วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

โค้งร้อยศพ

โค้งที่ว่านี้ ห่างจากตัวอำเภอเขมราฐที่ผมอยู่ไม่เท่าไร มันอยู่ระหว่างเส้นทางที่ทอดยาวเข้าตัวจังหวัดอุบลฯ เพราะฉะนั้นรถราที่วิ่งผ่านโค้งนี้จึงมีมากในแต่ละวัน ความเฮี้ยนของโค้งนี้ดูได้จากการเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก บ่อยเสียจนใครต่อใครต่างบอกว่า…มันจะเอาให้ได้ถึงร้อยศพ และผมเกือบจะเป็นอีกศพหนึ่งที่โค้งนั้น…

ลักษณะของโค้งเป็นโค้งหักศอกมีราวเหล็กกั้นไปตามขอบถนนที่เป็นโค้ง ปลายสุดโค้งจะมีต้นจามจุรีใหญ่อายุหลายร้อยปีขึ้นสูงเด่นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครื้ม และต้นจามจุรีต้นนี้ล่ะที่รถหลายต่อหลายคันที่แหกโค้งมามักจะพุ่งเข้าชนเป็นประจำ สังเกตได้ตามลำต้น…เปลือกไม้จะถลอกเป็นรอยและมีรอยไหม้สีดำจับเป็นคราบอยู่

เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนมีขบวนรถทัวร์จากจังหวัดระยองแล่นผ่านมาที่โค้งนี้ คนขับทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ รถถึงได้เลยโค้งพุ่งเข้าหาจามจุรีต้นที่ว่า ผลน่ะไม่ต้องพูดถึง หน้ารถยุบเข้ามาทั้งแถบ คนขับพร้อมเด็กรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าถูกอัดก๊อปปี้ตายคาที่ ส่วนคนโดยสารก็บาดเจ็บหนักบ้างไม่หนักบ้างตามอาการ… พอดีผมกับภรรยาขับรถกลับจากทำงานผ่านมาประสบเหตุเข้า ภรรยาผมเปรยเบาๆ อย่างรันทดกับอุบัติเหตุตอนนั้นว่า “เอาอีกแล้วโค้งนี้…ไม่รู้เมื่อไรจึงจะพอ” 

มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะครับ แทบจะทุกอาทิตย์ที่ต้องมีคนตายเพราะโค้งนี้ โค้งนี้มันเป็นโค้งอาถรรพณ์

เมื่อหลายวันก่อน ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่อยู่ติดกับโค้งร้อยศพได้พาลูกบ้านและพระสงฆ์หลายรูป มาทำพิธีอุทิศส่วนกุศลและทำพิธีปัดรังควานที่โค้งแห่งนี้ นัยเพื่อเป็นการล้างอาถรรพณ์ เมื่อเสร็จพิธีดูเหมือนจะทำให้ชาวบ้านคลายความกังวลลงได้บ้าง แต่ไม่ทันไร…หลังจากวันทำพิธีได้ไม่กี่วัน วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งควบมอเตอร์ไซต์มาด้วยกันสามคัน แต่ละคันก็ซ้อนสองซ้อนสาม ตามคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า มอเตอร์ไซต์ก็ขับขี่มาตามธรรมดา เมื่อมาถึงโค้งทั้งสามคันก็ผ่อนความเร็ว ช่วงที่เข้าโค้งก็เป็นปรกติทุกอย่าง แต่ฉับพลัน…จู่ๆ
มอเตอร์ไซต์ที่วิ่งนำหน้าเกิดเสียหลักอีท่าไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แฉลบนิดเดียวรถกลิ้งตีลังกาหลายตลบ รถคันที่วิ่งตามหลังเบรกไม่ทันพุ่งเข้าชนซ้ำอีก ก่อนจะปลิวไปอัดกับราวสะพานที่พาดอยู่แนวโค้ง ผลหรือครับ…ตายสี่ สาหัสอีกสาม

