วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสียงอุบาทว์



เมฆฝนตั้งเค้ามาทางทิศตะวันตกดำทะมึนมืดคลึ้มเหมือนจะปิดโลกไว้ เสียงฟ้าคำรามสั่นสะเทือน ไม่ช้าสายฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมายังกะฟ้ารั่ว เสียงลมอื้ออึงหวีดหวิวบาดหูมาแต่ไกล ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อปิดหน้าต่าง แต่พอมองออกไปทางหน้าต่างก็ต้องตกใจ เสาอากาศโทรทัศน์หักทั้งบ้านใกล้บ้านไกล สังกะสีบ้านใครไม่รู้ถูกลมหอบลอยขึ้นไปกลางอากาศมากมายหลายแผ่น แต่ดูได้ไม่นานก็ต้องรีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ไม่นานมีเสียงดังโครมใหญ่จากบ้านใกล้พร้อมด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจ ผมออกไปดูปรากฏว่าบ้านที่ยกมุงหลังคาแล้วแต่ยังไม่มีฝาล้มลงมาทั้งหลัง จนฝนหยุดตกผู้คนจึงได้ทยอยออกมาช่วยกันเก็บสิ่งของที่กระจายเกลื่อนถนน ไม่ทันไรมีคนขี่รถจักรยานมาบอกว่าโรงเรียนล้ม ทุกคนจึงรีบไปช่วยกัน



โรงเรียนหลังนี้ใหญ่ยาวนับสิบห้อง ชั้นล่างของโรงเรียนปล่อยไว้โล่งยังไม่ได้เทพื้นปูน แรกเห็นก็ให้ใจหายวูบ โรงเรียนที่สร้างไว้อย่างสวยงามกลายเป็นเศษไม้หักพังยุบลงมา ยังดีที่เป็นวันอาทิตย์โรงเรียนหยุด ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร



คุณป้าคนหนึ่งยืนร้องห่มร้องไห้พูดคร่ำครวญฟังไม่รู้ศัพท์ ชาวบ้านจึงเข้าสอบถาม กว่าแกจะพูดรู้เรื่องก็ต้องรวบรวมสติอยู่นานว่า ลูกชายหญิงหายไปเมื่อก่อนเที่ยงวัน มีคนบอกว่าเห็นมาวิ่งเล่นที่ใต้ถุนโรงเรียน ทำให้สงสัยว่าจะถูกโรงเรียนล้มทับ ใครคนหนึ่งจึงนำหน้าเข้าไปค้นหาที่ซากปรักหักพัง พักใหญ่มีคนพบรอยเลือดแดงฉาน และมองเห็นศีรษะเด็กทั้งสองซ้อนกันคว่ำหน้าเสียชีวิตทั้งคู่อย่างน่าเวทนา พอเห็นถนัดตาก็เอะอะโวยวายให้ช่วยกันเสียงลั่นไป ภาพเด็กทั้งสองกอดกันจมอยู่ในทรายมีต้นเสาทับบี้แบนอยู่น่าสลดใจยิ่งนัก เด็กหญิงคนพี่อายุ 11 ขวบ ส่วนคนน้อง 7 ขวบ สองพี่น้องมาเล่นกันที่ใต้ถุนโรงเรียน พอมีพายุมาก็พากันหลบเข้าไปบังที่โคนเสา โรงเรียนโดนพายุล้มเด็กหนีไม่ทันจึงถูกเสาทับตายทั้งคู่ ชาวบ้านก็เลยทำพิธีฝังศพเด็กที่โคนต้นไทรใหญ่ข้างโรงเรียนที่ล้มนั่นเอง



นับจากนั้น โรงเรียนที่ล้มก็ไม่มีการสร้างใหม่ คงกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เด็กนักเรียนก็ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอีกแห่งไม่ไกลเท่าไรนัก ใกล้กับโรงเรียนที่ล้มนั้นมีห้องแถว 5 ห้อง มีต้นไม้รอบบ้านบังพายุได้เป็นอย่างดีไม่เสียหายอะไร แต่หลังจากนั้นอาทิตย์เดียวพวกเขาต้องอพยพหนีกันทั้งหมดอย่างไม่นึกไม่ฝันเพราะสิ่งที่เกิดจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น



เวลาดึกดื่นบรรยากาศเงียบสนิทปราศจากเสียงอื่นใด เริ่มด้วยหมา 4 ตัวที่บ้านห้องแถวทั้ง 5 เลี้ยงไว้พากันแตกตื่นหูตั้งทุกตัว ทำท่าส่ายหัวร้องครางงืดงาดๆ หางตกกระสับกระส่ายหาที่ซุกตัวเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง ทุกตัวดูวุ่นวายวิ่งวนไปมาอยู่แถวนั้น สักพักก็พร้อมใจกันหอนรับกันเป็นทอดๆ ไปเสียงเยือกเย็นน่าตระหนกอกสั่นขวัญผวา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนชวนขนลุกดังมาจากต้นไทรใหญ่ใกล้บริเวณนั้น เหมือนเสียงคนเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ หมาทุกตัวหยุดหอนทันที พอเสียงร้องโหยหวนหยุด เสียงหอนของหมาก็ประสานเสียงแทนที่สลับกันไป ทำให้คนในบ้านทั้ง 5 ห้องที่นอนหลับกันอย่างเป็นสุขต้องผวาตื่นมากลางดึก บางคนเอาผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วเอามือปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยิน เสียงอุบาทว์ เพราะมันกรีดร้องบาดหูชวนสะท้านไปถึงหัวอกหัวใจ และหมาก็ยังช่วยผสมโรงหอนเสียงเยือกเย็นเข้าไปด้วย ทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งขึ้น บ้านทั้ง 5 ห้องเหมือนตกอยู่ในนรกไม่เป็นอันหลับอันนอน พวกเขาอยู่กันอย่างนั้นไปจนสว่างคาตา พอมีแสงอาทิตย์พวกเขาค่อยโล่งใจสบายขึ้นบ้าง ต่างออกมานั่งคุยเล่าสู่กันฟังและปรึกษาหารือที่จะแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น ในที่สุดก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าสวดมนต์ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองจากสิ่งที่มองไม่เห็น พวกเขารู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากต้นไทรใหญ่ อาจจะเป็นเสียงของเด็กที่ตายในวันที่เกิดพายุ



พออีกคืนก็มี “เสียงอุบาทว์” ดังขึ้นอีกเหมือนเช่นคืนก่อน พวกเขาต้องอดหลับอดนอนทนฟังอย่างทุกข์ทรมานไปจนสว่างอีก และคืนที่สามก็เป็นเช่นนี้อีกเหมือนกันจนทนไม่ไหว ไม่ต้องรอให้มีคืนที่สี่อีกแล้ว พวกที่อยู่ตัดสินใจอพยพหนีไปอาศัยอยู่ที่อื่นกันทั้งหมดปล่อยให้ห้องแถวร้าง นานนับปีก็ยังไม่มีใครกล้าไปอยู่จนเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น