่างงงกัน แล้วก็หายสงสัยหลังจากกลับจากค่ายพักแรม
บริเวณวัดร้างที่เป็นที่ตั้งค่ายพักแรม ชาวบ้านแถวนั้นเล่าลือกันว่าผีดุมาก...ดูขนาดไหนน่ะหรือ....ขนาดที่ว่าก่อนหน้านี้มีพระมาจำพรรษาอยู่แต่ว่าอยู่ได้ไม่นานก็ย้ายไปอยู่วัดอื่นกันหมด ชาวบ้านต้องไปนิมนต์พระจากที่อื่นมาอยู่ แต่กี่รุ่นกี่รุ่นก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าผีดุมาก ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นวัดร้าง
เวลากลางคืน บริเวณวัดร้างจะเงียบและวังเวงมาก บรรยากาศน่ากลัว บางทีหมาก็เห่าหอนโดยไม่ทราบสาเหตุคลอดคืน ฟังแล้วโหยหวนมาก ไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องผีที่วัดร้าง พวกอาจารย์ก็รู้แต่ไม่ได้เอาใจใส่และไม่เชื่อเรื่องผีสางด้วย แม้ชาวบ้านจะทักท้วงอย่างไรก็ตาม
กิจกรรมในคืนแรกที่พักแรมเป็นการผจญภัยตามฐานต่างๆ กว่าจะเสร็จและอาบน้ำเข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน โดยต้องมีคนที่ทำหน้าที่อยู่เวรด้วย เวลาตีสองกว่าหนิงรู้สึกปวดฉี่จึงปลุกหน่อยกับน้อยให้ไปเป็นเพื่อน เมื่อหนิงเข้าห้องน้ำ หน่อยกับน้อยก็ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ สักพักก็มีเสียง วี้ด...วี้ด...วี้ด เป็นเสียงแหลมเล็ก “น้อยได้ยินเสียงอะไรไหม” น้อยพยักหน้ารับ “เสียงลมมั้ง” หน่อยตั้งใจฟังและแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงลมเพราะบริเวณนั้นอากาศนิ่งสนิท แต่เสียงวี้ดๆ ยังดังระคายหูอยู่ และเริ่มสังเกตว่าเสียงดังมาจากข้างบน หน่อยจึงใช้ไฟฉายส่องกราดไปบนท้องฟ้าเพื่อหาที่มาของเสียงแล้วก็ได้พบ “เฮ้ย” เงาดำๆ ยาวๆ สูงลิบลิ่วสามหรือสี่เงาก็ไม่แน่นัก บางร่างก็มีหูใหญ่ราวกับหูช้าง ตาพองโต จมูกบาน บางร่างยกมือใหญ่ราวกระด้งโบกไปมาโยกเอนไปมาพร้อมกับเสียงดังวี้ดๆ “กรี๊ด” หน่อยกรีดร้องสุดเสียง ก่อนจะคว้ามือน้อยวิ่งไปโดยไม่ดูทิศทาง พวกที่อยู่เวรยามรวมทั้งอาจารย์ต่างตกใจที่ได้ยินเสียงร้องกรี๊ด และเห็นหน่อยกับน้อยวิ่งหนีอะไรมาอย่างขวัญเสีย กว่าอาจารย์จะปลอบหน่อยกับน้อยให้หยุดร้องไห้หายหวาดกลัวและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็ใช้เวลานานโข แน่ละอาจารย์ไม่เชื่อแต่ก็นึกขึ้นได้จึงถามขึ้น “แล้วหนิงล่ะ” พวกอาจารย์จึงกรูกันไปที่ห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้พบหนิงก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้หน่อยกับน้อยหวาดกลัวจนขวัญผวา พวกเขากำลังเผชิญกับเปรตวัดร้าง อาจารย์คนหนึ่งจะด้วยความตกใจหรืออย่างไรไม่ทราบได้จึงยิงปืนขึ้นฟ้าสามนัดซ้อน ร่างที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นจึงหายไป หนิงรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมา เธอยังตกใจและหวาดกลัวอยู่ เธอบอกว่าเธอได้ยินเสียงวี้ดๆ อยู่ตลอดเวลาและได้ยินเพื่อนร้องกรี๊ดพร้อมกับเสียงวิ่งหนีไป เธอจึงไม่กล้าออกมาจากห้องน้ำ แม้เมื่อออกมาแล้วก็ยังไม่มีใครยอมเล่าอะไรให้เธอฟัง เพราะเกรงว่าเธอจะตกใจมากกว่าที่เป็นอยู่
เมื่อกลับจากการเข้าค่าย พวกที่ได้เห็นเปรตวัดร้างได้พากันไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ เท่านั้นไม่พอต้องทำพิธีบายศรีเรียกขวัญอีต่างหาก