ผมเคยคุยกับลุงคนหนึ่งที่บ้านของแกอยู่ติดกับโค้งนี้ ตอนหนึ่งผมถามแกว่า ที่โค้งนี้มีคนตายบ่อยเคยเห็นผีหรือเปล่า ลุงแกบอกด้วยสีหน้าหวาดๆ ว่า “อย่าให้พูดเลยคุณ…ลุงน่ะแทบจะช็อคตายอยู่บ่อยๆ” แกเล่าให้ผมฟังว่า คืนไหนที่เป็นคืนวันพระ แกกับภรรยาแทบจะไม่ได้หลับได้นอน ต้องนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวอยู่แทบจะทั้งคืน เพราะพอตกกลางคืนในคืนวันพระ ไม่รู้เสียงอะไรต่อมิอะไรมันดังจากโค้งมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน บางทีก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวน ฟังแล้วเสียดเข้าไปถึงไขสันหลัง บางทีก็เป็นเสียงรถวิ่งมาแล้วชนเข้ากับอะไรสักอย่าง เสียงดังโครมลั่น พอโผล่หน้าออกไปดูทางหน้าต่าง…ว่างเปล่า…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมเองต้องผ่านโค้งนี้ทุกวันด้วยว่าต้องขับรถไปทำงานผ่านทางนี้ พอผ่านโค้งนี้ทีไรก็อดนึกเสียวแว้บขึ้นมาไม่ได้ คนขับขี่รถทั่วไปเมื่อต้องผ่านโค้งนี้มักจะบีบแตรเสียงดังลั่นไปตลอดโค้ง นัยว่าเป็นการขอผ่านทาง ผมเองก็เช่นกัน แต่วันนั้นผมกับภรรยากลับบ้านดึก ขับรถมาเรื่อยๆ เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติครับ กระทั่งมาถึงโค้งร้อยศพที่ว่า ช่วงที่เข้าโค้งผมใช้ความเร็วต่ำมาก และไม่ลืมที่จะบีบแตรตามปกติ เมื่อใกล้พ้นโค้ง ทันใดนั้น…ผมแทบช็อค เมื่อมองเห็นว่ามีหมาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างทางมายืนจังก้าขวางถนน ห่างจากหน้ารถไม่เท่าไร ด้วยความตกใจผมหักพวงมาลัยอย่างแรง รถพุ่งหลบหมาดำที่ยืนอยู่กลางถนน ดิ่งเข้าหาราวสะพานข้างทางและครูดไปกับราวสะพานไกลพอสมควร ภรรยาผมร้องกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ ดีที่ว่ารถวิ่งมาช้า ไม่ทันไรก็สามารถหยุดรถได้ 

ภรรยาผมถามเสียงสั่น “พี่เป็นอะไรไปน่ะ…ทำไมจู่ๆก็หักพวงมาลัยลงข้างทางอย่างนั้น” ผมบอกไปว่า หักรถหลบหมาดำตัวใหญ่ที่มันวิ่งมาขวางทาง ภรรยาผมเสียงดังลั่นขึ้นอีกว่า หมาดำที่ไหนเธอไม่เห็นมีเลย…มีแต่ถนนว่างเปล่าเท่านั้น ผมถามภรรยาท่าทางงงๆว่า “เธอไม่เห็นหมาดำตัวนั้นหรือ” ภรรยาผมส่ายหน้าบอกว่าตลอดทางไม่เห็นหมาดำที่ว่าเลย ผมนั่งพึมพำอย่างไม่เชื่อตัวเอง ผมเห็นชัดๆนี่ว่าตอนที่จะพ้นโค้งมีหมาดำตัวใหญ่วิ่งมายืนขวางทาง แต่ภรรยาผมกลลับมองไม่เห็น “หรือว่า…” ผมเอ่ยเบาๆกับภรรยา ไม่ต้องพูดอะไรต่อไปต่างคนก็ต่างเข้าใจ ผมตบเกียร์พารถออกจากโค้งนั้นในทันที ไม่ได้สนใจที่จะลงไปดูความเสียหายของรถด้วยซ้ำ หากอยู่นานเดี๋ยวพาลจะเจออะไรที่โค้งนั้นเข้าให้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น