วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
บ้านหลังนี้มีอะไร
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อฉันอายุได้ 18 ปี อายุเท่านั้นแต่ก็เจอผีมามาก ส่วนใหญ่จะมาทักทายแบบเห็นเป็นรูปร่างแบบคน แต่ที่เจอครั้งนี้ เดาไม่ได้เลยว่ามันคืออะไร...
เมื่อเห็นสภาพบ้านแล้วไม่อยากจะค้างเลยจริงๆ บ้านหลังนี้ทั้งเก่า ทั้งโทรม แถมรอบๆ บ้านยังมีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น ดูวังเวงน่ากลัว เจ้าของบ้านเท่าที่เห็นมีกันอยู่ 3 คน พ่อคนหนึ่งและลูกสาวอีก 2 คน หลังจากกินข้าวแล้วลุงกับป้าของฉันบอกว่าคืนนี้จะนอนที่เรือ ฉันแปลกใจเพราะปกติต้องเป็นฉันที่ไปนอนที่เรือ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตกลงคืนนั้นพวกเราก็นอนที่บ้านหลังนั้นโดยเจ้าของบ้านให้เรานอนชั้นบน นี่ก็น่าแปลก ธรรมดาเจ้าของบ้านต้องนอนชั้นบน และให้แขกนอนชั้นล่าง
พอขึ้นไปบนบ้าน สิ่งที่เห็นสิ่งแรกก็คือห้องที่มีผ้ายันต์ปิดหน้าประตู ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ห้องที่พวกเรานอนคือบริเวณห้องโถงซึ่งเชื่อมต่อกับระเบียงโดยตลอด ไม่มีผนังข้างหน้ามีแต่ด้านข้างและด้านหลัง ส่วนห้องที่มียันต์ปิดนั้นก็อยู่ในห้องโถงอีกที เราช่วยกันกางมุ้งแยกเป็นมุ้งชายและมุ้งหญิง คนที่นอนติดกับประตูที่ปิดยันต์คือน้องชายคนสุดท้อง ส่วนฉันนอนริมสุดติดกับโต๊ะเล็กตัวหนึ่งซึ่งมีโกฐบรรจุกระดูกวางอยู่ 3 อัน ทุกคนหวาดกลัวกันทั่วหน้าด้วยบรรยากาศของสถานที่ กว่าจะนอนได้ก็ดึก
ฉันพยายามข่มใจให้หลับ จนกระทั่งมีอะไรบางอย่างมาทับมุ้งจนเอนไปข้างหนึ่ง แล้วยังทับขาของฉันด้วย ฉันตาเบิกโพลงแต่ไม่กล้ามอง ฉันนอนไม่กระดิกตัวแม้แต่น้อย จะปลุกคนอื่นก็เกรงจะไม่ได้นอนกันจนถึงเช้า ถึงจะหวาดกลัวแค่ไหนแต่ก็ดึงสติกลับมาได้ เริ่มคิดไปต่างๆ นานาว่ามันคืออะไร ความรู้สึกที่โดนทับเหมือนกับคนเอาหัวมาหนุนที่ขา เพราะอุ่นๆ และนุ่ม แต่ใครจะเอาหัวมาหนุน ดึกป่านนี้แล้วใครจะมาเล่นอยู่ พยายามนึกในใจเข้าข้างตัวเองว่าเป็นแมวแล้วผลักมันออกไปทันที แล้วมันก็ไม่มาทับอีก จึงนอนหลับลงได้ ตอนเช้าลุงกับป้าที่นอนในเรือมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนนอนในเรือมีนกมาร้องเสียงน่ากลัวทั้งคืนเลยนอนไม่หลับ และเรือยังโคลงเคลงเหมือนมีคนมาจับโยกอีกด้วย ลุงถามว่าเราเจออะไรบ้างไหม พี่ชายบอกว่าไม่มีอะไร ฉันไม่แน่ใจจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วก็มองหาอะไรบางอย่างที่สงสัยว่าเป็นแมว แต่ก็ไม่พบสักตัวในบ้านหลังนั้น
เมื่อเราไปตรวจข้าว พบว่าข้าวยังไม่แก่ดี ยังเกี่ยวไม่ได้ นับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องนอนค้างบ้านหลังนั้นอีก แล้วเราก็อำลาเจ้าของบ้าน เมื่อเจอร้านค้าแถวนั้นก็จอดเรือแวะซื้อของ พวกเราลองถามเจ้าของร้านเกี่ยวกับประวัติบ้านหลังนั้น เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนบ้านหลังนั้นมีกัน 5 คน คือเจ้าของบ้านและเมียเขา ลูกชายคนหนึ่งและลูกสาวสองคน เมียของเจ้าของบ้านตกเลือดตายทั้งกลมที่ระเบียงบ้าน ส่วนลูกชายคนโตป่วยเป็นไข้ตาย ส่วนอีกโกศหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นของใคร แต่ที่ยังสงสัยไม่หายคือ คืนนั้น อะไรที่นอนทับขาฉัน
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ทางผีผ่าน
คุณแม่เล่าว่า บ้านหลังนี้ไม่มีไฟฟ้าพอค่ำลงก็จุดตะเกียง คุณแม่จะรีบทำงานทุกอย่างให้เสร็จตั้งแต่กลางวัน ประมาณ 1 ทุ่มก็จะเข้านอนทันที และคุณพ่อก็ไม่ค่อยกลับบ้านตรงเวลา และป้าหนูก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน จึงมีแต่ลูกชายป้าหนู 2 คนอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ในเวลาค่ำ บ่อยครั้งตอนกลางคืนคุณแม่จะได้ยินเสียงคนเดินอยู่บนระเบียงหน้าบันได บางครั้งก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได ทั้งที่ไม่มีใคร
คุณแม่ของข้าพเจ้ารู้สึกหวาดหวั่น แต่เด็กชายทั้ง 2 คนไม่รู้สึกอะไรเพราะยังไม่ประสีประสา บ้านหลังใหญ่ตกค่ำวังเวงน่ากลัว เมื่อคุณแม่ดับตะเกียงนอนรอคุณพ่อ เกือบทุกคืนจะมีเสียงคนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ บางครั้งจะได้ยินเสียงเดินคนเดียว แต่บางครั้งก็จะได้ยินเสียงเดินเป็นกลุ่ม เสียงฝีเท้าย่ำบ้านเหมือนต้องการตอกย้ำให้รู้ว่ามีคนเดินผ่าน คุณแม่จึงตัดสินใจย้ายออก ป้าหนูก็เช่นกัน
คุณแม่เล่าอีกว่า ต่อมาบ้านหลังนั้นก็มีอิสลามสองพี่น้องไปเช่าอยู่ต่อ พี่ชายกับน้องสาวอิสลามไม่เชื่อว่ามีผี แต่สองพี่น้องก็อยู่ไม่ได้ เพราะคืนหนึ่งพี่ชายไม่ทราบว่ากลับจากธุระที่ไหน เมื่อเดินกลับเกือบจะถึงบ้านเห็นคนแก่ผมหงอกนั่งจุดตะเกียงสว่างไสวอยู่ใต้ถุน อิสลามคนพี่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จึงหยุดยืนตัวแข็งตรงนั้น ชายชราที่จุดตะเกียงนั้นก็เดินถือตะเกียงขึ้นบันไดบ้านและหายวับเข้าไปในห้องโถง แขกคนพี่พอสะกดความกลัวได้แล้วก็รีบก้าวขึ้นบ้าน ชายแก่คนนั้นก็หายไปพร้อมแสงตะเกียง แขกก็เหมือนคนทั่วไปแหละพอเจอะเจอเรื่องอย่างนี้ก็เลยเผ่นออกไปหาที่อยู่ใหม่ในวันรุ่งขึ้น