บริเวณวัดร้างที่เป็นที่ตั้งค่ายพักแรม ชาวบ้านแถวนั้นเล่าลือกันว่าผีดุมาก...ดูขนาดไหนน่ะหรือ....ขนาดที่ว่าก่อนหน้านี้มีพระมาจำพรรษาอยู่แต่ว่าอยู่ได้ไม่นานก็ย้ายไปอยู่วัดอื่นกันหมด ชาวบ้านต้องไปนิมนต์พระจากที่อื่นมาอยู่ แต่กี่รุ่นกี่รุ่นก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าผีดุมาก ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นวัดร้าง
เวลากลางคืน บริเวณวัดร้างจะเงียบและวังเวงมาก บรรยากาศน่ากลัว บางทีหมาก็เห่าหอนโดยไม่ทราบสาเหตุคลอดคืน ฟังแล้วโหยหวนมาก ไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องผีที่วัดร้าง พวกอาจารย์ก็รู้แต่ไม่ได้เอาใจใส่และไม่เชื่อเรื่องผีสางด้วย แม้ชาวบ้านจะทักท้วงอย่างไรก็ตาม
กิจกรรมในคืนแรกที่พักแรมเป็นการผจญภัยตามฐานต่างๆ กว่าจะเสร็จและอาบน้ำเข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน โดยต้องมีคนที่ทำหน้าที่อยู่เวรด้วย เวลาตีสองกว่าหนิงรู้สึกปวดฉี่จึงปลุกหน่อยกับน้อยให้ไปเป็นเพื่อน เมื่อหนิงเข้าห้องน้ำ หน่อยกับน้อยก็ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ สักพักก็มีเสียง วี้ด...วี้ด...วี้ด เป็นเสียงแหลมเล็ก “น้อยได้ยินเสียงอะไรไหม” น้อยพยักหน้ารับ “เสียงลมมั้ง” หน่อยตั้งใจฟังและแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงลมเพราะบริเวณนั้นอากาศนิ่งสนิท แต่เสียงวี้ดๆ ยังดังระคายหูอยู่ และเริ่มสังเกตว่าเสียงดังมาจากข้างบน หน่อยจึงใช้ไฟฉายส่องกราดไปบนท้องฟ้าเพื่อหาที่มาของเสียงแล้วก็ได้พบ “เฮ้ย” เงาดำๆ ยาวๆ สูงลิบลิ่วสามหรือสี่เงาก็ไม่แน่นัก บางร่างก็มีหูใหญ่ราวกับหูช้าง ตาพองโต จมูกบาน บางร่างยกมือใหญ่ราวกระด้งโบกไปมาโยกเอนไปมาพร้อมกับเสียงดังวี้ดๆ “กรี๊ด” หน่อยกรีดร้องสุดเสียง ก่อนจะคว้ามือน้อยวิ่งไปโดยไม่ดูทิศทาง พวกที่อยู่เวรยามรวมทั้งอาจารย์ต่างตกใจที่ได้ยินเสียงร้องกรี๊ด และเห็นหน่อยกับน้อยวิ่งหนีอะไรมาอย่างขวัญเสีย กว่าอาจารย์จะปลอบหน่อยกับน้อยให้หยุดร้องไห้หายหวาดกลัวและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็ใช้เวลานานโข แน่ละอาจารย์ไม่เชื่อแต่ก็นึกขึ้นได้จึงถามขึ้น “แล้วหนิงล่ะ” พวกอาจารย์จึงกรูกันไปที่ห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้พบหนิงก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้หน่อยกับน้อยหวาดกลัวจนขวัญผวา พวกเขากำลังเผชิญกับเปรตวัดร้าง อาจารย์คนหนึ่งจะด้วยความตกใจหรืออย่างไรไม่ทราบได้จึงยิงปืนขึ้นฟ้าสามนัดซ้อน ร่างที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นจึงหายไป หนิงรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมา เธอยังตกใจและหวาดกลัวอยู่ เธอบอกว่าเธอได้ยินเสียงวี้ดๆ อยู่ตลอดเวลาและได้ยินเพื่อนร้องกรี๊ดพร้อมกับเสียงวิ่งหนีไป เธอจึงไม่กล้าออกมาจากห้องน้ำ แม้เมื่อออกมาแล้วก็ยังไม่มีใครยอมเล่าอะไรให้เธอฟัง เพราะเกรงว่าเธอจะตกใจมากกว่าที่เป็นอยู่
เมื่อกลับจากการเข้าค่าย พวกที่ได้เห็นเปรตวัดร้างได้พากันไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ เท่านั้นไม่พอต้องทำพิธีบายศรีเรียกขวัญอีต่างหาก
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เรื่องของป้า
