วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

"พจน์" ประกาศแฟนตัวยงประชาธิปัตย์ บอก "ไตรรงค์" อย่าซีเรียส "ชิมิ" ศัพท์วัยรุ่น เผยRSฟ้อง "แอนนี่" แล้ว

“พจน์” แจงไม่มีเจตนาทำภาษาไทยวิบัติ ใช้คำ “ชิมิ” เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของหนัง เข้าใจ “ไตรรงค์” เตือนเพราะเป็นห่วง บอกตนเป็นแฟนตัวยงพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากให้ซีเรียสกับศัพท์วัยรุ่น แขวะเพลงเห็นหมีหนูไหมน่าโดนติงมากกว่า งงโปสเตอร์ “แทค” ใส่กางเกงว่ายน้ำโดนเซ็นเซอร์ เหน็บทีผู้หญิงแก้ผ้ากลับไม่โดน ส่วนกรณีถูก “แอนนี่” ฟ้องหมิ่น เจ้าตัวยันไม่มีเจตนาและหลักฐานแน่น บอกอาร์เอสฯฟ้องดาราสาวกลับเรียบร้อยแล้ว

โดนจวกกำลังจะทำให้ภาษาไทยวิบัติ สำหรับหนังเรื่องใหม่ล่าสุดของผู้กำกับชื่อดัง “พจน์ อานนท์” ที่ทีแรกใช้ชื่อ “หอแต๋วแตก แหกชิมิ” แต่ไม่ผ่านเซ็นเซอร์เจ้าตัวเลยยอมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “หอแต๋วแตก แหวกชิมิ” ซึ่งพอผ่านแล้วกลับถูกรองนายกรัฐมนตรี “นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี” จวกคำว่า “ชิมิ” เป็นการทำให้ภาษาไทยวิบัติ และเป็นปัญหาระดับชาติ พร้อมไล่ให้เปลี่ยนชื่อหนังใหม่ด่วน



เจอสั่งห้ามเพราะใช้คำแสลงหูแบบนี้ “พจน์ อานนท์” เลยต้องจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่บริษัทพระนครฟิล์ม ย่านประชาชื่น เพื่อชี้แจงถึงเหตุผลที่ใช้คำว่า “ชิมิ” ในชื่อหนัง

“คือ หอแต๋วแตก แหกชิมิ เราทำตามขั้นตอนของเซ็นเซอร์หนัง ตอนแรกเราส่งไปเป็น หอแต๋วแตก แหกชิมิ แล้วก็ไม่ผ่าน พร้อมกับส่งโปสเตอร์ใบนี้ให้ดู (โชว์โปสเตอร์ที่มีแทค ภรัณยู ใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว) แต่ไม่ผ่านเซ็นเซอร์ เขาบอกว่าผู้ชายโป๊ มันไม่ดีทำให้เด็กใจแตก เราก็รู้สึกว่าผู้ชายไทยใส่กางเกงว่ายน้ำแก้ผ้าไม่ได้ จะทำให้เยาวชนใจแตก แต่ผู้หญิงทำได้ เราก็ต้องเปลี่ยนโดยใช้ซีจีทำให้เป็นกางเกงขายาวก็ผ่าน”

“ส่วนชื่อ หอแต๋วแตก แหกชิมิ ไม่ผ่าน เราก็มานั่งคิดว่าจะเอาหอแต๋วแตกแหกอะไรดี เพราะจริงๆ ชื่อมันมาจาก หอแต๋วแตก แหกกระเจิง ในภาคแรก แล้วจะให้เราเปลี่ยนมาเป็น หอแต๋วแตก แหกกระเจิงชิมิ มันก็ไม่ได้ เลยเป็น หอแต๋วแตก แหกชิมิ แต่ตอนที่ไปกองเซ็นเซอร์คำที่ไม่ผ่านคือ แหก เพราะเขากลัวมันจะเพี้ยนไปเป็นแหกอะไรที่ไม่ใช่ชิมิ”

