พรานเจือเป็นพรานรุ่นหนุ่มถือสายเลือดมาจากตระกูลพรานโดยตรง พรานเหล่านี้จะเชื่อถือโชคลางมาก เช่น ถ้าฝันว่าได้หลับนอนกับหญิงสาวจะถือว่ามีลาภอันสูงสุด ทันทีที่ตื่นจากฝันเขาจะคว้าปืนเข้าป่าทันที หรือถ้าภรรยากำลังตั้งครรภ์(มีท้องใกล้จะคลอด) การตระเวนไพรจะมีโชคทุกครั้งที่ออกป่า พรานเจือก็อยู่ในสภาพข้อนี้ คือเมียท้องแก่ใกล้จะคลอดเต็มที พรานเจือจึงขยันออกป่า ซึ่งก็โชคดีได้เนื้อสัตว์มาเป็นอาหารเป็นเสบียงอยู่ในขั้นดีมาก
โป่งนั้นชื่อ “โป่งหนองหลวง” ห่างจากบ้านพรานเจือเป็นระยะทางเดินประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นโป่งเก่าแก่ที่พรานหลายรุ่นร่ำลือถึงเสือเข้าโป่งอย่างชุกชุมมาก
คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้น 5 ค่ำ พรานเจือนั่งสงบนิ่งอยู่บนห้างยิงสัตว์ ด้วยความสงบเงียบของป่าทำให้พรานเจือคิดถึงเมียที่กำลังตั้งท้อง พลันในความเงียบเสียงผิดปกติในราวป่าก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงกู่ก้องเรียกหา พรานเจือชะเง้อคอมองอย่างแปลกใจ เพราะในป่าไม่มีบ้านผู้คนเลย พรานเจือนิ่งฟังอย่างสงบ เมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นไอ้ปลิวเพื่อนของเขานั่นเอง “เจือโว้ย...วู้” พรานเจือรีบตอบรับ “อยู่นี่เว้ย” และรู้สึกเป็นห่วงเมียที่ท้องแก่ ตอนนั้นป่าทั้งป่าเงียบสงัดไม่มีศัพท์สำเนียงใดเลย ขณะเดียวกันร่างล่ำสันในชุดผ้าสีดำก็โผล่จากชายป่ามายืนกลางแสงจันทร์ แล้วร้องบอกกับพรานเจือว่า “เฮ้ย เจือ เมียมึงไม่ยอมคลอด กูมานี่ก็สลบไปหลายครั้ง กลับไปดูมันหน่อยโว้ย ยายปานหมอตำแยทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ” พรานเจือใจหายวาบ มือไม้สั่นคว้าย่ามหยิบปืนลงจากห้าง ความห่วงใยเมียทำให้ลืมกฎของป่าเสียสิ้น พรานเจือไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่า ทำไมไอ้ปลิวจึงดั้นด้นมาบอกเพียงลำพังคนเดียว ป่าเปลี่ยวอย่างนี้ก็ต้อง 3-4 คน จุดคบตามไฟสว่างโร่ ปืนในมือคนละกระบอก
ทันทีที่พรานเจือลงมาถึงพื้น ไอ้ปลิวก็บอก “เจือ มึงเดินไปก่อน กูปวดฉี่ว่ะ” เสียงนั้นพูดอู้อี้เหมือนคนหวัดลงคอ พรานเจือก็ยังไม่สงสัย ไม่พูดไม่จา เดินก้าวสวบๆ ไป พรานป่าทุกคนรู้ดีว่าเดือนตอนจะลับดอยนั้นสัตว์จะออกหากิน
“หนามตำกูว่ะ รอมั่ง” ไอ้ปลิวตะโกนบอก เสียงอู้อี้ของไอ้ปลิวทำให้พรานเจือชะลอฝีเท้าลงเดินตามติดๆ กัน ห่างแค่ 2 ศอก อาจจะเป็นเพราะชะตาพรานเจือยังไม่ถึงฆาต ทันทีที่ไอ้ปลิวเข้ามาใกล้ จมูกของคนเป็นพรานก็กระสากกลิ่นฉุนเข้าจมูกฉุนกึก ประสาทพรานเจือหยุดชะงักเหมือนถูกกระตุก ขนลุกซู่ เย็นสันหลังวาบ ในจิตนั้นแว่วเสียงพรานใหญ่ผู้เป็นพ่อเคยพร่ำสอนเสมอตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตว่า “ไอ้เจือ ตอนเมียมึงท้องแก่ มึงอย่าไปนั่งห้างในป่านะ โป่งทุกโป่งเป็นที่ตายของสัตว์ร้อยแปด จงจำไว้ผีโป่งจะแปลงร่างเป็นคนก็ได้-สัตว์ก็ได้ มันจะหลอกมึงลงจากห้างจับมึงกิน อย่าลืมคำกูล่ะ” พรานเจือลืมคำพ่อพรานใหญ่เสียสนิทในตอนนั้น มาบัดนี้กลิ่นสางๆ ทำให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ความรู้สึกที่ไอ้ปลิวเดินตามหลังมานั้นผิดปกติ ประสาทไวเท่าความคิด พรานเจือกระโดดเข้าข้างทาง หันมาบอกไอ้ปลิว “งูว่ะ กูเหยียบมันเข้าเต็มเปาเลย มึงขึ้นหน้าเถอะ” ไอ้ปลิวหัวร่อ มันเดินนำหน้า พรานเจือเดินตามห่างๆ เพื่อทิ้งช่วง ตาจับอยู่ที่ร่างไอ้ปลิว ปากก็พร่ำคาถาสะกดผีโป่ง
พรานป่าเชื่อว่าการยิงปีศาจต้องสะกดให้อยู่จึงจะสังหารมันได้ พรานรุ่นเก่าบอกว่าสมิงในร่างมนุษย์จะเริ่มที่ขาก่อนหากลายเสือปรากฏก็ให้ยิงทันที แต่ตอนนี้ดูลำบากมาก เพราะแสงสว่างไม่พอ แต่พอเงยสายตาจับอยู่ที่กลางหลังลงมาก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าเอวด้านหลังของไอ้ปลิวห้อยลงลักษณะเหมือนหางเสือยาวออกมาทีละน้อยๆ สิ่งนี้เองทำให้พรานเจือแน่ใจว่าเป็นเสือสมิงแปลง จึงสวดคาถากำกับอีกครั้งหนึ่งแล้วปากลำกล้องปืนก็ถูกยกเล็งไปที่ท้ายทอยไอ้ปลิวตัวปลอม เปรี้ยง! เสียงปืนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ภาพที่เห็นคือเสือลายพาดกลอนตัวมหึมาดิ้นตีแปลงโครมคราม “ไปที่ชอบเถอะมึง” พรานเจือกัดกรามพูดเบาๆ แล้วรีบบุกป่ากลับบ้าน
ทันทีที่ถึงบ้านก็ได้พบกับเมียท้องแก่ซึ่งเป็นปกติดี ยังความโล่งอกให้แก่พรานเจือเป็นอย่างมาก
โป่งนั้นชื่อ “โป่งหนองหลวง” ห่างจากบ้านพรานเจือเป็นระยะทางเดินประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นโป่งเก่าแก่ที่พรานหลายรุ่นร่ำลือถึงเสือเข้าโป่งอย่างชุกชุมมาก
คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้น 5 ค่ำ พรานเจือนั่งสงบนิ่งอยู่บนห้างยิงสัตว์ ด้วยความสงบเงียบของป่าทำให้พรานเจือคิดถึงเมียที่กำลังตั้งท้อง พลันในความเงียบเสียงผิดปกติในราวป่าก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงกู่ก้องเรียกหา พรานเจือชะเง้อคอมองอย่างแปลกใจ เพราะในป่าไม่มีบ้านผู้คนเลย พรานเจือนิ่งฟังอย่างสงบ เมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นไอ้ปลิวเพื่อนของเขานั่นเอง “เจือโว้ย...วู้” พรานเจือรีบตอบรับ “อยู่นี่เว้ย” และรู้สึกเป็นห่วงเมียที่ท้องแก่ ตอนนั้นป่าทั้งป่าเงียบสงัดไม่มีศัพท์สำเนียงใดเลย ขณะเดียวกันร่างล่ำสันในชุดผ้าสีดำก็โผล่จากชายป่ามายืนกลางแสงจันทร์ แล้วร้องบอกกับพรานเจือว่า “เฮ้ย เจือ เมียมึงไม่ยอมคลอด กูมานี่ก็สลบไปหลายครั้ง กลับไปดูมันหน่อยโว้ย ยายปานหมอตำแยทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ” พรานเจือใจหายวาบ มือไม้สั่นคว้าย่ามหยิบปืนลงจากห้าง ความห่วงใยเมียทำให้ลืมกฎของป่าเสียสิ้น พรานเจือไม่ได้ฉุกคิดสักนิดว่า ทำไมไอ้ปลิวจึงดั้นด้นมาบอกเพียงลำพังคนเดียว ป่าเปลี่ยวอย่างนี้ก็ต้อง 3-4 คน จุดคบตามไฟสว่างโร่ ปืนในมือคนละกระบอก