ในราวปี 2500 ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10-11 ขวบ ผมอาศัยอยู่กับย่าและป้าในต่างจังหวัด บ้านที่ผมอยู่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านลุงคนโตและลุงคนรองที่แยกครอบครัวจากย่าไปแล้ว บ้านทั้ง 3 หลังตั้งเรียงกันหันหน้าเข้าหาแม่น้ำใหญ่ เป็นสามหลังโดดๆ เราอยู่กันอย่างสงบเงียบ กลางวันก็ออกหาผักหาปลาไปตามเรื่อง กลางคืนก็พักหลับนอนกันแต่หัวค่ำ
ผมไม่ชอบเวลากลางคืนเลย ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาว ความเงียบสงัดบวกกับความหนาวทำให้บรรยากาศรอบบ้านดูวังเวงน่ากลัว หน้าหนาวปีนั้นป้าผมล้มเจ็บ มีอาการดวงตาแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ มองแต่ทางตรงไม่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างคนปกติทั่วไป ไม่ยอมพูดจา นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก คืนแรกผ่านไป อีกวันอาการก็เหมือนเดิม แต่ร่างกายและสีหน้าของป้าเริ่มซูบซีดหมองคล้ำ ทุกคนเริ่มปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี ในที่สุดก็ตกลงว่าจะพาป้าขึ้นเรือพายไปหาหมอ แต่ด้วยขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายกว่าจะพายเรือไปถึงก็จะมืดเอากลางทาง จึงคิดว่าจะออกเดินทางในเช้ามืดของอีกวัน และรอดูอาการป้าด้วย
และในคืนนั้น...ก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น มันเป็นภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวจนทำให้ขนลุกขนพองได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาผม บ้านของย่าปลูกแบบไม่ได้กั้นห้อง คืนนั้นเรานอนเรียงกัน 3 คนมีผม ย่า และป้าซึ่งเป็นคนป่วย ส่วนลุงคนโตก็มานอนเป็นเพื่อนพวกเราที่นอกชานหน้าบันได ผมหลับตั้งแต่หัวค่ำ มารู้สึกตัวอีกทีก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรแล้ว เท่าที่รู้ในเวลานั้นมันดึกมากและเงียบสงัด ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นหญิงชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นไว้ผมยาวเป็นกระเซิง ใบหน้าอันน่าเกลียดน่าสะพรึงกลัวนั้น มีดวงตาที่แข็งกร้าวลุกโพลง ยายแก่คนนี้นั่งคร่อมอยู่บนอกป้าผม ตัวผมชาขยับไม่ได้ มือซ้ายผมยังกำอยู่ที่ต้นแขนขวาของย่าที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างผม พร้อมกับที่ยายแก่แลบลิ้นที่ยื่นยาวออกมาเลียหน้าของป้า แล้วผมก็หมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีเห็นผู้ใหญ่หลายคนมาห้อมล้อมรอบตัวผม หูผมยังได้ยินเสียงร้องไห้จากผู้ใหญ่บางคน แล้วผมก็เกิดความกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลุงกระซิบว่า “ป้าเอ็งตายแล้ว”
ผมไม่ชอบเวลากลางคืนเลย ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาว ความเงียบสงัดบวกกับความหนาวทำให้บรรยากาศรอบบ้านดูวังเวงน่ากลัว หน้าหนาวปีนั้นป้าผมล้มเจ็บ มีอาการดวงตาแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ มองแต่ทางตรงไม่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างคนปกติทั่วไป ไม่ยอมพูดจา นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก คืนแรกผ่านไป อีกวันอาการก็เหมือนเดิม แต่ร่างกายและสีหน้าของป้าเริ่มซูบซีดหมองคล้ำ ทุกคนเริ่มปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี ในที่สุดก็ตกลงว่าจะพาป้าขึ้นเรือพายไปหาหมอ แต่ด้วยขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายกว่าจะพายเรือไปถึงก็จะมืดเอากลางทาง จึงคิดว่าจะออกเดินทางในเช้ามืดของอีกวัน และรอดูอาการป้าด้วย
