วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หมู่บ้านผี

5 แยกที่ตัดกันกลางป่าเต็งรังค่อนข้างทึบ ไม่มีป้ายบอกว่าเส้นไหนจะไปออกที่ไหน เว้นแต่เส้นทาง 60 กิโลเมตรที่เพิ่งผ่านมาและไม่อยากย้อนกลับไปอีกเท่านั้นที่ผมรู้จัก

ตะวันลาลง แสงฟ้าลับแล้ว ความมืดขมุกขมัวคลี่คลุมป่าที่เริ่มเย็น รถเครื่องของผมครางเหมือนหมาแก่ที่หนาวและหนังเป็นเวิงเรื้อน ถ้ารถเป็นอะไรไปอีกผมก็คงต้องกินข้าวลิงแถวนี้เป็นแน่

“มีทางลัดใกล้กว่าที่คุณจะอ้อมภูลูกนั้น..” คนท้องถิ่นบอกทางแก่ผมตอนก่อนค่ำ

“ไปกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้พวกบนภูจะตีเอารถนะผมบอกไว้ก่อน คุณลัดไปทางนี้เถอะ หมู่บ้านแม้จะห่างก็ยังพออุ่นใจ”

ผมมีทางเลือกไม่มากนัก จะย้อนกลับก็ไม่มีที่จะหวังอันใดอีก หมู่บ้านเวิ้งลากรรม เท่านั้นที่ผมอาจจะพอจะฝากหัวใจร้าวได้ ผมเคยได้ยินจากพ่อว่าญาติห่าง ๆ ของเราคนหนึ่งหักร้างถางพงทำไร่อยู่ที่นั่น

ผมเลือกเส้นทางขวามือซึ่งค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับอีก 4 ทางที่เหลือ ตามคำของคนบอกทาง ความไม่คุ้นทำให้ผมผ่อนคันเร่งลงไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ไฟหน้ารถยังทำงานได้ดีแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะดีอยู่กี่มากน้อยเพราะบางหนมันก็เคยดับลงไปเฉย ๆ


รถห่าง 5 แยกมาไม่มากนักหูของผมก็ได้ยินเสียงกระดึงคอควายและยิ่งชัดขึ้นเหมือนพวกมันวิ่งไล่กันใกล้เข้ามา อ้าวเฮ้ย..หลบ ๆ เว้ย ความตกใจทำให้กำเบรกและบิดคันเร่ง เสียงเครื่องรถเร่งแรงหากไม่ขยับ

ล้อหลังจึงเบนออกขวา เงาตะคุ่มของควายที่พรวดออกมาอย่างน้อยคงสี่ห้าตัวจากสุมทุมข้างทางวิ่งไปตามทางแคบ ลับหายไปกับความมืด เมื่อจะออกรถอีกครั้งเครื่องยนต์ก็ดับลงกระทันหัน สตาร์ทใหม่อย่างไรก็ไร้แวว

รายรอบมีแต่ความมืด สงัด ดาวดวงเล็กๆแลเห็นริบหรี่ที่ปลายไม้ไกล นอกจากเสียงเปรี๊ยะแตกของสะเก็ดจากกองไฟที่เพิ่งเห็นทางขวามือห่างออกไปไม่มากก็แทบไม่ได้ยินเสียงใดอื่นอีก

เมื่อหมดความหวังที่จะบังคับให้รถเคลื่อนไปด้วยแรงของมันผมก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะฝ่าความมืดไปในที่ไม่รู้ กองไฟที่เห็นเป็นที่หวังที่ยังเหลือ 

แสงจากกองไฟที่พวยขึ้นเป็นครั้ง ๆ ทำให้มองเห็นได้ว่ารอบ ๆ นี้เป็นที่เกือบโล่ง มีไม้ใหญ่ขึ้นรายรอบ และบ้านชาวบ้านก็น่าจะไม่ไกลจากนี้นัก ผมมัวแต่สังเกตรายรอบไม่ทันได้มองเห็นว่ามีใครนั่งเหมือนผิงไฟอยู่

“มาตามควายรึ เมื่อกี้ลุงเห็นมันไล่กันไปทางโน้น” น้ำเสียงนั้นเจืออารีฟังอุ่นใจ

“เปล่าหรอกครับ ผมจะไปหาญาติ เมื่อกี้ผมก็เกือบชนควายแหละครับ เบรกทันแต่เครื่องรถก็ดับมันสตาร์ทไม่ยอมติด”

“ลุงมานอนเฝ้าสวน บ้านของลุงอยู่ข้างในโน้น” ชายแก่บอกเหมือนรู้ว่าจะถามอะไร ผมเดินเข้าไปใกล้ชายเจ้าของเสียงที่นั่งอังมือเหมือนเอาอุ่น

“แล้วลุงรู้จักบ้านเวิ้งลากรรมไหมล่ะครับ อยู่ห่างจากนี่มากไหม”

“โห้ย รู้จักดี เอ้า..นั่งลงผิงไฟสิ ข้าเองก็มาจากนั่นก่อนมาเอาเมียอยู่ทางนี้ ว่าแต่จะไปทำอะไรที่นั่น ถามจริงๆ พวกหนีคดีมาหลบอยู่นี่ทั้งนั้น หรือว่าเอ็งก็หนีอะไรมา เออ..มันก็ข้ามเนินแบบนี้ไป 2 ลูกก็ถึงล่ะ”

“เออจะว่าหนีก็หนีแหละครับ” ผมค่อยนั่งลง ชายที่นั่งอยู่ก่อนหันมาทางผม แสงจากกองไฟทำให้เห็นได้ว่าแกไว้หนวดเครายาวแต่ไม่ถึงกับรกรุงรัง

“ลุงรู้จักความขมขื่นไหมล่ะครับ ผมหนีมันมาแหละ ไม่ต้องคดีอะไรหรอกลุงสบายใจได้”

“เอ็งว่าน่ะตลกดี เอ็งชื่อไรล่ะ เป็นคนที่ไหน”

ผมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ชื่อพ่อชื่อแม่ ชื่อบ้านเกิดและชื่อญาติที่จะไปหาแก่ชายแก่จนครบถ้วนตามที่แกถาม

“เอ็งมาไกลนี่หว่า ถ้าเอ็งง่วงก็ไปนอนก่อนข้าได้เลย จะแขวนเปลนอนก็ได้ ข้าสุมควันตะไคร้ไล่ริ้นยุงแต่หัววันแล้ว นอนได้สบาย”

ไม่สิ้นเสียงของชายแก่ดีผมก็รู้สึกง่วงงุนเสียเต็มประดา ลุกเดินตามแกอย่างว่าง่ายไปที่กระท่อม หลับไปทั้งรองเท้าอย่างนั้นมารู้สึกตัวอีกทีแสงตะวันก็แยงตายิบ ๆ แล้ว

อา..นี่มันเถียงนาร้างข้างป่าช้านี่ และกองไฟกองนั้นแท้จริงเป็นกองฟอนที่ศพเพิ่งไหม้หมดตอนหัวค่ำนั่นเอง ผมเย็นหลังวาบ คำแผ่เมตตาว่าไปโดยอัตโนมัติ ขอบคุณคุณลุงเคราดกที่ดูแลผมอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น