“จริงๆ คำว่า ชิมิ เราเอามาจากเพลง ซึ่งเพลงนี้มีมาเป็นปีแล้ว อย่างเพลงนี้เราก็ไม่รู้มันผ่านมาได้ยังไง ที่ร้องเห็นหมีหนูไหม...เห็นหมีหนูไหม (ร้องเป็นเพลง) ก็เหม็นกันไปทั้งประเทศเลย เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมไม่ไปดูตรงนั้น เพราะเพลง เห็นหมีหนูไหม ดังมากเลยนะ เราฟังไปฟังมาอ้าว...ก็เหม็นกันไปทั้งประเทศ ตรงนั้นน่าจะแก้ไขมากกว่า แต่ ชิมิเป็นศัพท์ธรรมดา ชิมิ ก็คือ ใช่ไหม เป็นศัพท์ที่วัยรุ่นนิยมพูดกัน คือกลุ่มวัยรุ่นเราก็ไม่น่าจะไปซีเรียสอะไรกับเขามากนัก เพราะแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ไป ถ้าไปใช้ในภาษาราชการคงไม่มีใครใช้คำว่า ชิมิ แล้วเผอิญหนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกคลายเครียด แล้วช่วงนี้น้ำท่วมกันเราก็อยากให้คนอ่านชื่อหนังเราแล้วอมยิ้ม”

“แต่ท่านไตรรงค์คงเล็งเห็นว่า ไม่อยากให้ภาษาไทยวิบัติ เราก็เคารพในความคิดของท่าน แต่มันอยู่ที่เจตนาของเรา เจตนาของเราแค่ว่าเพื่อความบันเทิง และให้ผู้อ่านอมยิ้ม ให้หนังเข้ากับกลุ่มวัยรุ่นและเพศที่ 3 เพราะเวลาเพศที่ 3 พูดว่า หอแต๋วแตก แหกใช่ไหม มันก็จะเพี้ยนออกมาเป็น แหกชิมิ มันเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มไม่ใช่ภาษาราชการ เราก็คิดว่าคงไม่ได้ทำให้ภาษาวิบัติไป แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็น หอแต๋วแตก แหวกชิมิ”

“ตอนนี้เราก็ผ่านเซ็นเซอร์แล้ว โดยใช้ชื่อ หอแต๋วแตก แหวกชิมิ คือในองค์กรเซ็นเซอร์จะผิดอยู่ข้อหนึ่ง ถ้าเราทำหนังออกมาทำลายประเทศ ทำให้ประเทศเสื่อมเสีย หนังเรื่องนั้นอาจไม่ได้ฉาย แต่ แหวกชิมิ ไม่เสื่อมเสียประเทศ ความหมายของเราก็คือ แหวกผ้าม่านไปดูเห็นผี อุ๊ย...ผีชิมิ (ร้องเสียงสูง) มันเป็นศัพท์วัยรุ่น ผมว่าท่านผู้ใหญ่ให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานบ้าง อย่าเครียดมาก ไม่ใช่บังคับไปทุกอย่าง ไปดูที่ปัญหาน้ำท่วมดีกว่า ให้วัยรุ่นได้ใช้ชีวิตประสาวัยรุ่นบ้าง แล้วก็เชื่อว่าผู้ใหญ่อายุ 50-80 คงไม่มาพูด วันนี้ไปตลาดมาชิมิ”

เผยมีแผนสำรองถ้าชื่อ “หอแต๋วแตก แหวกชิมิ” ไม่ผ่านอีก จะประชดใช้ชื่อ “หอแต๋วแตก แปลกจังฮู้” ย้ำไม่มีเจตนาทำภาษาไทยวิบัติ บอกตนเป็นแฟนตัวยงพรรคประชาธิปัตย์ วอนผู้ใหญ่อย่าซีเรียสกับคำศัพท์วัยรุ่น

“แต่ถ้าสมมติชื่อ หอแต๋วแตก แหวกชิมิ ไม่ผ่านอีก ชื่อสำรองอีกก็คือ หอแต๋วแตก แปลกจังฮู้ ก็มันแปลกจริงๆ เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะเอามาเป็นเรื่อง แต่เราก็คิดว่าท่านคงเล็งเห็นว่าไม่อยากให้ภาษาไทยวิบัติ แต่เราไม่ได้มีเจตนาตรงนั้น ถ้าจะทำให้ภาษาไทยวิบัติมันมีอีกหลายอย่าง อย่างในอินเทอร์เน็ตใช้ ชิมิ กันเยอะมาก ผมว่าเอาเวลามาปราบอะไรแบบนี้ ไปปราบพวกขายยาปลอมในอินเทอร์เน็ตจะดีกว่า ผมก็อยากบอกท่านได้ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะ อย่าไปซีเรียสกับพวกวัยรุ่น หรือประชาชนอย่างเรามากนัก เพราะจริงๆ ผมก็เป็นแฟนประชาธิปัตย์ เลือกมาตลอด เพศที่ 3 ชอบประชาธิปัตย์ เพราะท่านนายกฯหล่อและเก่งด้วย อย่างน้อยเราก็เป็นแฟนประชาธิปัตย์อยู่แล้ว”