และในคืนนั้น...ก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น มันเป็นภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวจนทำให้ขนลุกขนพองได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาผม บ้านของย่าปลูกแบบไม่ได้กั้นห้อง คืนนั้นเรานอนเรียงกัน 3 คนมีผม ย่า และป้าซึ่งเป็นคนป่วย ส่วนลุงคนโตก็มานอนเป็นเพื่อนพวกเราที่นอกชานหน้าบันได ผมหลับตั้งแต่หัวค่ำ มารู้สึกตัวอีกทีก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรแล้ว เท่าที่รู้ในเวลานั้นมันดึกมากและเงียบสงัด ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นหญิงชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นไว้ผมยาวเป็นกระเซิง ใบหน้าอันน่าเกลียดน่าสะพรึงกลัวนั้น มีดวงตาที่แข็งกร้าวลุกโพลง ยายแก่คนนี้นั่งคร่อมอยู่บนอกป้าผม ตัวผมชาขยับไม่ได้ มือซ้ายผมยังกำอยู่ที่ต้นแขนขวาของย่าที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างผม พร้อมกับที่ยายแก่แลบลิ้นที่ยื่นยาวออกมาเลียหน้าของป้า แล้วผมก็หมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีเห็นผู้ใหญ่หลายคนมาห้อมล้อมรอบตัวผม หูผมยังได้ยินเสียงร้องไห้จากผู้ใหญ่บางคน แล้วผมก็เกิดความกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลุงกระซิบว่า “ป้าเอ็งตายแล้ว”
วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
รถอาถรรพณ์
รถปิกอัพที่ลุงกับป้าซื้อมาใช้เป็นรถยี่ห้อดังสีขาว เมื่อแรกๆ ที่ซื้อมานั้นยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่พอใช้ไปได้ซักประมาณปีกว่า ก็เริ่มมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น คือขณะที่รถจอดอยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังโหยหวนมาจากรถคันนี้โดยหาที่มาไม่ได้ว่ามาจากจุดไหนในตัวรถ เสียงนั้นดังเหมือนหวูดรถไฟแต่โหยหวนและลากยาวกว่า
ครั้งแรกที่มีเสียงป้ากับน้องชายมองหน้ากันและใช้คำพูดทักในทางที่ดี คือบอกว่ารถคงให้ลาภจะถูกหวย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร จนทั้งคู่เดินทางจากบ้านสวนมาบ้านใหญ่ เจ้ารถคันนี้เริ่มแสดงฤทธิ์เป็นครั้งแรกด้วยการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเล็กน้อย แต่ทั้งคู่ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทิ้งช่วงมาหลายเดือนรถคันนี้ก็เกิดเหตุชนอีก และหลังจากนั้นก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้นอีก 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะเกิดอุบัติเหตุตามมารุนแรงมากขึ้นทุกที และระยะเวลาที่มีเสียงดังมาจากรถก็เริ่มห่างกันน้อยลง และครั้งสุดท้ายนี่แหละที่รุนแรงจนลุงกับป้าสุดจะทน วันนั้นช่วงเย็นตะวันยังไม่ตกดิน ป้ากับลูกชายกำลังทานข้าวเย็นก่อนจะเดินทางกลับบ้านใหญ่ จู่ๆ รถปีศาจคันนี้ก็ส่งเสียงร้องโหยหวน ป้ากับลูกชายมองหน้ากันและพูดปลอบใจกันเองว่าไม่มีอะไรหรอกมั้ง พอทานข้าวเสร็จก็ออกเดินทาง