กำนันเจ้าของบ้านหงุดหงิดเอาการ ใครมาเช่าอยู่ไม่ครบเดือนก็แจว ค่าเช่าก็พลอยอดไปด้วย เมื่อข้องใจจนทนไม่ไหวก็ต้องหาผู้รู้มาดู ผู้รู้หรือคนทรงตงจะมีญาณอะไรบางอย่างบอกกับกำนันว่า บ้านหลังนี้สร้างคร่อมทางผีผ่าน อีกไม่ช้าไม่นานเขาจะพากันมาใช้เป็นที่พบปะ ทีนี้ละจะมากันเป็นโขยง กำนันได้ยินอย่างนั้นจึงสั่งคนรื้อถอนแล้วถวายให้เป็นสมบัติของวัดไปเลย
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ไม่รู้ตัวว่าโดนหลอก
การเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์นี่ก็เอาแน่ไม่ได้ บางทีคนเยอะบางทีก็น้อย ดิฉันก็ทำงานไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งใกล้สิ้นเดือนดิฉันอยู่ทำงานจนค่ำกว่าจะกลับบ้าน ดิฉันลงรถเมล์แล้วลงเดินต่อเข้าไปในซอยเพื่อที่จะเข้าบ้านน้องสาว ทางเข้าบ้านเป็นซอยลึกแล้วก็เล็กเลียบไปตามลำคลองมีบ้านอยู่เลียบฝั่งคลองไปทั้งสองฝั่ง แต่วันนั้นแปลกมาก ทุกบ้านปิดไฟกันแต่หัวค่ำ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรเดินไปเรื่อยจนจวนจะถึงบ้าน แต่ก่อนจะถึงบ้านมีต้นก้ามปูอยู่ต้นหนึ่ง ต้นไม่ใหญ่มากนัก ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งขึ้นไปนั่งยองๆ กอดเข่าอยู่ตรงโคนต้นก้ามปู ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเป็นคนเมาแล้วยังคิดเข้าข้างตัวเองอีกว่า ดีเสียอีกมีคนมานั่งอยู่เป็นเพื่อน แล้วก็ชำเลืองมองว่าเขาจะเดินตามมาหรือเปล่า เพราะอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นพวกติดยา แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงเขาเดินตามมา ก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้คิดว่าเป็นผีด้วยเพราะว่าเป็นคนไม่ค่อยกลัวผีเท่าไร ก็เลยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จนเช้าจึงเล่าให้น้องสาวฟัง ว่าเมื่อคืนเลิกงานดึกไปหน่อยเจอขี้เหล้า น้องสาวถามว่าเจอที่ไหน ก็บอกไปว่าเจอที่ใต้ต้นก้ามปู น้องสาวบอกพี่เจอดีเข้าแล้ว น้องสาวเล่าว่า ตรงต้นก้ามปูนะเคยมีคนไปผูกคอตาย ชาวบ้านแถวนี้เจอกันบ่อย นี่ดีนะที่เขามาให้เห็นแบบดีๆ ไม่ได้มาหลอกมาหลอน
นี่ฉันถูกผีหลอกหรือนี่ ทุกวันนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าถูกผีหลอก
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สยองขวัญเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา
ชีวิตสมัยเป็นนักศึกษานั้นมันช่างเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย โดยเฉพาะชีวิตนักศึกษาที่ต้องอยู่ประจำหอพักในมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยของฉันนั้นอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าใดนัก บางคนก็มาเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับแต่ฉันพักอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัย
หอพักหญิง 2 อาคารนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากอาคารเรียนพอสมควร เวลาไปเรียนพวกเราเด็กหอมักจะนิยมเดินเลาะไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆ มาจนถึงบริเวณที่เป็นสระน้ำ แล้วก็เดินข้ามสะพานข้ามเชื่อมโยงระหว่างบริเวณอาคารเรียนกับทางเดินไปยังหอพัก ทางจะค่อนข้างเปลี่ยวในยามค่ำคืน อย่างไรก็ตามพวกเรามักจะนิยมนั่งพักคุยกันริมสระน้ำ และมักจะมีเรื่องเล่าขานต่อๆ กันมาว่าบริเวณทางเดินแห่งนี้เป็นบริเวณที่น่ากลัวมากในยามค่ำคืน เพราะจะมีคนเห็นอะไรแปลกๆ โดยไม่คาดฝันเสมอโดยเฉพาะเวลายามวิกาล ถ้าใครมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เส้นทางนี้เดินกลับไปยังหอพักเพียงคนเดียวแล้วละก็คงจะต้องจ้ำอ้าวเพื่อให้ถึงที่หมายเร็วๆ ฉะนั้นพวกเราน้องใหม่จึงไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มนับวันเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งหนาหูขึ้น บ้างก็เล่าว่าหอพักชายบ่อยครั้งในยามดึกมักจะพบเห็นผู้หญิงแต่งตัวในชุดไทยเดินปรากฏกายให้เห็นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มสวยงาม แต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะมาในรูปที่น่าเกลียดน่ากลัว
เมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่องเช่นนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่หอหญิง มีบางคนเล่าว่า ในเวลากลางคืนมักจะได้ยินเสียงดนตรีไทย เมื่อเสียงเริ่มชัดเจนและใกล้เข้ามาก็ทนไม่ไหว สงสัยว่าใครหนอมานั่งเล่นเพลงไทยเดิมในยามวิกาลเงียบสงัดเช่นนี้ หนักเข้าความอยากรู้อยากเห็นทำให้ลุกขึ้นมากลางดึกออกจากห้องพักไปตามเสียงเพลง ครั้นพอมาถึงห้องนั่งดูทีวีก็แทบช็อคหมดสติ ยืนตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่ เพราะภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือสตรีหลายนางแต่งชุดไทยเดิมนั่งพับเพียบบรรเลงเพลงไทยอยู่เต็มห้อง แค่ได้ยินคำเล่าขานเท่านั้นฉันยังขนลุกซู่ ถ้าต้องประสบกับตัวเองยังเดาไม่ออกว่าจะเป็นเช่นไร