“ตอนนี้ก็คงไม่ต้องแก้อะไรแล้ว เพราะผ่านเซ็นเซอร์หมดแล้ว เพราะองค์กรเซ็นเซอร์เป็นคนไตร่ตรองเรื่องนี้หมดแล้ว คือท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วก็คงคิดตามที่ท่านคิด เราไม่ได้ว่าท่านนะครับ เราก็ขอขอบคุณท่านที่ให้ความเป็นห่วงกับภาษาไทยของเรา แต่ผมก็ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาทำภาษาไทยวิบัติ เพราะคำว่า ชิมิ มาจาก ใช่ไหม แล้วมันเป็นหนังตลกกะเทย และเราก็ไม่ใช่คนเริ่มต้นด้วย ไม่อย่างนั้นเพลง ชิมิ ก็ต้องหยุดไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะเพลงดังมาก”

“คือเราอยากจะพูดตั้งนานแล้วว่า ไม่ได้มีเจตนาทำให้ภาษาไทยวิบัติ แล้วคำว่า แหก แหกตา แหกหู แหกอก ก็ใช้ทั่วไปอยู่แล้ว แต่ท่านให้เปลี่ยนเราก็เปลี่ยนเป็น แหวก แต่ทีนี้มาติติงเรื่อง ชิมิ อีก ก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไรกันอีกแล้ว เพราะ ชิมิ ก็โดนอะไรก็โดน ที่มาพูดไม่ได้เถียงท่านนะครับ ก็รับฟังท่าน เพียงแต่มาอธิบายให้ฟังว่าทำไมต้องใช้ แหวกชิมิ และถ้ายังมีคนทักท้วงอยู่อีก ก็คงจะใช้ แหวกชิมิ นี่แหละ เพราะลงทุนหมดไปหลายตังค์แล้ว ตัวอย่างก็เสร็จแล้ว โปสเตอร์ก็พิมพ์กันหมดแล้ว ก็เปลี่ยนหมดแล้ว ก็ทำตามกฎของกองเซ็นเซอร์แล้ว คือพูดตรงๆ เราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เราทำตามกฎหมายทุกอย่าง”

ลั่นไม่เสียดายภาพโปสเตอร์เก่าที่ “แทค ภรัณยู” ใส่กางเกงว่ายน้ำ แต่งงทีผู้หญิงแก้ผ้าถ่ายรูปไม่เห็นโดนเซ็นเซอร์

“ผมก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงเสียดายหรือเปล่า เขาดูแล้วจะเกิดอารมณ์หรือเปล่า ผมก็งง...ผู้ชายใส่กางเกงว่ายน้ำโดนตัดหมด แต่พอผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำ แก้ผ้าถ่ายรูปไม่โดนอะไรเลย ผมก็งงว่าสังคมไทยเป็นอะไร หรือผู้ชายเห็นผู้ชายไทยใส่กางเกงว่ายน้ำแล้วจะเกิดอารมณ์แล้วไปข่มขืน ไม่ใช่นะ (หัวเราะ)”

“ถามว่าเสียดายไหม ก็ไม่เสียดายนะ ท่านก็คงคิดแล้วว่ามันเหมาะ ก็คิดว่าเรื่องหน้าผมจะทำเรื่อง เห็นหมีหนูไหม (หัวเราะ) เพราะมีเด็กคนหนึ่งเลี้ยงหมีอยู่ แล้วหมีหาย ก็เดินถามไปทั่วเลยว่า เห็นหมีหนูไหมๆๆ (หัวเราะ) ตอนนี้ยังหานางเอกอยู่ แล้วตอนจบก็ทำท่าแล้วพูดหมีหนูอยู่ไหน (หัวเราะ) ส่วนที่ถามว่าถ้าทำหนังเสร็จหมด กลัวว่าจะไม่ผ่านเซ็นเซอร์อีกไหม ผมว่ากองเซ็นเซอร์ท่านคงพิจารณาแล้ว และตอนนี้หนังมันมีเรต ก็ให้เรตเรามาก็ได้ ตอนนี้ได้เรตเท่าไหร่ยังไม่รู้ เพราะยังไม่เห็นหนัง”

ส่วนกรณีถูกดาราสาว “แอนนี่ บรู๊ค” ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เจ้าตัวอุบไม่อยากพูดอะไร แต่ยันไม่มีเจตนาหมิ่น พร้อมมั่นใจหลักฐานตัวเองแน่นปึ๊ก