ทันทีที่พรานเจือลงมาถึงพื้น ไอ้ปลิวก็บอก “เจือ มึงเดินไปก่อน กูปวดฉี่ว่ะ” เสียงนั้นพูดอู้อี้เหมือนคนหวัดลงคอ พรานเจือก็ยังไม่สงสัย ไม่พูดไม่จา เดินก้าวสวบๆ ไป พรานป่าทุกคนรู้ดีว่าเดือนตอนจะลับดอยนั้นสัตว์จะออกหากิน
“หนามตำกูว่ะ รอมั่ง” ไอ้ปลิวตะโกนบอก เสียงอู้อี้ของไอ้ปลิวทำให้พรานเจือชะลอฝีเท้าลงเดินตามติดๆ กัน ห่างแค่ 2 ศอก อาจจะเป็นเพราะชะตาพรานเจือยังไม่ถึงฆาต ทันทีที่ไอ้ปลิวเข้ามาใกล้ จมูกของคนเป็นพรานก็กระสากกลิ่นฉุนเข้าจมูกฉุนกึก ประสาทพรานเจือหยุดชะงักเหมือนถูกกระตุก ขนลุกซู่ เย็นสันหลังวาบ ในจิตนั้นแว่วเสียงพรานใหญ่ผู้เป็นพ่อเคยพร่ำสอนเสมอตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตว่า “ไอ้เจือ ตอนเมียมึงท้องแก่ มึงอย่าไปนั่งห้างในป่านะ โป่งทุกโป่งเป็นที่ตายของสัตว์ร้อยแปด จงจำไว้ผีโป่งจะแปลงร่างเป็นคนก็ได้-สัตว์ก็ได้ มันจะหลอกมึงลงจากห้างจับมึงกิน อย่าลืมคำกูล่ะ” พรานเจือลืมคำพ่อพรานใหญ่เสียสนิทในตอนนั้น มาบัดนี้กลิ่นสางๆ ทำให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ความรู้สึกที่ไอ้ปลิวเดินตามหลังมานั้นผิดปกติ ประสาทไวเท่าความคิด พรานเจือกระโดดเข้าข้างทาง หันมาบอกไอ้ปลิว “งูว่ะ กูเหยียบมันเข้าเต็มเปาเลย มึงขึ้นหน้าเถอะ” ไอ้ปลิวหัวร่อ มันเดินนำหน้า พรานเจือเดินตามห่างๆ เพื่อทิ้งช่วง ตาจับอยู่ที่ร่างไอ้ปลิว ปากก็พร่ำคาถาสะกดผีโป่ง
พรานป่าเชื่อว่าการยิงปีศาจต้องสะกดให้อยู่จึงจะสังหารมันได้ พรานรุ่นเก่าบอกว่าสมิงในร่างมนุษย์จะเริ่มที่ขาก่อนหากลายเสือปรากฏก็ให้ยิงทันที แต่ตอนนี้ดูลำบากมาก เพราะแสงสว่างไม่พอ แต่พอเงยสายตาจับอยู่ที่กลางหลังลงมาก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าเอวด้านหลังของไอ้ปลิวห้อยลงลักษณะเหมือนหางเสือยาวออกมาทีละน้อยๆ สิ่งนี้เองทำให้พรานเจือแน่ใจว่าเป็นเสือสมิงแปลง จึงสวดคาถากำกับอีกครั้งหนึ่งแล้วปากลำกล้องปืนก็ถูกยกเล็งไปที่ท้ายทอยไอ้ปลิวตัวปลอม เปรี้ยง! เสียงปืนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ภาพที่เห็นคือเสือลายพาดกลอนตัวมหึมาดิ้นตีแปลงโครมคราม “ไปที่ชอบเถอะมึง” พรานเจือกัดกรามพูดเบาๆ แล้วรีบบุกป่ากลับบ้าน
ทันทีที่ถึงบ้านก็ได้พบกับเมียท้องแก่ซึ่งเป็นปกติดี ยังความโล่งอกให้แก่พรานเจือเป็นอย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น