การรับน้องหอจะมีเป็นประจำทุกคืนไม่มีการยกเว้น ในบรรดานักศึกษาปี 1 ทั้งหมด พวกเราทุกคนต่างพากันอิจฉาก้อย เพราะก้อยร่างกายไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัว ดังนั้นก้อยจึงถูกยกเว้นไม่ต้องร่วมกิจกรรมรับน้องหอ แต่ก็ต้องนอนพักอยู่ในห้องนอนเพียงลำพังคนเดียวทุกคืนเช่นกัน และแล้วในคืนหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในขณะที่รุ่นพี่กำลังรับน้องอยู่ ก้อยก็วิ่งร้องไห้ลงมาจากห้องนอนบนหอ ก้อยละล่ำละลั่กเล่าว่า ขณะเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ได้เห็นหญิงชราคนหนึ่งใส่ชุดไทยเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างๆ ใบหน้าของหญิงชรานั้นเฉยเมยไม่ยิ้มแย้มเลยในขณะที่เอ่ยปากถามอาการของก้อย “เป็นไงบ้าง....รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม” ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพเหมือนฝันนั้นเอง ก้อยก็ตอบไปว่า “ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” ในใจก็ยังสงสัยอยู่ว่าหญิงชราคนนี้เป็นใครกันหนอ แล้วเข้ามาในห้องตอนไหนกัน แต่ไม่ทันที่ก้อยจะอ้าปากถาม หญิงชราคนนั้นก็แสยะยิ้มปากกว้างถึงใบหูพร้อมทั้งพูดว่า “นึกว่ายังไม่ดีขึ้น...จะได้เอาไปอยู่ด้วย” ก้อยจึงรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งลงมาหาพวกเราทั้งชุดนอนในทันที
หลังจากเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น พวกเราก็วิตกกังวลและกลัวผีมากขึ้น จนกระทั่งต้องไปสืบถามถึงต้นเหตุ และก็ได้คำตอบว่าหอพักนักศึกษาหญิงนี้เคยเป็นแดนประหารในอดีตมาก่อน ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเสมอ
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
มาขอบคุณ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมเมื่อประมาณปี 2535 ก่อนหน้านี้ผมเองไม่เคยเชื่อหรือมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่พอเกิดเรื่องนี้แล้ว คิดแล้วคิดอีกจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย แถมยังมีโอกาสได้สัมผัสพูดคุยกันด้วย ลองฟังดูสิครับ
ลุงทอน เป็นคนเก่าแก่ของหมู่บ้าน ผมจำความได้ก็เห็นแกตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม จนผมโตมีครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่น แกก็ยังอาศัยอยู่ที่เดิมในหมู่บ้านของบ้านแม่ผม อาชีพของแกก็ไม่เป็นหลักแหล่งแน่นอน มีใครว่าจ้างแกก็ทำ ครอบครัว,ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่มี บ้านก็อาศัยเพิงไม้ปลูกคร่อมคลองน้ำคลำสาธารณะซุกหัวนอนอยู่คนเดียวไปวันๆ แม่ผมมักจะเรียกแกให้มาช่วยตัดต้นไม้บ้าง ถางหญ้าบ้าง เวลาไม่มีงานอะไรก็จะเก็บถุงพลาสติก,เศษเหล็ก,สายไฟไปขายร้านขายของเก่า สรุปแกมีอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน ฟังดูก็น่าสงสารนะครับ แต่อีกมุมหนึ่งของแกคือแกชอบกินเหล้าโดยเฉพาะเหล้าขาว บางทีก็กินจนเมามายไม่เป็นอันทำงาน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าแกลักขโมยใคร เรื่องหยิบยืมก็มีบ้าง แล้วแกก็ไปทำงานใช้หนี้เขา
ผมแต่งงานแยกบ้านไปตั้งแต่ปี 2530 แต่ยังคงกลับมาเยี่ยมแม่เสมอ อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง ความเป็นไปของชาวบ้านยังเหมือนเดิม รวมทั้งลุงทอนด้วย แต่แกแก่และโทรมลงไปมาก
ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2535 ภรรยาผมพาลูกชายคนเดียววัย 3 ขวบไปเที่ยวบ้านญาติที่เชียงราย ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะลางานไม่ได้ ก็อยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว พอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ว่าง จึงกินเลี้ยงกับเพื่อนแถวบ้านแม่ผม กว่าจะเลิกก็เกือบตี 1 จะกลับบ้านก็ไกลเลยตัดสินใจไปนอนที่บ้านแม่ดีกว่า ผมขี่รถจักรยานต์ไปถึงซอยบ้านก็เลี้ยวเข้าไปตามปกติ เลี้ยวเข้าไปได้ประมาณ 30 เมตร ก็เห็นลุงทอนยืนอยู่กลางซอยเหมือนคอยใครอยู่ ผมจึงชะลอรถหยุด สังเกตเห็นว่าหน้าตาแกสดใสดูดีกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นตั้งเยอะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ถามแกว่า “มาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้” แกตอบว่า “ก็มารอมึงนั่นแหละ” ผมเองก็นึกว่าแกรับลูกเล่น แต่ก็ถามต่อว่า “จะไปไหนเหรอ จะไปส่ง” แกตอบว่า “เฮ่ย...ไม่ไปไหนหรอก มาดักรอมึงนั่นแหละ” ผมงงแต่ก็ถามแกต่อไปว่า “เรื่องอะไรเหรอลุง” แกก็บอกผมว่า “จะฝากไปบอกแม่มึงด้วยว่า ลุงขอบคุณเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรแล้ว” ว่าแล้วแกก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผมบอกว่า ไปเถอะ แล้วก็เดินไปทางปากซอย ผมยังนึกไปว่าแกคงเมา แต่ก็แปลกใจที่หน้าตาแกดูสดใสดี ความง่วงบวกกับความเมา ทำให้นึกถึงบ้านเพื่อหาที่นอนมากกว่า จึงขี่รถเข้าซอยแยกเข้าบ้านไป