ขณะที่ลูกชายของป้าขับรถมาอย่างระมัดระวังเต็มที่เพราะได้เกิดลางสังหรณ์จากเสียงปีศาจนั่นแล้ว แต่เมื่อรถแล่นมาถนนถึงช่วงที่มีทางแยก ก็มีรถสิบล้อบรรทุกอ้อยมาเต็มคันพุ่งออกมาจากทางแยกชนเข้าด้านคนที่นั่งโดยสารคือป้า และครูดยาวไปทางกระบะท้าย เดชะบุญไม่มีใครเป็นอะไร ส่วนรถสิบล้อขับหนีไป
พอสี่ทุ่มเศษ ทั้งสองคนก็กลับมาถึงบ้านด้วยรถปีศาจคันนั้น พวกเราทุกคนลุกไปดูสภาพรถ ปรากฏว่าประตูด้านซ้ายปิดได้ไม่สนิทเพราะบุบเข้าไปเยอะรอยบุบยาวไปถึงกระบะหลังซึ่งฉีกออกจากส่วนหน้าพอสมควร พอดูสภาพรถเสร็จก็กลับมานั่งคุยกัน ลุงกับป้าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมีเสียงประหลาดให้ฟัง พวกเรานั่งปรึกษากันว่าจะทำยังไงกับรถคันนี้ เตี่ยของฉันบอกเสียงเด็ดขาดว่าให้ขายทิ้งไป เพราะวันหนึ่งอาจเกิดเหตุถึงเสียชีวิตก็ได้ พอเตี่ยพูดจบ เจ้ารถอาถรรพณ์คันนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนทันที ทั้งที่เพิ่งจะส่งเสียงไปเมื่อตอนเย็น พวกเราทุกคนขนลุกเกรียวและลุกไปมาที่มาของเสียง เสียงร้องครั้งนี้ป้าบอกว่าดังนานที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เตี่ยกับลุงยืนอยู่ตรงประตูข้างซ้ายที่ปิดไม่สนิท เตี่ยของฉันเปิดประตูออกดู และเราสามคนยืนวิจารณ์รถคันนี้อยู่ พอคุยกันจบลุงก็กระแทกประตูปิดเข้าไปโดยแรงทันที โดยที่มองไม่เห็นว่ามือของเตี่ยจับอยู่ที่ขอบประตูรถ เตี่ยร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ผลคือมือของเตี่ยถูกประตูงับเข้าเต็มแรงสี่นิ้วบวมขึ้นมาทันตาเห็นและกำมือไม่ได้นานนับอาทิตย์ทีเดียว
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ลุงกับป้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องขายรถคันนี้ให้เร็วที่สุดโดยไม่ขับไปไหนอีก อ้อ ลืมบอกไป รถคันนี้เป็นป้ายแดงค่ะ ไม่ใช่รถมือสองด้วย
ครั้งแรกที่มีเสียงป้ากับน้องชายมองหน้ากันและใช้คำพูดทักในทางที่ดี คือบอกว่ารถคงให้ลาภจะถูกหวย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร จนทั้งคู่เดินทางจากบ้านสวนมาบ้านใหญ่ เจ้ารถคันนี้เริ่มแสดงฤทธิ์เป็นครั้งแรกด้วยการเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเล็กน้อย แต่ทั้งคู่ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นทิ้งช่วงมาหลายเดือนรถคันนี้ก็เกิดเหตุชนอีก และหลังจากนั้นก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้นอีก 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะเกิดอุบัติเหตุตามมารุนแรงมากขึ้นทุกที และระยะเวลาที่มีเสียงดังมาจากรถก็เริ่มห่างกันน้อยลง และครั้งสุดท้ายนี่แหละที่รุนแรงจนลุงกับป้าสุดจะทน วันนั้นช่วงเย็นตะวันยังไม่ตกดิน ป้ากับลูกชายกำลังทานข้าวเย็นก่อนจะเดินทางกลับบ้านใหญ่ จู่ๆ รถปีศาจคันนี้ก็ส่งเสียงร้องโหยหวน ป้ากับลูกชายมองหน้ากันและพูดปลอบใจกันเองว่าไม่มีอะไรหรอกมั้ง พอทานข้าวเสร็จก็ออกเดินทาง
ขณะที่ลูกชายของป้าขับรถมาอย่างระมัดระวังเต็มที่เพราะได้เกิดลางสังหรณ์จากเสียงปีศาจนั่นแล้ว แต่เมื่อรถแล่นมาถนนถึงช่วงที่มีทางแยก ก็มีรถสิบล้อบรรทุกอ้อยมาเต็มคันพุ่งออกมาจากทางแยกชนเข้าด้านคนที่นั่งโดยสารคือป้า และครูดยาวไปทางกระบะท้าย เดชะบุญไม่มีใครเป็นอะไร ส่วนรถสิบล้อขับหนีไป
