สมัยเด็กข้าพเจ้าย้ายตามพ่อกับแม่ไปอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยเข้าไปอยู่ที่บ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง โดยตกลงเช่าจากเจ้าของบ้านที่เป็นกำนัน บ้านหลังนี้กว้างขวางใหญ่โต บริเวณใกล้ๆ บ้านมีต้นไม้ป่าไม้เต็มไปหมด ไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียงเลย คุณแม่บอกว่าดูอึมครึมน่ากลัวจนไม่กล้าอยู่ตามลำพัง จึงได้ชวนอีกครอบครัวหนึ่งมาเช่าอยู่ด้วยกันเป็นสองครอบครัว แบ่งห้องกันอยู่ ซึ่งข้างบนมีห้องถึง 6 ห้อง รวมกันกับห้องโถงกว้างใหญ่ตรงกลาง บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ครอบครัวที่มาอยู่ด้วยชื่อป้าหนูมีลูกชาย 2 คนชื่อไก่กับใหญ่ อายุ 6 กับ 7 ขวบ
คุณแม่เล่าว่า บ้านหลังนี้ไม่มีไฟฟ้าพอค่ำลงก็จุดตะเกียง คุณแม่จะรีบทำงานทุกอย่างให้เสร็จตั้งแต่กลางวัน ประมาณ 1 ทุ่มก็จะเข้านอนทันที และคุณพ่อก็ไม่ค่อยกลับบ้านตรงเวลา และป้าหนูก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน จึงมีแต่ลูกชายป้าหนู 2 คนอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ในเวลาค่ำ บ่อยครั้งตอนกลางคืนคุณแม่จะได้ยินเสียงคนเดินอยู่บนระเบียงหน้าบันได บางครั้งก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได ทั้งที่ไม่มีใคร
คุณแม่ของข้าพเจ้ารู้สึกหวาดหวั่น แต่เด็กชายทั้ง 2 คนไม่รู้สึกอะไรเพราะยังไม่ประสีประสา บ้านหลังใหญ่ตกค่ำวังเวงน่ากลัว เมื่อคุณแม่ดับตะเกียงนอนรอคุณพ่อ เกือบทุกคืนจะมีเสียงคนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ บางครั้งจะได้ยินเสียงเดินคนเดียว แต่บางครั้งก็จะได้ยินเสียงเดินเป็นกลุ่ม เสียงฝีเท้าย่ำบ้านเหมือนต้องการตอกย้ำให้รู้ว่ามีคนเดินผ่าน คุณแม่จึงตัดสินใจย้ายออก ป้าหนูก็เช่นกัน
คุณแม่เล่าอีกว่า ต่อมาบ้านหลังนั้นก็มีอิสลามสองพี่น้องไปเช่าอยู่ต่อ พี่ชายกับน้องสาวอิสลามไม่เชื่อว่ามีผี แต่สองพี่น้องก็อยู่ไม่ได้ เพราะคืนหนึ่งพี่ชายไม่ทราบว่ากลับจากธุระที่ไหน เมื่อเดินกลับเกือบจะถึงบ้านเห็นคนแก่ผมหงอกนั่งจุดตะเกียงสว่างไสวอยู่ใต้ถุน อิสลามคนพี่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จึงหยุดยืนตัวแข็งตรงนั้น ชายชราที่จุดตะเกียงนั้นก็เดินถือตะเกียงขึ้นบันไดบ้านและหายวับเข้าไปในห้องโถง แขกคนพี่พอสะกดความกลัวได้แล้วก็รีบก้าวขึ้นบ้าน ชายแก่คนนั้นก็หายไปพร้อมแสงตะเกียง แขกก็เหมือนคนทั่วไปแหละพอเจอะเจอเรื่องอย่างนี้ก็เลยเผ่นออกไปหาที่อยู่ใหม่ในวันรุ่งขึ้น