ผมนอนอยู่ห้องโถงชั้นล่าง เช้าแม่คงตื่นมาเห็นผมแล้วแต่ไม่ได้ปลุก สัก 10 โมงเศษ ตื่นขึ้นเข้าครัวจะหาอะไรกินก็เจอแม่ทักทายตามปกติ และก็บอกแม่เรื่องที่เจอลุงทอนเมื่อคืนนี้ แล้วเขาฝากบอกขอบคุณแม่มา แต่ไม่ทันถามเรื่องอะไรแกก็เดินไป แม่หยุดมือจากงานครัวหันหน้ามามองผม ถามว่าอะไรนะ ผมก็บอกไปอีก แม่บอกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แกนี่สงสัยจะเมามากจนไม่รู้เรื่อง ผมเถียงไปว่าเป็นไปอย่างนั้นจริงแล้วก็ยังขี่รถมาถึงบ้านได้ไม่ใช่เมาจนไม่รู้เรื่อง แม่พูดสวนมาทันทีก่อนผมพูดต่อว่า จะเป็นไปได้อย่างไรก็ลุงทอนน่ะตายไปตั้งแต่วันอังคารแล้ว แม่เป็นคนจัดงานศพให้แกเอง สวดวันเดียวก็เผาเลยไม่มีญาติที่ไหนนี่ ผมฟังแล้วก็นั่งนิ่งนึกย้อนกลังไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนจำได้แต่ว่า “เขามาขอบคุณ”
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เสียงอุบาทว์
เมฆฝนตั้งเค้ามาทางทิศตะวันตกดำทะมึนมืดคลึ้มเหมือนจะปิดโลกไว้ เสียงฟ้าคำรามสั่นสะเทือน ไม่ช้าสายฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมายังกะฟ้ารั่ว เสียงลมอื้ออึงหวีดหวิวบาดหูมาแต่ไกล ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อปิดหน้าต่าง แต่พอมองออกไปทางหน้าต่างก็ต้องตกใจ เสาอากาศโทรทัศน์หักทั้งบ้านใกล้บ้านไกล สังกะสีบ้านใครไม่รู้ถูกลมหอบลอยขึ้นไปกลางอากาศมากมายหลายแผ่น แต่ดูได้ไม่นานก็ต้องรีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ไม่นานมีเสียงดังโครมใหญ่จากบ้านใกล้พร้อมด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจ ผมออกไปดูปรากฏว่าบ้านที่ยกมุงหลังคาแล้วแต่ยังไม่มีฝาล้มลงมาทั้งหลัง จนฝนหยุดตกผู้คนจึงได้ทยอยออกมาช่วยกันเก็บสิ่งของที่กระจายเกลื่อนถนน ไม่ทันไรมีคนขี่รถจักรยานมาบอกว่าโรงเรียนล้ม ทุกคนจึงรีบไปช่วยกัน
โรงเรียนหลังนี้ใหญ่ยาวนับสิบห้อง ชั้นล่างของโรงเรียนปล่อยไว้โล่งยังไม่ได้เทพื้นปูน แรกเห็นก็ให้ใจหายวูบ โรงเรียนที่สร้างไว้อย่างสวยงามกลายเป็นเศษไม้หักพังยุบลงมา ยังดีที่เป็นวันอาทิตย์โรงเรียนหยุด ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร
คุณป้าคนหนึ่งยืนร้องห่มร้องไห้พูดคร่ำครวญฟังไม่รู้ศัพท์ ชาวบ้านจึงเข้าสอบถาม กว่าแกจะพูดรู้เรื่องก็ต้องรวบรวมสติอยู่นานว่า “ลูกชายหญิงหายไปเมื่อก่อนเที่ยงวัน มีคนบอกว่าเห็นมาวิ่งเล่นที่ใต้ถุนโรงเรียน” ทำให้สงสัยว่าจะถูกโรงเรียนล้มทับ ใครคนหนึ่งจึงนำหน้าเข้าไปค้นหาที่ซากปรักหักพัง พักใหญ่มีคนพบรอยเลือดแดงฉาน และมองเห็นศีรษะเด็กทั้งสองซ้อนกันคว่ำหน้าเสียชีวิตทั้งคู่อย่างน่าเวทนา พอเห็นถนัดตาก็เอะอะโวยวายให้ช่วยกันเสียงลั่นไป ภาพเด็กทั้งสองกอดกันจมอยู่ในทรายมีต้นเสาทับบี้แบนอยู่น่าสลดใจยิ่งนัก เด็กหญิงคนพี่อายุ 11 ขวบ ส่วนคนน้อง 7 ขวบ สองพี่น้องมาเล่นกันที่ใต้ถุนโรงเรียน พอมีพายุมาก็พากันหลบเข้าไปบังที่โคนเสา โรงเรียนโดนพายุล้มเด็กหนีไม่ทันจึงถูกเสาทับตายทั้งคู่ ชาวบ้านก็เลยทำพิธีฝังศพเด็กที่โคนต้นไทรใหญ่ข้างโรงเรียนที่ล้มนั่นเอง
นับจากนั้น โรงเรียนที่ล้มก็ไม่มีการสร้างใหม่ คงกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เด็กนักเรียนก็ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอีกแห่งไม่ไกลเท่าไรนัก ใกล้กับโรงเรียนที่ล้มนั้นมีห้องแถว 5 ห้อง มีต้นไม้รอบบ้านบังพายุได้เป็นอย่างดีไม่เสียหายอะไร แต่หลังจากนั้นอาทิตย์เดียวพวกเขาต้องอพยพหนีกันทั้งหมดอย่างไม่นึกไม่ฝันเพราะสิ่งที่เกิดจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น
เวลาดึกดื่นบรรยากาศเงียบสนิทปราศจากเสียงอื่นใด เริ่มด้วยหมา 4 ตัวที่บ้านห้องแถวทั้ง 5 เลี้ยงไว้พากันแตกตื่นหูตั้งทุกตัว ทำท่าส่ายหัวร้องครางงืดงาดๆ หางตกกระสับกระส่ายหาที่ซุกตัวเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง ทุกตัวดูวุ่นวายวิ่งวนไปมาอยู่แถวนั้น สักพักก็พร้อมใจกันหอนรับกันเป็นทอดๆ ไปเสียงเยือกเย็นน่าตระหนกอกสั่นขวัญผวา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนชวนขนลุกดังมาจากต้นไทรใหญ่ใกล้บริเวณนั้น เหมือนเสียงคนเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ หมาทุกตัวหยุดหอนทันที พอเสียงร้องโหยหวนหยุด เสียงหอนของหมาก็ประสานเสียงแทนที่สลับกันไป ทำให้คนในบ้านทั้ง 5 ห้องที่นอนหลับกันอย่างเป็นสุขต้องผวาตื่นมากลางดึก บางคนเอาผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วเอามือปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยิน “เสียงอุบาทว์” เพราะมันกรีดร้องบาดหูชวนสะท้านไปถึงหัวอกหัวใจ และหมาก็ยังช่วยผสมโรงหอนเสียงเยือกเย็นเข้าไปด้วย ทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งขึ้น บ้านทั้ง 5 ห้องเหมือนตกอยู่ในนรกไม่เป็นอันหลับอันนอน พวกเขาอยู่กันอย่างนั้นไปจนสว่างคาตา พอมีแสงอาทิตย์พวกเขาค่อยโล่งใจสบายขึ้นบ้าง ต่างออกมานั่งคุยเล่าสู่กันฟังและปรึกษาหารือที่จะแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น ในที่สุดก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าสวดมนต์ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองจากสิ่งที่มองไม่เห็น พวกเขารู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากต้นไทรใหญ่ อาจจะเป็นเสียงของเด็กที่ตายในวันที่เกิดพายุ
พออีกคืนก็มี “เสียงอุบาทว์” ดังขึ้นอีกเหมือนเช่นคืนก่อน พวกเขาต้องอดหลับอดนอนทนฟังอย่างทุกข์ทรมานไปจนสว่างอีก และคืนที่สามก็เป็นเช่นนี้อีกเหมือนกันจนทนไม่ไหว ไม่ต้องรอให้มีคืนที่สี่อีกแล้ว พวกที่อยู่ตัดสินใจอพยพหนีไปอาศัยอยู่ที่อื่นกันทั้งหมดปล่อยให้ห้องแถวร้าง นานนับปีก็ยังไม่มีใครกล้าไปอยู่จนเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ผีเจดีย์ร้าง
ผมเคยรู้จักหมอผีชื่อดังคนหนึ่งที่เชียงใหม่ แกเป็นทั้งหมอผีและหมอทำเสน่ห์ยาแฝดให้ผัวรักเมียหลง แกได้เล่าให้ผมฟังถึงการได้รับลายแทงบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ฉบับหนึ่ง ระบุทรัพย์สินเงินทองที่ฝังไว้ใต้ฐานเจดีย์ร้างที่วัดร้างแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำปิง ภายในบริเวณมีเจดีย์ร้างเก่าแก่สูงประมาณ 8 เมตร และมีตึกร้างสีแดงขนาดใหญ่สร้างไว้หลังหนึ่งตั้งอยู่ข้างหลังเจดีย์ รอบด้านไม่มีบ้านพักอาศัยเป็นสถานที่ซึ่งเงียบเชียบมาก เนื่องจากชาวบ้านลือกันว่า ที่นี่ผีดุมาก วันพระวันโกนปรากฏมีเสียงร้องโหยหวนมาจากตึกแดงหลังนี้อยู่เนืองๆ
วันหนึ่งหมอผีท่านนี้ก็ชวนบริวารลูกศิษย์ลูกหาไปลักขุดตามแผนที่ลายแทงในเวลาค่อนข้างดึกที่อับแสงเดือนดาว อากาศอ้าวทึบ แม้แต่ใบไม้ก็ไม่ไหวติง โดยก่อนจะขุดหาสมบัติก็ได้มีการจุดธูปเทียนบอกกล่าวเซ่นไหว้ของคาวหวานต่อเจ้าที่เจ้าทางและภูตผีบรรดามีอันเฝ้าอาศัยอยู่ ณ เจดีย์ร้างแห่งนี้ แล้วจอมขมังเวทย์หมอผีชื่อดังก็เริ่มร่ายเวทมนตร์สยบผี โดยไม่ลืมวนด้ายสายสิญจน์รอบตัวทุกคน
หมอผีชื่อดังเล่าให้ผมฟังด้วยขวัญที่ยังระทึกอยู่ไม่หายว่า เวลาค่อนดึกของคืนนั้นเยือกเย็นและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก บรรยากาศทึมๆ เหมือนจะถูกอะไรสักอย่างกดทับเอาไว้ แสงเดือนข้างแรมรุบรู่สลัวมัว เสียงจักจั่นที่เคยกรีดปีกเพรียกร้องกล่อมไพรกลับนิ่งเงียบ เงียบสนิท นานๆ จะมีนกกลางคืนบินพึบพับล่าเหยื่อผ่านมาสักครั้ง
ลมเย็นหอบหนึ่งกระโชกพัดมากระทบกายอย่างแรงจนแสงไฟจากเทียนพิธีดับ เสียงหมาหอนเยือกเย็นแว่วรับกันเป็นทอดๆ จากบ้านไกลมาบ้านใกล้
ขณะนั้นเอง ใต้ฐานเจดีย์มีเสียงขึกๆ ขักๆ ดังจากซ้ายไปขวา จากขวามาซ้าย คล้ายเกิดการเคลื่อนย้ายสิ่งของหนักๆ ด้วยคนหลายคน ลูกศิษย์คนหนึ่งของหมอผีรีบจุดเทียนพิธีด้วยมือที่สั่นเทาและหัวใจที่จะหยุดเต้นเสียให้ได้ เสียงบริกรรมเวทมนตร์ก็ละล่ำละลักดังกระชั้นถี่ ฉับพลันนั้นเองท่านหมอผีก็กระชากดาบลงอาคมปักไปตรงบริเวณเสียงที่ดังลั่นขึกๆ อยู่ใต้ดิน โดยปักล้อมรอบไว้ทั้งสี่ทิศเพื่อสกัดกั้นผีเฝ้าขุมทรัพย์มิให้ขนย้ายสิ่งของหลบหนี
ทันใด บนยอดเจดีย์มีเสียงร้องครวญครางราวกับได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ลมกลุ่มหนึ่งครางหวีดหวิวมาแต่ไกลแล้วกระโชกกระทบพวกเขาอย่างรุนแรง จนแสงเทียนพิธีดับลงอีกครั้งหนึ่ง หมอผีชื่อดังรีบยกจอบหมายขุดตรงบริเวณที่ใช้ดาบปักล้อมไว้ข้างฐานเจดีย์ ขณะยกจอบเงื้อง่าจะขุดก็ล้มหงายหลังอย่างแรงเหมือนมีใครมากระชาก พวกลูกศิษย์ก็แตกฮือไม่รู้ใครในกลุ่มเผ่นกระโจนออกนอกวงก่อน แล้วเสาปักด้ายสายสิญจน์ก็ล้มลงทั้งสี่ด้าน พวกเขาพากันเผ่นกระโจนออกนอกรั้วโดยไม่ต้องมีใครสั่ง หมอผีเองก็เผ่นกระโจนตามกันออกมาชนิดตัวใครตัวมัน
หมอผีเล่าว่าพวกเขาเป็นไข้หัวโกร๋นกันไปหลายวันแล้วก็เข็ดขี้อ่อนขี้แก่ ไม่ยอมเป็นนักธรณีวิทยานอกระบบขุดค้นสมบัติลายแทงกันอีก ไม่ว่าลายแทงจะระบุว่ามีสมบัติมากเท่าไรก็ตามก็ไม่ขอแตะต้องอีกชั่วชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แม่ย่านางเรือ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของกลุ่มคนบางกลุ่ม ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจว่าควรเชื่อมากน้อยเพียงใด