พอสี่ทุ่มเศษ ทั้งสองคนก็กลับมาถึงบ้านด้วยรถปีศาจคันนั้น พวกเราทุกคนลุกไปดูสภาพรถ ปรากฏว่าประตูด้านซ้ายปิดได้ไม่สนิทเพราะบุบเข้าไปเยอะรอยบุบยาวไปถึงกระบะหลังซึ่งฉีกออกจากส่วนหน้าพอสมควร พอดูสภาพรถเสร็จก็กลับมานั่งคุยกัน ลุงกับป้าเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมีเสียงประหลาดให้ฟัง พวกเรานั่งปรึกษากันว่าจะทำยังไงกับรถคันนี้ เตี่ยของฉันบอกเสียงเด็ดขาดว่าให้ขายทิ้งไป เพราะวันหนึ่งอาจเกิดเหตุถึงเสียชีวิตก็ได้ พอเตี่ยพูดจบ เจ้ารถอาถรรพณ์คันนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนทันที ทั้งที่เพิ่งจะส่งเสียงไปเมื่อตอนเย็น พวกเราทุกคนขนลุกเกรียวและลุกไปมาที่มาของเสียง เสียงร้องครั้งนี้ป้าบอกว่าดังนานที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เตี่ยกับลุงยืนอยู่ตรงประตูข้างซ้ายที่ปิดไม่สนิท เตี่ยของฉันเปิดประตูออกดู และเราสามคนยืนวิจารณ์รถคันนี้อยู่ พอคุยกันจบลุงก็กระแทกประตูปิดเข้าไปโดยแรงทันที โดยที่มองไม่เห็นว่ามือของเตี่ยจับอยู่ที่ขอบประตูรถ เตี่ยร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ผลคือมือของเตี่ยถูกประตูงับเข้าเต็มแรงสี่นิ้วบวมขึ้นมาทันตาเห็นและกำมือไม่ได้นานนับอาทิตย์ทีเดียว
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ลุงกับป้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องขายรถคันนี้ให้เร็วที่สุดโดยไม่ขับไปไหนอีก อ้อ ลืมบอกไป รถคันนี้เป็นป้ายแดงค่ะ ไม่ใช่รถมือสองด้วย
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เสือสมิงที่โป่งหนองหลวง
พรานเจือเป็นพรานรุ่นหนุ่มถือสายเลือดมาจากตระกูลพรานโดยตรง พรานเหล่านี้จะเชื่อถือโชคลางมาก เช่น ถ้าฝันว่าได้หลับนอนกับหญิงสาวจะถือว่ามีลาภอันสูงสุด ทันทีที่ตื่นจากฝันเขาจะคว้าปืนเข้าป่าทันที หรือถ้าภรรยากำลังตั้งครรภ์(มีท้องใกล้จะคลอด) การตระเวนไพรจะมีโชคทุกครั้งที่ออกป่า พรานเจือก็อยู่ในสภาพข้อนี้ คือเมียท้องแก่ใกล้จะคลอดเต็มที พรานเจือจึงขยันออกป่า ซึ่งก็โชคดีได้เนื้อสัตว์มาเป็นอาหารเป็นเสบียงอยู่ในขั้นดีมาก
โป่งนั้นชื่อ “โป่งหนองหลวง” ห่างจากบ้านพรานเจือเป็นระยะทางเดินประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นโป่งเก่าแก่ที่พรานหลายรุ่นร่ำลือถึงเสือเข้าโป่งอย่างชุกชุมมาก
คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้น 5 ค่ำ พรานเจือนั่งสงบนิ่งอยู่บนห้างยิงสัตว์ ด้วยความสงบเงียบของป่าทำให้พรานเจือคิดถึงเมียที่กำลังตั้งท้อง พลันในความเงียบเสียงผิดปกติในราวป่าก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงกู่ก้องเรียกหา พรานเจือชะเง้อคอมองอย่างแปลกใจ เพราะในป่าไม่มีบ้านผู้คนเลย พรานเจือนิ่งฟังอย่างสงบ เมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นไอ้ปลิวเพื่อนของเขานั่นเอง “เจือโว้ย...วู้” พรานเจือรีบตอบรับ “อยู่นี่เว้ย” และรู้สึกเป็นห่วงเมียที่ท้องแก่ ตอนนั้นป่าทั้งป่าเงียบสงัดไม่มีศัพท์สำเนียงใดเลย ขณะเดียวกันร่างล่ำสันในชุดผ้าสีดำก็โผล่จากชายป่ามายืนกลางแสงจันทร์ แล้วร้องบอกกับพรานเจือว่า “เฮ้ย เจือ เมียมึงไม่ยอมคลอด กูมานี่ก็สลบไปหลายครั้ง กลับไปดูมันหน่อยโว้ย ยายปานหมอตำแยทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ” พรานเจือใจหายวาบ มือไม้สั่นคว้าย่ามหยิบปืนลงจากห้าง ความห่วงใยเมียทำให้ลืมกฎของป่าเสียสิ้น พรานเจือไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่า ทำไมไอ้ปลิวจึงดั้นด้นมาบอกเพียงลำพังคนเดียว ป่าเปลี่ยวอย่างนี้ก็ต้อง 3-4 คน จุดคบตามไฟสว่างโร่ ปืนในมือคนละกระบอก
