วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

คืนสุดท้าย


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมอายุได้ 15 ปี ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ย่าทวดของผมเสีย คุณแม่ได้นำศพของย่าทวดไปทำพิธีที่จังหวัดอยุธยาซึ่งเป็นบ้านเกิดของย่าทวดและพาผมไปด้วย

งานศพคืนแรกผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีก็คือห้องน้ำที่วัดนี้อยู่ใกล้กับป่าช้ามาก ตอนที่ผมเดินไปเข้าห้องน้ำได้ถามพระที่วัดว่า “ห้องน้ำกับป่าช้าใกล้กันอย่างนี้ผีไม่หรอกหรือ” พระท่านตอบว่า “คืนแรก ผีไม่หลอกหรอก” ก็จริงของท่าน คืนแรกผมไปเข้าห้องน้ำก็ไม่เจออะไร

งานศพคืนที่สอง ผมไปเข้าห้องน้ำอีก ผมก็เดินไปถามพระองค์เมื่อคืนก่อนว่า “คืนแรกไม่มีผี งั้นคืนที่สองก็มีนะซี” พระท่านก็ตอบว่า “คืนนี้ก็ไม่มีอีกเหมือนกัน” และก็เป็นอย่างที่ท่านพูด

คืนที่สามซึ่งเป็นคืนสุดท้ายในการสวด แม่บอกผมว่าพรุ่งนี้จะเผา และผมก็ต้องไปเข้าห้องน้ำอีกอย่างเคย ผมก็เดินไปหาพระองค์เก่าและถามว่า “คืนนี้คืนสุดท้ายแล้ว ผมจะเจออะไรไหมครับ” ท่านก็ตอบว่า “คืนนี้สวดคืนสุดท้าย ถ้าเห็นอะไรก็ให้ทำเหมือนกับไม่เห็น” แล้วท่านก็เดินจากไป ทำให้ผมยืนงงอยู่นานกับคำพูดของท่าน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าตั้ง 2 คืนไม่เจอสักคืน มาคืนสุดท้ายจะเจอก็ให้มันรู้ไม่ แต่เหมือนกับคำพูดของท่านจะเป็นประกาศิต เมื่อผมเข้าห้องน้ำเสร็จกิจธุระแล้วกำลังจะเดินกลับ ขวามือคือป่าช้า ซ้ายมือคือพงหญ้า ผมมองไปที่ป่าช้า ผมมองเห็นเงาเป็นรูปร่างคนยืนอยู่เต็มป่าช้าไปหมด ผมลองคิดดูมืดค่ำป่านนี้ไม่มีใครที่จะไปทำธุระในป่าช้าแน่ๆ ถ้างั้นเงาเหล่านั้นเป็นอะไรล่ะ คิดได้ดังนั้นผมเลยหันหลังวิ่งอย่างที่คิดว่าเร็วที่สุด ผมวิ่งไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งมีแสงไฟลอดออกมาทำให้นึกว่าเป็นกุฏิพระ ผมจึงเปิดเข้าไปหวังขอความช่วยเหลือ
พอผมเปิดเข้าไปสิ่งที่ผมเห็นอยู่ข้างหน้าทำให้ความกลัวที่มีอยู่เมื่อกี้หายไปทันทีเพราะสิ่งที่เห็นคือพระพุทธรูปองค์หนึ่งหน้าตักประมาณ 2 ศอก ตั้งอยู่บนโต๊ะบูชา ผมรีบเข้าไปกราบทันที ผมมองไปรอบๆ ห้องเห็นตู้ใบใหญ่เก่าๆ มีลวดลายไทยอยู่ตู้หนึ่งจึงคิดว่าเป็นห้องเก็บพระไตรปิฏกมากกว่ากุฏิพระ คิดได้ดังนั้นผมจึงเปิดตู้เพราะคิดว่าน่าจะมีคาถาดีๆ ที่กันผีได้ ผมเจอตำราอยู่เล่มหนึ่งมีบทความซึ่งสะดุดตากล่าวเอาไว้ว่า


“ภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกลัวหรือความหวาดเสียวบังเกิดขึ้นแก่ท่านผู้จะไปสู่ความว่างเปล่า อันเป็นที่เงียบสงัดอันควรจะพึงกลัวในขณะนั้น ท่านทั้งหลายพึงตามระลึกถึงเราตถาคต ดังนี้ อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถี สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ..... เมื่อท่านทั้งหลายได้ตามระลึกถึงเรา ความกลัวจะดับสูญหายไปสิ้น”
ผมพยายามท่องจำอยู่ครึ่งชั่วโมงก็จำได้ ผมจึงเดินจากห้องพระไตรปิฏกแล้วเดินกลับ ระหว่างที่เดินผมก็ท่องบทสวดนี้ดังๆ ไม่ขาดปากท่องซ้ำแล้วซ้ำอีก จนมาถึงที่เดิมผมเห็นเงารูปร่างคนเหล่านั้นต่างก้มลงเหมือนกับหมอบกราบระหว่างที่ผมเดินผ่านป่าช้า ผมเดินไปเรื่อยๆ แล้วไม่หันมาที่ป่าช้านั้นอีกจนถึงที่งานซึ่งพระกำลังสวดศพอยู่

ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากพระองค์นั้น ท่านตอบว่า “วิญญาณที่ป่าช้านั้นจะออกมาฟังพระสวดศพเพื่อรับเอาบุญกุศลแห่งคำสวดมนต์เพื่อที่วิญญาณเหล่านั้นจะได้ไปเกิดหรือไปใช้กรรมเร็วๆ ไม่ผูกพันอยู่กับป่าช้านั้นอีก” ผมถามต่อว่า “ทุกคืนสุดท้ายของวันสวดศพหรือ” พระท่านตอบว่า “ใช่ เพราะคืนสุดท้ายของวันสวดศพนี้ เป็นวันดีที่สุด”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น