เกือบ 20 ปีแล้วที่ครอบครัวของดิฉันทำประมงอยู่ที่จังหวัดสงขลา ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นช่วงที่กิจการของครอบครัวรุ่งเรืองมากจนต้องต่อเรือเพิ่มขึ้นอีกหลายลำ และหนึ่งในนั้นได้สั่งต่อไว้ที่อู่เรือคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่พอดีกับคุณพ่อ-คุณแม่นำน้องชายซึ่งพิการทางหูมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแถวนั้น ก่อนกลับก็ได้แวะดูความคืบหน้าของการต่อเรือลำนี้ เมื่อไปถึงเห็นเรือและไม้ที่ใช้ต่อเรือก็กล่าวว่า “ไม่ได้มาดูเลยไม่รู้ว่าเอาไม้ที่เป็นตาไม้มาใช้ต่อเรือด้วย อย่างนี้จะทำให้มีรอยแตกได้ในตอนหลัง” ส่วนคุณแม่เมื่อได้ยินคุณพ่อกล่าวก็เอ่ยเสริมขึ้นว่า “ไม่รู้เอาไม้บ้าอะไรมาใส่ให้”
หลังจากตรวจเรือสักพักก็เดินทางกลับ ทางที่จะกลับไปขึ้นรถก็เป็นทางเดียวกับทางเข้าต้องเดินผ่านสะพานไม้ที่เดินได้ทีละคนเท่านั้น คุณพ่อพร้อมน้องชายก็เดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมา ช่วงจังหวะหนึ่งคุณแม่ก็พลาดเดินไปเหยียบแผ่นไม้แผ่นหนึ่งซึ่งตะปูที่ตอกไว้หลุดออกไปทำให้แผ่นไม้นั้นตีกระดกขึ้นมา จะด้วยเหตุบังเอิญฐหรือเพราะเหตุใดไม่ทราบ ไม้แผ่นนั้นก็ตีโดนตรงปากคุณแม่พอดีอย่างเต็มแรง คุณพ่อตกใจมาก เพราะช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันอากาศค่อนข้างร้อนทำให้เลือดออกมาก รวมทั้งเหงือกของคุณแม่ก็ยังหลุดห้อยออกมาด้วย ตัวคุณแม่เองหลังจากโดนแผ่นไม้ตีปากแล้วก็ยังยืนงงกับเหตุการณ์นั้นอยู่ และยังไม่รู้สึกเจ็บแผลเพราะยังมีอาการชาตรงบริเวณที่โดนตี เมื่อคุณพ่อได้สติจึงรีบนำคุณแม่ส่งคลีนิกที่อยู่ใกล้ๆ ก่อน ซึ่งแพทย์ที่ประจำอยู่เห็นสภาพคุณแม่ที่มีเหงือกหลุดห้อยและเลือดออกมากก็ยังตกใจ แพทย์จึงรีบห้ามเลือดและดันเหงือกให้กับเข้าที่พร้อมกับใช้ลวดมัดไว้ก่อน
กระทั่งคุณแม่กลับถึงบ้านก็ได้มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลหาดใหญ่และต้องรับประทานแต่อาหารอ่อนจนกระทั่งหายดี แต่ผลจากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้ฟันของคุณแม่ไม่สบกันเมื่อหุบปาก ตอนนั้นดิฉันเองยังเด็กมาก แต่ก็ยังจำได้ว่าปากของคุณแม่บวมจนดูน่ากลัวมาก คุณแม่เองคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้นเอง
ต่อมา เรือลำดังกล่าวก็ต่อเสร็จและล่องเรือจากอู่กลับมาเทียบท่า รอการทำพิธีบูชาแม่ย่านางเรือก่อนจะนำเรือออกหาปลาต่อไป พิธีนี้เรียกว่าพิธีทำขวัญเรือ ซึ่งผู้ทำพิธีคือ หมอเขียน หลังจากทำพิธีแล้วหมอเขียนได้บอกกับครอบครัวของดิฉันว่าแม่ย่านางเรือลำนี้เป็นถึงระดับเจ้าแม่ ชอบของบูชาเป็นพวกข้าวเหนียวขาวหรือข้าวเหนียวเหลือง แต่ต้องปูผ้าขาวก่อนจะวางของบูชา รวมทั้งต้องบูชาท่านให้ดีๆ แล้วท่านจะให้คุณ
คุณแม่มาทราบภายหลังว่าไม้ที่นำมาต่อเรือลำนี้เป็นไม้ตะเคียนทอง และเป็นที่น่าแปลกว่า เรือลำนี้ไม่มีปัญหาอย่างเรือลำอื่นไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรือรั่ว เรือจม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าคุณแม่จะไม่ทราบเหตุที่คุณแม่ต้องบาดเจ็บนั้นเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือเกิดจากการกล่าวลบหลู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วได้รับการตักเตือนกลับมา แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่คุณแม่ยังจำได้แม่นยำไม่ลืมเลือนเลย
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ผีเปรต
ตระกูลเปรตนั้นแบ่งได้เป็น 12 ตระกูล ตามคัมภีร์เปตวัตถุหรือนิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องของเปรต คือ
2. กูณปราทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินซากศพคนและสัตว์เป็นอาหาร
3. คูถขาทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
5. สุจิมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล คือ เปรตเปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
7. นิชฌาบกเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้เผา
8. สัตตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาว และคมเหมือนมีด
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
10. อังครังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
11. เวมานิกเปรตตระกูล คือ เปรตที่เสวยทุกข์ในกลางคืน และไปเสวยสุขในวิมานบนสวรรค์ตอนกลางวัน
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีฤทธิ์มากและเป็นเจ้าแห่งเปรตทั้งหลาย
การที่มนุษย์จะเกิดมาเป็นเปรตก็ตามแต่บาปกรรมที่ได้กระทำไว้บนโลกมนุษย์ เช่น ผู้ที่ชอบดุด่าตบตีผู้มีพระคุณหรือบุพการี ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นตอนมีชีวิตอยู่ควรหมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ โยเฉพาะกับพ่อแม่ ตายไปจะได้ไม่เกิดเป็นเปรต
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ตู้เก็บของในกุฏิ