กำนันเจ้าของบ้านหงุดหงิดเอาการ ใครมาเช่าอยู่ไม่ครบเดือนก็แจว ค่าเช่าก็พลอยอดไปด้วย เมื่อข้องใจจนทนไม่ไหวก็ต้องหาผู้รู้มาดู ผู้รู้หรือคนทรงตงจะมีญาณอะไรบางอย่างบอกกับกำนันว่า บ้านหลังนี้สร้างคร่อมทางผีผ่าน อีกไม่ช้าไม่นานเขาจะพากันมาใช้เป็นที่พบปะ ทีนี้ละจะมากันเป็นโขยง กำนันได้ยินอย่างนั้นจึงสั่งคนรื้อถอนแล้วถวายให้เป็นสมบัติของวัดไปเลย
คุณแม่เล่าว่า บ้านหลังนี้ไม่มีไฟฟ้าพอค่ำลงก็จุดตะเกียง คุณแม่จะรีบทำงานทุกอย่างให้เสร็จตั้งแต่กลางวัน ประมาณ 1 ทุ่มก็จะเข้านอนทันที และคุณพ่อก็ไม่ค่อยกลับบ้านตรงเวลา และป้าหนูก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน จึงมีแต่ลูกชายป้าหนู 2 คนอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ในเวลาค่ำ บ่อยครั้งตอนกลางคืนคุณแม่จะได้ยินเสียงคนเดินอยู่บนระเบียงหน้าบันได บางครั้งก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได ทั้งที่ไม่มีใคร
คุณแม่ของข้าพเจ้ารู้สึกหวาดหวั่น แต่เด็กชายทั้ง 2 คนไม่รู้สึกอะไรเพราะยังไม่ประสีประสา บ้านหลังใหญ่ตกค่ำวังเวงน่ากลัว เมื่อคุณแม่ดับตะเกียงนอนรอคุณพ่อ เกือบทุกคืนจะมีเสียงคนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ บางครั้งจะได้ยินเสียงเดินคนเดียว แต่บางครั้งก็จะได้ยินเสียงเดินเป็นกลุ่ม เสียงฝีเท้าย่ำบ้านเหมือนต้องการตอกย้ำให้รู้ว่ามีคนเดินผ่าน คุณแม่จึงตัดสินใจย้ายออก ป้าหนูก็เช่นกัน
คุณแม่เล่าอีกว่า ต่อมาบ้านหลังนั้นก็มีอิสลามสองพี่น้องไปเช่าอยู่ต่อ พี่ชายกับน้องสาวอิสลามไม่เชื่อว่ามีผี แต่สองพี่น้องก็อยู่ไม่ได้ เพราะคืนหนึ่งพี่ชายไม่ทราบว่ากลับจากธุระที่ไหน เมื่อเดินกลับเกือบจะถึงบ้านเห็นคนแก่ผมหงอกนั่งจุดตะเกียงสว่างไสวอยู่ใต้ถุน อิสลามคนพี่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จึงหยุดยืนตัวแข็งตรงนั้น ชายชราที่จุดตะเกียงนั้นก็เดินถือตะเกียงขึ้นบันไดบ้านและหายวับเข้าไปในห้องโถง แขกคนพี่พอสะกดความกลัวได้แล้วก็รีบก้าวขึ้นบ้าน ชายแก่คนนั้นก็หายไปพร้อมแสงตะเกียง แขกก็เหมือนคนทั่วไปแหละพอเจอะเจอเรื่องอย่างนี้ก็เลยเผ่นออกไปหาที่อยู่ใหม่ในวันรุ่งขึ้น
กำนันเจ้าของบ้านหงุดหงิดเอาการ ใครมาเช่าอยู่ไม่ครบเดือนก็แจว ค่าเช่าก็พลอยอดไปด้วย เมื่อข้องใจจนทนไม่ไหวก็ต้องหาผู้รู้มาดู ผู้รู้หรือคนทรงตงจะมีญาณอะไรบางอย่างบอกกับกำนันว่า บ้านหลังนี้สร้างคร่อมทางผีผ่าน อีกไม่ช้าไม่นานเขาจะพากันมาใช้เป็นที่พบปะ ทีนี้ละจะมากันเป็นโขยง กำนันได้ยินอย่างนั้นจึงสั่งคนรื้อถอนแล้วถวายให้เป็นสมบัติของวัดไปเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น