ทันทีที่พรานเจือลงมาถึงพื้น ไอ้ปลิวก็บอก “เจือ มึงเดินไปก่อน กูปวดฉี่ว่ะ” เสียงนั้นพูดอู้อี้เหมือนคนหวัดลงคอ พรานเจือก็ยังไม่สงสัย ไม่พูดไม่จา เดินก้าวสวบๆ ไป พรานป่าทุกคนรู้ดีว่าเดือนตอนจะลับดอยนั้นสัตว์จะออกหากิน
“หนามตำกูว่ะ รอมั่ง” ไอ้ปลิวตะโกนบอก เสียงอู้อี้ของไอ้ปลิวทำให้พรานเจือชะลอฝีเท้าลงเดินตามติดๆ กัน ห่างแค่ 2 ศอก อาจจะเป็นเพราะชะตาพรานเจือยังไม่ถึงฆาต ทันทีที่ไอ้ปลิวเข้ามาใกล้ จมูกของคนเป็นพรานก็กระสากกลิ่นฉุนเข้าจมูกฉุนกึก ประสาทพรานเจือหยุดชะงักเหมือนถูกกระตุก ขนลุกซู่ เย็นสันหลังวาบ ในจิตนั้นแว่วเสียงพรานใหญ่ผู้เป็นพ่อเคยพร่ำสอนเสมอตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตว่า “ไอ้เจือ ตอนเมียมึงท้องแก่ มึงอย่าไปนั่งห้างในป่านะ โป่งทุกโป่งเป็นที่ตายของสัตว์ร้อยแปด จงจำไว้ผีโป่งจะแปลงร่างเป็นคนก็ได้-สัตว์ก็ได้ มันจะหลอกมึงลงจากห้างจับมึงกิน อย่าลืมคำกูล่ะ” พรานเจือลืมคำพ่อพรานใหญ่เสียสนิทในตอนนั้น มาบัดนี้กลิ่นสางๆ ทำให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ความรู้สึกที่ไอ้ปลิวเดินตามหลังมานั้นผิดปกติ ประสาทไวเท่าความคิด พรานเจือกระโดดเข้าข้างทาง หันมาบอกไอ้ปลิว “งูว่ะ กูเหยียบมันเข้าเต็มเปาเลย มึงขึ้นหน้าเถอะ” ไอ้ปลิวหัวร่อ มันเดินนำหน้า พรานเจือเดินตามห่างๆ เพื่อทิ้งช่วง ตาจับอยู่ที่ร่างไอ้ปลิว ปากก็พร่ำคาถาสะกดผีโป่ง
พรานป่าเชื่อว่าการยิงปีศาจต้องสะกดให้อยู่จึงจะสังหารมันได้ พรานรุ่นเก่าบอกว่าสมิงในร่างมนุษย์จะเริ่มที่ขาก่อนหากลายเสือปรากฏก็ให้ยิงทันที แต่ตอนนี้ดูลำบากมาก เพราะแสงสว่างไม่พอ แต่พอเงยสายตาจับอยู่ที่กลางหลังลงมาก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าเอวด้านหลังของไอ้ปลิวห้อยลงลักษณะเหมือนหางเสือยาวออกมาทีละน้อยๆ สิ่งนี้เองทำให้พรานเจือแน่ใจว่าเป็นเสือสมิงแปลง จึงสวดคาถากำกับอีกครั้งหนึ่งแล้วปากลำกล้องปืนก็ถูกยกเล็งไปที่ท้ายทอยไอ้ปลิวตัวปลอม เปรี้ยง! เสียงปืนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ภาพที่เห็นคือเสือลายพาดกลอนตัวมหึมาดิ้นตีแปลงโครมคราม “ไปที่ชอบเถอะมึง” พรานเจือกัดกรามพูดเบาๆ แล้วรีบบุกป่ากลับบ้าน
ทันทีที่ถึงบ้านก็ได้พบกับเมียท้องแก่ซึ่งเป็นปกติดี ยังความโล่งอกให้แก่พรานเจือเป็นอย่างมาก
โป่งนั้นชื่อ “โป่งหนองหลวง” ห่างจากบ้านพรานเจือเป็นระยะทางเดินประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นโป่งเก่าแก่ที่พรานหลายรุ่นร่ำลือถึงเสือเข้าโป่งอย่างชุกชุมมาก
คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้น 5 ค่ำ พรานเจือนั่งสงบนิ่งอยู่บนห้างยิงสัตว์ ด้วยความสงบเงียบของป่าทำให้พรานเจือคิดถึงเมียที่กำลังตั้งท้อง พลันในความเงียบเสียงผิดปกติในราวป่าก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงกู่ก้องเรียกหา พรานเจือชะเง้อคอมองอย่างแปลกใจ เพราะในป่าไม่มีบ้านผู้คนเลย พรานเจือนิ่งฟังอย่างสงบ เมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นไอ้ปลิวเพื่อนของเขานั่นเอง “เจือโว้ย...วู้” พรานเจือรีบตอบรับ “อยู่นี่เว้ย” และรู้สึกเป็นห่วงเมียที่ท้องแก่ ตอนนั้นป่าทั้งป่าเงียบสงัดไม่มีศัพท์สำเนียงใดเลย ขณะเดียวกันร่างล่ำสันในชุดผ้าสีดำก็โผล่จากชายป่ามายืนกลางแสงจันทร์ แล้วร้องบอกกับพรานเจือว่า “เฮ้ย เจือ เมียมึงไม่ยอมคลอด กูมานี่ก็สลบไปหลายครั้ง กลับไปดูมันหน่อยโว้ย ยายปานหมอตำแยทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ” พรานเจือใจหายวาบ มือไม้สั่นคว้าย่ามหยิบปืนลงจากห้าง ความห่วงใยเมียทำให้ลืมกฎของป่าเสียสิ้น พรานเจือไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่า ทำไมไอ้ปลิวจึงดั้นด้นมาบอกเพียงลำพังคนเดียว ป่าเปลี่ยวอย่างนี้ก็ต้อง 3-4 คน จุดคบตามไฟสว่างโร่ ปืนในมือคนละกระบอก
ทันทีที่พรานเจือลงมาถึงพื้น ไอ้ปลิวก็บอก “เจือ มึงเดินไปก่อน กูปวดฉี่ว่ะ” เสียงนั้นพูดอู้อี้เหมือนคนหวัดลงคอ พรานเจือก็ยังไม่สงสัย ไม่พูดไม่จา เดินก้าวสวบๆ ไป พรานป่าทุกคนรู้ดีว่าเดือนตอนจะลับดอยนั้นสัตว์จะออกหากิน
“หนามตำกูว่ะ รอมั่ง” ไอ้ปลิวตะโกนบอก เสียงอู้อี้ของไอ้ปลิวทำให้พรานเจือชะลอฝีเท้าลงเดินตามติดๆ กัน ห่างแค่ 2 ศอก อาจจะเป็นเพราะชะตาพรานเจือยังไม่ถึงฆาต ทันทีที่ไอ้ปลิวเข้ามาใกล้ จมูกของคนเป็นพรานก็กระสากกลิ่นฉุนเข้าจมูกฉุนกึก ประสาทพรานเจือหยุดชะงักเหมือนถูกกระตุก ขนลุกซู่ เย็นสันหลังวาบ ในจิตนั้นแว่วเสียงพรานใหญ่ผู้เป็นพ่อเคยพร่ำสอนเสมอตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตว่า “ไอ้เจือ ตอนเมียมึงท้องแก่ มึงอย่าไปนั่งห้างในป่านะ โป่งทุกโป่งเป็นที่ตายของสัตว์ร้อยแปด จงจำไว้ผีโป่งจะแปลงร่างเป็นคนก็ได้-สัตว์ก็ได้ มันจะหลอกมึงลงจากห้างจับมึงกิน อย่าลืมคำกูล่ะ” พรานเจือลืมคำพ่อพรานใหญ่เสียสนิทในตอนนั้น มาบัดนี้กลิ่นสางๆ ทำให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ความรู้สึกที่ไอ้ปลิวเดินตามหลังมานั้นผิดปกติ ประสาทไวเท่าความคิด พรานเจือกระโดดเข้าข้างทาง หันมาบอกไอ้ปลิว “งูว่ะ กูเหยียบมันเข้าเต็มเปาเลย มึงขึ้นหน้าเถอะ” ไอ้ปลิวหัวร่อ มันเดินนำหน้า พรานเจือเดินตามห่างๆ เพื่อทิ้งช่วง ตาจับอยู่ที่ร่างไอ้ปลิว ปากก็พร่ำคาถาสะกดผีโป่ง
พรานป่าเชื่อว่าการยิงปีศาจต้องสะกดให้อยู่จึงจะสังหารมันได้ พรานรุ่นเก่าบอกว่าสมิงในร่างมนุษย์จะเริ่มที่ขาก่อนหากลายเสือปรากฏก็ให้ยิงทันที แต่ตอนนี้ดูลำบากมาก เพราะแสงสว่างไม่พอ แต่พอเงยสายตาจับอยู่ที่กลางหลังลงมาก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าเอวด้านหลังของไอ้ปลิวห้อยลงลักษณะเหมือนหางเสือยาวออกมาทีละน้อยๆ สิ่งนี้เองทำให้พรานเจือแน่ใจว่าเป็นเสือสมิงแปลง จึงสวดคาถากำกับอีกครั้งหนึ่งแล้วปากลำกล้องปืนก็ถูกยกเล็งไปที่ท้ายทอยไอ้ปลิวตัวปลอม เปรี้ยง! เสียงปืนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ภาพที่เห็นคือเสือลายพาดกลอนตัวมหึมาดิ้นตีแปลงโครมคราม “ไปที่ชอบเถอะมึง” พรานเจือกัดกรามพูดเบาๆ แล้วรีบบุกป่ากลับบ้าน
ทันทีที่ถึงบ้านก็ได้พบกับเมียท้องแก่ซึ่งเป็นปกติดี ยังความโล่งอกให้แก่พรานเจือเป็นอย่างมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)