วันแรกที่บวชพระพี่เลี้ยงก็พาน้าชายไปที่กุฏิที่พัก ซึ่งเป็นศาลาเก่าๆ ห้องเดี่ยว ตั้งห่างจากอุโบสถไปเล็กน้อย ประตูล็อคไว้ด้วยโซ่ขนาดใหญ่
“ทำไมต้องล่ามโซ่ด้วยละหลวงพี่” น้าผมถามด้วยความสงสัย
“วัดนี้นานๆ จะมีคนมาบวช แล้วกุฏิอื่นก็มีพระอยู่หมดแล้ว เลยเก็บที่นี่ไว้เพื่อจะมีคนมาบวชอีก น้องโชคดีนะได้พักประเดิมรอบปีนี้เลย” พระพี่เลี้ยงตอบพลางไขกุญแจและดึงโซ่ออก
ภายในห้องมีฝุ่นฟุ้งไปหมด ต้องปัดกวาดเช็ดถูพักใหญ่ กว่าจะจัดการอะไรเรียบร้อยก็เย็นพอดี
ตกกลางคืนได้เวลานอนพักผ่อนพระพี่เลี้ยงก็บอกกับน้าว่า “ก่อนนอนกราบหมอนบอกเจ้าที่เจ้าทางสักหน่อย ว่าเรามาบวชรับใช้ศาสนา” บอกแค่นี้ก็จากไป น้าผมก็ทำตามในใจก็คิดว่าคงไไม่มีอะไร
คืนนั้นน้าชายผมหลับอย่างปกติ ตื่นเช้าออกบิณฑบาต พระพี่เลี้ยงก็ถาม “เมื่อคืนเป็นไงบ้าง”
“ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมหลับสนิทเลย” น้าผมตอบพลางนึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งสังเกตเห็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว “ไอ้ตู้ที่ติดกับฝาห้องนั่นเก็บอะไรไว้หรือครับ” น้าผมถามถึงตู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องซึ่งถูกปิดด้วยโซ่เหมือนประตู
“ไม่มีอะไรหรอก ตู้เก่าๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยเก็บไว้ในนั้นน่ะ” พระพี่เลี้ยงตอบ
น้าผมถามว่า “ทำไมไม่เอาไปใส่หนังสือ พวกตำราล่ะครับ หรือเอาไม้ไปทำอะไรก็ได้”
หลวงพี่ไม่ตอบอะไรเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว
เมื่อกลับกุฏิ น้าผมลองคลำดูตู้นั้นว่ามีรูอะไรหรือไม่ แต่ก็ไม่มี น้าลองเคาะดู ถ้าใส่ของไว้ เสียงมันจะฟ้อง ก็ปรากฏว่าใส่ของไว้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ตลอดสัปดาห์ต่อมา น้าผมพักในห้องนี้โดยไม่มีปัญหาอะไร จนถึงคืนสุดท้ายก่อนสึก ขณะที่น้ากำลังเคลิ้มจะหลับก็รู้สึกหนาวจับกระดูก ทั้งที่เป็นหน้าร้อน น้าจึงเอื้อมมือจะหยิบผ้าห่มมาคลุมให้หายหนาว แต่ร่างกายกลับขยับไม่ได้เหมือนถูกตรึงไว้กับเสื่อ จากงัวเงียกลายเป็นตื่นทันที สักพักสิ่งที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมาก็บังเกิดขึ้น ควันสีขาวปนเขียวลักษณะเหมือนควันบุหรี่ฟุ้งเต็มไปทั่วห้อง อากาศเย็นจนหนาวแต่น้าผมเหงื่อแตกพลั่กมือก็บิดชายจีวรแน่น สักพักควันสีขาวปนเขียวนั้นก็รวมกันเป็นคล้ายรูปหน้าคนขนาดใหญ่แทบแน่นห้อง เป็นหน้าคนที่น่ากลัวที่สุด แต่ยังคงเป็นควันสีขาวปนเขียว ดวงตาของใบหน้านั้นจ้องเขม็งเข้าไปในลูกตาดำของน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันจ้องอยู่นานมาก น้าอยากจะหลับตาหนี แต่ก็ขยับตัวไม่ได้แม้แต่จะกระพริบตาก็ยังทำไม่ได้ เวลาผ่านไปนานเหมือนอยู่ในนรก แล้วใบหน้าที่น่ากลัวนั้นก็ค่อยๆ กระจายเป็นควันธรรมดาอีกครั้ง ก่อนที่จะสลายไปกับอากาศอันเย็นเฉียบ แล้วน้าผมก็ขยับตัวได้ทันที คงไม่ต้องบอกคุณผู้อ่านว่า น้าผมจะทำอย่างไรต่อนะครับ! แกร้องลั่น พลางดีดสปริงตัวขึ้นพุ่งตัวออกนอกห้อง (ตอนผมฟังน้าเล่าแกบอกว่า จำไม่ได้ว่าบิดลูกบิดหรือเปล่า หรือพุ่งชนประตูออกไปเลยด้วยความกลัว)
“โอ๊ย! ช่วยด้วย ผีหลอก!” น้าผมวิ่งตะโกนออกมาด้วยความกลัวสุดขีด ทันใดนั้นก็มีมือคู่หนึ่งพุ่งมารัดตัวน้าไว้ “เฮ้ย! ทำใจดีๆ พี่เอง” พระพี่เลี้ยงนั่นเอง “นึกแล้วว่าต้องเจอคืนนี้เลยมาดักรออยู่” น้าผมได้ยินแว่วๆ ผ่านๆ หูเท่านั้นก่อนที่จะล้มลงตรงนั้น
รุ่งเช้าหลังจากที่ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในการสึกเสร็จ พระพี่เลี้ยงพาน้าไปที่ห้องนั้นพร้อมกุญแจพวงหนึ่ง “เดี๋ยวจะให้ดูที่เจอเมื่อคืน พระทุกรูปแหละ พักห้องนี้เมื่อไรเจอทุกราย แล้วพี่นี่แหละต้องมาดักรออยู่หน้าห้องทุกที” หลวงพี่บอกขณะที่ตามเข้าไป “ปึ้ง!” ประตูตู้ถูกเปิดออก ข้างในนั้นคือกองกระดูกขนาดใหญ่ มีกะโหลกนับสิบหัว หลวงพี่หันมาดูน้าซึ่งยืนนิ่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น พร้อมกับนึกในใจว่า “นี่เรานอนร่วมกับกระดูกใครก็ไม่รู้มาตั้งอาทิตย์หรือนี่”
หลานผมเอง
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดงานของฉัน ปกติตัวเองไม่มีวันหยุดกับเขาหรอก ด้วยมีอาชีพค้าขาย วันนี้นึกเบื่อๆ ขึ้นมาเลยหยุดสักวัน แต่ครั้นหยุดจริงๆ ก็นึกรำคาญที่จะนั่งๆ นอนๆ ดูทีวีอยู่กับบ้าน จึงโทรศัพท์ไปชวนเพื่อนไปเที่ยวห้างกันดีกว่า เพื่อนคนนี้ชวนไปไหนไม่เคยพลาดสักครั้ง เรานัดเจอกันที่ห้างแห่งหนึ่งตอนเที่ยง สองคนเดินชอปปิ้งได้ของมาหลายอย่าง พอถึงเวลากลับ เกิดเมื่อยกันซะแล้ว คงโหนรถเมล์ไม่ไหวแน่ แถมข้าวของพะรุงพะรัง จึงตกลงใจเรียกแท็กซี่ บ้านเรา 2 คนอยู่ทางเดียวกันไปด้วยกันได้ พอแท็กซี่ผ่านมาฉันรีบโบกให้จอด แต่เพื่อนฉันร้องทัก “เอ๊ะ....มีคนนี่” ฉันมองดูเห็นรถว่างเปล่า จนแท็กซี่คันนั้นหักหัวเข้ามาหาเรา ไม่มีใครเลยนอกจากคนขับ ตกลงสถานที่ให้ไปส่งแล้วเราก็เข้าไปนั่งในรถ พอรถออกเพื่อนฉันถามทันทีว่า “ลุง เมื่อกี้ฉันเห็นมีคนนั่งในรถลุงน่ะ เห็นจริงๆ ด้วย” ลุงคนขับหันมายิ้มให้นิดหนึ่ง แกมองดูกระจกรถพร้อมกับตอบคำถาม “ที่คุณเห็นเป็นผู้ชาย ใส่เสื้อสีขาวใช่ไหมครับ” คำตอบของแกทำให้ฉันกับศรีขนลุก ฉันรีบถามแกทันทีว่าเป็นใคร แต่เพื่อนกระตุกแขนฉันพลางว่า “บ้าเหรอ ยิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย” ลุงคนขับแท็กซี่รีบตอบ “ไม่ต้องกลัวหรอกครับคุณ คนที่คุณเห็นนั้นเขามาดี เขาช่วยคุ้มครองผมและผู้โดยสารให้ปลอดภัย”