“เรื่องฟ้องพูดอะไรไม่ได้ เพราะทนายสั่งห้ามพูดแล้ว และทนายของเราทางอาร์เอสฯเป็นคนจัดการให้ เพราะเรื่องเข้าไปที่อาร์เอสฯแล้ว แต่ตอนนี้หลักฐานที่เรามีอยู่หรืออาร์เอสฯมีอยู่ มันแน่นปึ๊ก ถ้าผมเอาออกมาให้ดูได้ ก็วันแรกตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ตอนนี้มันเอาออกมาดูไม่ได้จริงๆ คันมาก (หัวเราะ) หมายถึงคันปากอยากเอาออกมาให้ดู แต่ตอนนี้มันอยู่ในขั้นตอนของกฎหมาย และอยู่ในขั้นตอนของศาลแล้ว เราก็ไม่สามารถพูดอะไรได้”

“ก็ถ้าเขาจะฟ้องเราไม่เป็นไรก็ฟ้องมา ผมยังไม่ได้รับหมายศาลที่ทางนั้นฟ้อง เพราะเขาเพิ่งฟ้องเมื่อวานเอง แต่ถ้าหมายมาเราก็ต้องไป เพราะต้องไปพูดให้ศาลท่านฟังว่า เราไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทอะไร เราก็ไปยืนยันความจริงว่า มันอยู่ที่เจตนา เจตนาเราไม่ได้หมิ่นประมาทเขา เราแค่พูดให้ฟังว่ามันเป็นแบบนี้ๆ ถามว่าเราพร้อมจะสู้ไหม เราก็พร้อมที่จะสู้ เราก็ยังยืนยันว่าไม่ได้หมิ่นประมาท เพราะเราให้ทนายดูจากเทปที่เราไปออกรายการ เทปที่นักข่าวมาสัมภาษณ์ ไม่มีตรงไหนที่หมิ่นประมาทเลย มันมีแต่ที่นักข่าวหรือหนังสือพิมพ์เอาไปพาดหัวกัน ตรงนั้นแหละที่จะโดน ก็เห็นว่าเขาหานักข่าวไปขึ้นศาลเป็นพยานให้อยู่นี่ ก็หลบๆ ตัวกันเองละกัน (หัวเราะ)”

“ส่วนตัวเราก็มั่นใจในหลักฐานของเรานะ เพราะหลักฐานเราแน่นมาก ของอาร์เอสก็แน่นมาก ก็ดีจะได้ไปเปิดเผยกันในศาล ก็เป็นโอกาสดีของเรานะ ที่จะได้พูดว่าไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทเขา และเราก็ไม่เคยหมิ่นประมาทเขา ก็สู้กันด้วยหลักฐานในศาล จะแพ้หรือชนะไม่เป็นไร เราถือว่าได้ทำในสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้องแค่นั้นเอง จริงๆ ฟิล์มมอบหมายให้ผมพูดแทนตั้งแต่วันที่ 18 เดือนไหนจำไม่ได้แล้ว มีหลักฐานหมด จริงๆ ก็มอบให้ฟ้องแต่ก็ไม่ได้ฟ้อง เพราะเห็นน้องมีเด็ก แต่ในเมื่อเขาฟ้องเรา อาร์เอสฯเลยฟ้องหมิ่นประมาท”

เมื่อสอบถามว่าจะฟ้องดาราสาวกลับหรือไม่ ผู้กำกับดังบอกถ้าทำให้เสียหายจะฟ้อง แต่ที่แน่ๆ อาร์เอสฯฟ้อง “แอนนี่” เรียบร้อยแล้ว

“สำหรับตัวเราถ้าเสียหายก็ฟ้องกลับ แต่ตอนนี้ทางบริษัทอาร์เอสฯฟ้องไปแล้ว เขาบอกนักข่าวรู้หมดแล้ว เขาไม่ได้ฟ้องแอนนี่คนเดียวด้วยนะ ไปสืบดูว่าฟ้องใครอีก แต่ฟ้องไปแล้ว 2 คน แต่เขาไม่อยากเป็นข่าวไง ทางเราไม่อยากเป็นข่าวอีกแล้ว มันน่าจะจบได้แล้ว เพราะเรายุ่งเรื่องชาวบ้านมานานแล้ว เรามายุ่งเรื่อง ชิมิ ดีกว่า (หัวเราะ)”

ขอบคุณข่าวแซ่บจาก ผู้จัดการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น