ลุงแท็กซี่เล่าให้ฟังว่า “ที่คุณเห็นน่ะ เขาเป็นหลานชายผมเอง แม่เขาตายตั้งแต่เขาเกิด พ่อทิ้งไปมีเมียใหม่ ผมเวทนาเลยรับมาเลี้ยงดู” ลุงแกเล่าต่อไปเรื่อยๆ “ไอ้สมธรรม เออ..เขาชื่อนี้น่ะครับ นิสัยมันเรียบร้อย แต่สมองไม่ค่อยดี เรียนไม่เก่ง ผมเลยให้มันอยู่บ้านคอยช่วยหยิบจับอะไรตามผมสั่ง ต่อมาไม่นาน มันถูกผีเข้า เป็นผีแถวจอมปลวกเขาว่ามันไปกวนไปยุ่งเขา ทำให้เขาโมโหอาฆาตว่าจะต้องตามเอาชีวิตมันให้ได้ อยู่ๆมันก็มีอาการไม่พูดไม่จาตาขวางหลบหน้าคน จึงคิดว่ามันโดนดีแน่ ผมพอมีวิชาอยู่บ้างเลยใช้อาคมไล่ จนได้รู้ว่าเป็นผีเจ้าที่ไหน แต่ผีตัวนี้มันแรงผมเอาไม่ไหว ช่วยได้เพียงครั้งแรก พอมันออกจากร่างได้สัก 2-3 วัน มันก็มาเข้าใหม่ ผมก็ลองดูหลายทางน่ะ แต่ที่สุดก็แพ้มัน มันเอาไอ้สมธรรมไปจนได้”
เพื่อนฉันรีบถาม “เอาไปแบบไหนลุง”
ลุงแท็กซี่เล่าด้วยเสียงสั่นเครือ “ก็ทำให้มันผูกคอตายน่ะครับ พอหลานตายแล้วผมก็ไม่อยากอยู่ที่นั่น ถามความเห็นเมียเขาก็ไม่อยากอยู่ เลยพากันเข้ากรุงเทพฯ ก็มาได้อาชีพขับรถนี่แหละ ขับมา 3 ปีแล้ว ทีนี้พอผมย้ายมาก็เก็บกระดูกเขามาด้วย คือพอเผาแล้วจะทิ้งกระดูกไว้ที่วัดก็สงสาร กลัวเขาไม่มีที่อยู่ เลยบอกเขาให้ตามมาอยู่ด้วยกัน แล้วเก็บกระดูกเขามาส่วนหนึ่ง อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เขาตามผมไปทุกแห่ง เวลาผมจะกินข้าวก็บอกเขาก่อนให้กินด้วยกัน”
“แบบนี้ถ้าผู้โดยสารจะเรียกรถลุง เขาเห็นมีคนนั่งอยู่ก็ไม่เรียกน่ะซิ” ดิฉันทัก
“ไม่เห็นทุกคนหรอกครับ คนที่จะเห็นต้องมีญาณสัมผัสกับสิ่งนี้ได้ อย่างคุณผู้หญิงคนนี้” แกบอกพร้อมกับชำเลืองไปทางเพื่อนฉัน แต่จริงน่ะ...ฉันไม่เห็นใครเลยตอนโบกรถแก แต่เพื่อนฉันกลับเห็น
เขามาหยอกเล่น
เรื่องนี้เกิดที่จังหวัดตรัง ที่บ้านสามีของดิฉัน บ้านสามีของดิฉันเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ดิฉันและสามีอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนเป็นห้องของ พ่อ-แม่ ของสามี และน้องผู้หญิงอีก 2 คน
ดิฉันอาศัยอยู่กับสามีมา 3 ปี ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น และยังประทับอยู่ในความทรงจำตลอดมา คือปกติดิฉันจะห้อยหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้เป็นประจำ เพราะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน วันหนึ่งสร้อยขาดยังไม่ได้ซ่อม ตกกลางคืน คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด เวลาประมาณตี 2 กว่า สามีของดิฉัน กับพ่อ-แม่ของสามี ออกจากบ้านไปกรีดยางเหมือนทุกวัน ดิฉันนอนหลับอยู่คนเดียวที่ฉันล่าง มารู้สึกตัวอีกทีปรากฏว่าที่รอบคอของฉันมีมือมาโอบและลูบเล่น มือนั้นเย็นมาก ตอนแรก ฉันคิดว่า เป็นน้องของสามีที่นอนอยู่ชั้นบนลงมาแกล้ง ก็เรียกชื่อน้อง แต่เรียกไปไม่มีเสียงตอบกลับมาได้ยินแต่เสียงเดิน จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น พยายามเพ่งดูในความมืด เห็นลางๆ คล้ายๆ เด็กผู้ชาย ดิฉันตกใจมาก ตะโกนเรียกน้องของสามี แต่ก็ไม่มีใครลงมาจากชั้นบน ดิฉันจึงเริ่มสวดมนต์ จนสามารถลุกได้ สิ่งแรกที่ทำเมื่อลุกได้คือ รีบวิ่งไปเปิดไฟ และรีบเดินไปหยิบสร้อยหลวงพ่อทวดที่ขาด เวลาตอนนั้นประมาณตี 4 กว่า ดิฉันเปิดไฟนอนอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร จึงนอนต่อโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก
เมื่อถึงตอนเช้า ทุกคนกลับมาพร้อมหน้า ดิฉันจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง แม่ของสามีได้เล่าว่า ที่ชั้นบนมีรูปสลักไม้เด็กผู้ชายซึ่งมีคนนำมาให้ ท่านคิดว่าเป็นลูกกรอกนำโชคมาให้ ท่านก็เลี้ยงไว้ แม่ของสามีบอกว่าท่านลืมบอกไปว่าดิฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ด้วย เด็กไม่ทราบก็เลยมาหยอกเล่น ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่ก็ทำให้ดิฉันเกือบหัวใจวายตาย คิดถึงมือเย็นๆ ที่โอบรอบคอ มันเป็นสัมผัสที่ตราตรึงไม่อาจลืมเลือนได้
ดิฉันคิดว่าเป็นเพราะหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ที่ดิฉันห้อยอยู่ทุกวันจึงทำให้ไม่เจอเหตุการณ์อะไรที่ผิดปกติตลอด 3 ปีที่อยู่บ้านสามี แต่พอไม่ได้ห้อยท่าน 1 คืน ก็เกิดเรื่องทันที ดิฉันจึงแขวนท่านตลอดมา เข็ดจริงๆ